รวยชั่วข้ามคืน?

บทที่ 302 การหักหลังที่ทำให้ผู้คนใจสะท้าน



สองพันล้าน? เกิดอะไรขึ้น หลินอานเกิดเรื่อง อะไรขึ้นกันแน่ ในความเป็นจริงครอบครัวหยูทำงานให้ กับครอบครัวฉิน เหตุใดครอบครัวเขาถึงเจอกับวิกฤต ใหญ่หลวงขนาดนี้ เป็นเพราะตระกูลสินเริ่มลงมือโจมตี ตระกูลฉินแล้วหรือ

ถึงแม้ฉินหลั่งจะออกจากครอบครัวฉินแล้ว แต่ถึง อย่างไรเขาก็ก็เป็นลูกหลานตระกูลฉิน เขาไม่หยิบยืมชื่อ เสียง ความช่วยเหลือ พลังของตระกูลฉินก็ได้ แต่ยามที่ ตระกูลฉินตกที่นั่งลำบาก เขาไม่สามารถยึดกอดอกชม อยู่เฉยๆ ได้

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่” ฉินหลั่งเอ่ยถามอย่าง จริงจัง

“คืออย่างนี้นะ เมื่อวาน บริษัททั้งหมดที่ตระกูลหยู ลงหุ้นล้วนเกิดปัญหาคอขาดบาดตายเกือบจะเวลา เดียวกัน หุ้นส่วนทั้งหมดล้วนฉีกสัญญากับพวกเขาจน เสียหายไปเกือบสองพันล้านทันที”

ตอนนี้กิจการทั้งหมดของตระกูลหยูต่างปิดตัวลง ทุกด้านเรียบร้อยแล้ว หากยังดื้อด้านจะดำเนินการต่อไป ความเสียหายของตระกูลหยูก็จะยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบันลงหยูขาดทุนย่อยยับ ถ้าหากไม่มีเงินกองทุน สภาพคล่องสองพันห้าร้อยล้าน คราวนี้ตระกูลหยูคงยากจะผ่านพ้นไปได้”

หลงเย็นพูดถึงสถานการณ์ที่ตระกูลหยูประสบใน ยามนี้คร่าวๆ

“เกิดปัญหาขึ้นเวลาเดียวกันได้อย่างไร” ฉินหลั่ง จับปมทั้งหมดได้ในทันที

“ไม่แน่ใจ แต่ได้ยินหยูหมิงบอกว่ามีคนจงใจเล่น งานพวกเขาตระกูลหยู” หลงเย็นกล่าว

“มีคนจงใจเล่นงานตระกูลหยู…ฉินหลั่งเอ่ย พิมพำ เขาครุ่นคิดในหัว เป็นตระกูลสินหรือ? สามารถ ระดมขุมอำนาจยิ่งใหญ่ขนาดนี้พุ่งโจมตีตระกูลหยูได้ใน เวลาเดียวกัน บนโลกใบนี้นอกจากตระกูลฉิน ก็เหลือแต่ ขุมอำนาจตระกูลสินเท่านั้นแล้ว

เหตุใดตระกูลฉินถึงไม่ตอบสนอง ในบ้านเกิด เหตุสุดวิสัยอะไรหรือเปล่า ความกังวลต่อตระกูลฉินใน ใจฉินหลั่งยิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

“เงินก้อนนี้ฉันจะคิดหาวิธี ตอนนี้ฉันจะรีบไปหลิน อานเดี๋ยวนี้” ฉินหลั่งว่า เขาไม่วางใจ อย่างไรก็ต้องไปดู ด้วยตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้นเกิดแน่

“อืม ตอนนี้ทุกคนพากันอยู่ในอาคารใหญ่บริษัท หัวเสร์ คุณตรงมาที่นี่ได้เลย”

“ได้มีเหตุการณ์ใหม่ล่าสุดอะไรให้รีบโทรหาฉัน ทันที” พูดจบ ฉินหลั่งก็วางสาย

รีบขอตัวลากับสองพี่น้องด้าย จากนั้นฉินหลังก็ขับรถมุ่งหน้าไปที่สนามบินนานาชาติของเมืองหลวง เขาจองตั๋วที่เร็วที่สุดใบหนึ่ง จากนั้นก็บินไปหลินอาน ทันที

เย็นจีนถึงหลินอาน ใช้เวลานั่งเครื่องบินเพียงแค่ หนึ่งชั่วโมงกว่าๆ ฉินหลั่งโผล่ที่หลินอานได้อย่างรวดเร็ว ยิ่ง

หลังวางสายจากฉินหลั่ง จู่ๆ ในใจหลงเย็นก็รู้สึก โล่งอกเล็กน้อย เรื่องนี้มีฉินหลั่งยื่นมือมาช่วย เธอก็รู้สึก ว่าต่อให้ลำบากแค่ไหนก็คงไม่สิ้นหวังเหมือนเมื่อกี้เป็น แน่.

ระหว่างที่นึกโล่งอก พอนึกว่าอีกไม่นานก็จะได้ เห็นฉินหลั่ง หัวใจของเธอก็ผุดความหวานชื่นขึ้นมา เสี้ยวหนึ่งอีกครั้ง กลับถึงห้องทำงาน หลงเย็นทำเพียงบอกข่าวนี้

ให้คุณพ่อทราบ ฉินหลั่งจะสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้

หรือไม่กันแน่นั้นก็ยังไม่ทราบชัด อย่างไรก็อย่างเพิ่งบอ กลุงหยูก่อนจะดีกว่า “ทุกคนสามารถนั่งที่นี่ได้ตามสบาย ผมให้ลูกน้อง

ซื้อขนมว่างกลับมาให้ทุกคนทานแล้ว ตอนนี้ผมยังต้อง ไปเปิดประชุมสักหน่อย ขอตัวไปก่อนชั่วคราว ทุกท่าน โปรดอภัยด้วย ต้องขอตัวแล้ว” หยูจื้อพูดอย่างสุภาพ ก่อนหน้านี้เขาแจ้งคนรับผิดชอบ หัวหน้าระดับสูง ทั้งหมดเพื่อมาประชุม ดูเวลายามนี้น่าจะมากันครบแล้ว

“ลุงหยู พวกเราทุกคนจะไปพร้อมกับท่านวันนี้ท่านก็ไม่ได้พูดความลับทางการค้าใดๆ อยู่แล้ว พวกเรา อยู่ด้วยก็คงไม่เป็นไร พวกเราล้วนเป็นพี่น้องร่วม ครอบครัวของหลินอาน สามารถเพิ่มความมั่นใจให้เหล่า ผู้รับผิดชอบและผู้บริหารระดับสูงเพื่อท่านได้” ซุนเจี๊ยน คุณชายรวยรุ่นที่สองพูดขึ้น

“ถูกต้อง”

ไปด้วยกัน”

คุณชายรวยรุ่นที่สองคนอื่นต่างเห็นดีเห็นงามกับ ข้อเสนอของซุนเจี้ยน

หยูจื้อหันไประบายยิ้มให้กับเหล่าคุณชายรวยรุ่น ที่สองในห้อง และเดินนำหน้าออกจากห้องทำงานมุ่งสู่ ห้องประชุมก่อนเป็นคนแรก

“เหล่าพี่น้องแสนดี ไปพร้อมกับผมเถอะ” หยูหมิง พูดกับเหล่าคุณชายรวยรุ่นที่สอง พวกเขาเดินตามหลัง หยูจื้อมุ่งหน้าสู่ห้องประชุม

ในห้องประชุม ผู้บริหารทั้งหมด ผู้รับผิดชอบ บริษัททุกคนต่างนั่งกันพร้อมหน้า พวกเขาสีหน้า เคร่งขรึม เพราะในช่วงยี่สิบสี่ชั่วโมงที่ผ่านมา สถานการณ์ในบริษัทพวกเขาแต่ละคนไม่ได้ดีขึ้นเลยสัก นิด ตรงข้ามสถานการณ์กลับรุนแรงขึ้นทุกที

เห็นลูกหลานของครอบครัวเกือบทั้งหมดในหลิน อานต่างเข้ามาในห้องประชุม ผู้บริหารระดับสูงที่นั่งอยู่ก็ หน้าเปลี่ยนสีอีกครั้ง หัวใจที่แบ่งแยกนั้นดูสมจริงสมจังมากขึ้นน้อยๆ

เหล่าคุณชายรวยรุ่นที่สองยืนอยู่ด้านหลังห้อง ประชุมด้วยสายตาทอประกาย หยูจื้อนั่งบนตำแหน่งหลัก ของโต๊ะประชุม หยูหมิงยืนอยู่ด้านข้างหยูจื้อ

“ผู้มีเกียรติหัวเสร์ทุกท่าน ผมรู้ว่าสถานการณ์ ปัจจุบันของหัวเสร์ค่อนข้างยากลำบาก ผมหวังว่าพวก เราหัวเสร์ทุกคนจะสามัคคีกันก้าวข้ามความลำบากไป ด้วยกัน..” หยูจื้อเห็นว่าสีหน้าทุกคนล้วนถอดใจอย่าง เห็นได้ชัด เขาจึงปลุกใจเหล่าลูกน้องก่อนเป็นสิ่งแรก

“ถูกต้อง ผู้อาวุโสทุกท่าน พวกท่านเป็นรากฐาน ของหัวเสร์ ไม่สามารถยอมแพ้ได้ง่ายๆ พวกเราหัวเสร์ ทุกคนรวมพลังกัน ไม่ว่าใครก็ไม่อาจเอาชนะพวกเราได้ ทั้งนั้น” หยูหมิงเองก็อดพูดออกมาไม่ได้ในใจเขาอยาก แบกรับความกดดันช่วยคุณพ่อด้วยส่วนหนึ่ง

หยูจื้อหันไปมองสายตาปลอบประโลมของหนู มิง ตบแผ่นหลังเขาเบาๆ สปิริตของหยูหมิงนั้นน่า สรรเสริญ แต่มีสปิริตแต่ไม่มีมาตรการ หัวเสร์อยากออก จากสถานการณ์ลำบากในครั้งนี้ก็ไร้หนทางเช่นกัน

“ต่อไปนี้ทุกท่านมารายงานให้ผมฟังหน่อยถึง สถานการณ์ล่าสุดของแต่ละบริษัท” หยูจื้ออยากเอา เงินกองทุนสภาพคล่องหกร้อยล้านในมือให้กับบริษัทที่ ลำบากและต้องการเงินกองทุนมากที่สุดก่อน

แต่เขายังไม่ทันกล่าวจบก็ถูกคนๆ หนึ่งตัดบทเสีย

ก่อน
“ประธานหยู”

ชายวัยห้าสิบกว่าคนหนึ่งลุกขึ้นมา เขาไม่สูงนัก ราวๆ หนึ่งร้อยหกสิบเซนติเมตร หน้าผากโหนกนูน ดวงตาคู่นั้นส่องประกายยิ้มเย็น ในบรรยากาศเคร่งขรึม หนักอึ้งในห้อง เห็นได้ชัดว่าเตะตามาก ผมและคิ้วของ เขาหงอกขาวแล้ว ทั้งตัวคนฉายแววโกรธ

เขาก็คือกระดูกสันหลังของหัวเสร์ที่ถูกฉาวหนิง ต่อต้าน…หม่าหุ้ยนั่นเอง

เสียงเรียกอันดังขนาดนี้ของเขาพาให้ทุกคนใน ห้องต่างจับจ้องสายตาไปทางเขา

“ฝูหรุ้ย คุณอยากพูดอะไรหรือ” หยูจื้อถาม

ในความเป็นจริง การตัดบทของประธานนั้นเป็น พฤติกรรมที่เสียมารยาทยิ่ง แต่หม่าฟูหรุ้ยเป็นข้าเก่าเต่า เลี้ยงที่ร่วมก่อร่างสร้างฐานมาพร้อมกับหยูจื้อ สำหรับ เขา หยูจือใจกว้างเสมอมา

หม่าหลุยส์ไม่ได้พูด แต่เดินไปทางหยูจื้อแทน และวางกระดาษแผ่นหนึ่งต่อหน้าหยูจื้อ

หยูจื้อมองตัวอักษรที่เขียนบนกระดาษนั้น เพลิง โทสะในใจก็ปะทุขึ้นมาทันที

“จดหมายลาออก!” หยูหมิงเห็นตัวหนังสือบน กระดาษ ได้ยินคำว่า “จดหมายลาออก” ทุกคนในห้อง ต่างตระหนกตกใจ

หม่าหุ้ยเป็นถึงสมาชิกหลักไม่กี่คนของบริษัทหัวเสร์ แม้แต่เขาก็ยังลาออก แล้วหัวเสร์จะพลิกวิกฤตได้ อย่างไรกัน

หยูหมิงอ่านออกเสียงด้วยความโมโหและไม่ อยากเชื่อ จ้องหม่าฝูหรุ้ยเขม็ง เอ่ยถามว่า “อาหม่า นี่คุณ หมายความว่าอย่างไร ตอนนี้บริษัทหัวเสร์อยู่ในวิกฤตที่ อันตรายที่สุด คุณถึงกับลาออก บริษัทหัวเสร์เป็นบริษัท ที่คุณกับพ่อผมร่วมกันสร้าง หรือตอนนี้คุณอยากทอดทั้ง มันอย่างสิ้นเชิงเชียวหรือ”

“หลานรัก ฉันก็เป็นแค่ผู้บริหารเล็กๆ คนหนึ่งของ บริษัทหัวเสร์เท่านั้น พี่ใหญ่หยูต่างหากที่เป็นผู้ก่อตั้ง บริษัทหัวเสร์ เธอโยนปัญหาหนักมาใส่หัวฉันแบบนี้ ฉัน คงแบกรับไม่ไหวหรอก”

หม่าหลุยส์พูดพร้อมหัวเราะเสียงเย็น “ในฐานะที่ ฉันเป็นคนงานคนหนึ่ง แม้แต่สิทธิ์ลาออกก็ยังไม่มีเชียว หรือ นี่ไม่น่าขันไปหน่อยเหรอ”

“คุณ…” หยูหมิงคิดไม่ถึงว่าหม่าฝหุ้ยที่ปกติจะ สุภาพนอบน้อมต่อหน้าตนและคุณพ่อจะพูดแบบนี้ออก มาได้ เลพิงโสะจึงคุกรุ่นขึ้นมาอย่างห้าไม่อยู่ นึกอยาก ก่นด่าหม่าหุ้ยอย่างเจ็บแสบสักหน

หยูจื้อยกมือขึ้นปิดปากหยูหมิง หม่าฟู่หรุ้ยเป็นข้า เก่าเต่าเลี้ยงที่ร่วมต่อสู้กับตนมา ไม่ว่าอย่างไร หยูหมิงก็ ไม่มีคุณสมบัติจะด่าว่าเขาทั้งนั้น

พร้อมกันนั้นก็ได้เห็นสีหน้าของหม่าฝูหรุ้ย ได้ยิน น้ำเสียงที่เขาพูด หยูจื้อรู้อยู่ในใจว่าทำไมหม่าฝูหรัยถึงเลือกลาออกในช่วงเวลาแบบนี้

ได้ ฉันเห็นด้วย ต่อไปฉันจะคืนเงินที่คุณควรได้ รับในช่วงหลายปีมานี้ให้คุณทั้งหมด” หยูจื้อบอก

หม่าฝูหรุ้ยมองหยูจื้อ ค่อยๆ ระบายยิ้มเย็นชาออก มา พูดในใจว่า “นายคิดว่าฉันอยากได้เงินไม่กี่ตั้งของ นายเหรอ เฮอะ หยูจือเอ้ย นายดูถูกฉันเกินไปแล้ว ฉัน อยากให้นายเห็นอาณาจักรธุรกิจที่นายก่อตั้งเองกับมือ ส่งต่อให้คนอื่นอย่างจำนน อยากเห็นสภาพหงุดหงิดจน อยากตายของนาย นั่นต่างหากคือสิ่งที่ฉันอยากเห็นมาก ที่สุด”

หม่าหุ้ยมองไปทางผู้บริหารระดับสูงไม่กี่คน บนโต๊ะประชุม หันไปขยิบตาให้พวกเขา

คนเหล่านี้ล้วนถูกตนล็อบบี้เอาไว้แล้ว หลังจาก ตนออกหน้า ต่อไปก็ถึงเวลาให้พวกเขาแสดงต่อแล้ว

ผู้บริหารระดับสูงที่สวมแว่นตาคนหนึ่งลุกขึ้นมา เดินไปทางหยูจื้อ ในมือกระชับจดหมายลาออกฉบับหนึ่ง เช่นเดียวกัน “ท่านประธาน ผมขอลาออก”

ผู้บริหารหญิงรูปร่างผอมเพรียวคนหนึ่งก็ลุกขึ้น

ด้วย “ประธานหยู ขอบคุณสำหรับคำชื่นชมที่คุณมีต่อฉิน

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ขอโทษด้วย ดิฉันก็อยากขอลา ออกเช่นกัน” ผู้จัดการใหญ่หกเจ็ดคนลุกขึ้นยืนติดต่อกัน หันไป

ขอลาออกกับหยูจื้อ

“ประธานหยู สถานการณ์ของหัวเสร์ในตอนนี้ทำให้ผมไม่อาจทุ่มแรงกายเพื่อท่านแล้ว ขออภัย ผมขอ ลาออก”

“ผมก็ลาออกด้วย ผมไม่สามารถทำงานให้บริษัท ที่กำลังจะล้มละลายต่อไปได้”

“ผมก็ขอลาออกด้วย!”

ได้เห็นผู้บริหารระดับสูงลาออกเกือบสิบสี่คน คน อื่นๆ ในห้องต่างตกตะลึง เกิดอะไรขึ้น เรื่องเพิ่งเกิดขึ้น เมื่อวาน สถานการณ์ตอนนี้ก็ยังไม่ชัดเจน แต่ละคนกลับ ลาออกเหมือนรีบไปเกิดใหม่ นี่มันสมจริงเกินไปหรือ เปล่า

“พวกคุณ..” หยูจื้อพูดพร้อมยกมือกุมหน้าอก ตอนนี้เขาเจ็บหน้าอกมาก รู้สึกเหมือนหัวใจกำลังรัดเกร็ง ผู้บริหารระดับสูงเหล่านี้ล้วนเป็นเลือดเนื้อที่เขาใช้เวลา หลายปีหมายมั่นปั้นมือขึ้นมาที่ละขั้นเชียว แต่คราวนี้ทุก คนล้วนลาออกจนหมด ความรู้สึกที่ถูกคนหักหลังนี้ ใคร จะทนรับไหวกัน

“พ่อ พ่อเป็นอย่างไรบ้าง พ่อหายใจลึกๆ หายใจ เข้า หายใจออก หายใจเข้า หายใจออก…

หยูหมิงพยุงพ่อเอาไว้ทันที เพื่อเลี่ยงไม่ให้เกิด อะไรที่ไม่ดีเข้า รอให้การหายใจของหยูจื้อกลับสู่ปกติ ห ยูหมิงจึงหันไปว่ากล่าวผู้บริหารระดับสูงที่ลาออกกลุ่ม นั้น

“พวกคุณยังมีจิตสำนึกอยู่บ้างไหม พวกคุณลองคิดดูนะ ตอนปกติพ่อผมปฏิบัติต่อพวกคุณแบบไหน ตอน นี้พวกคุณกลับตอบแทนเขาด้วยวิธีแบบนี้เหรอ ได้ ใน เมื่อพวกคุณอยากออกนัก ก็ออกไปให้หมด บริษัทหัวเสร์ ของพวกเราไม่ต้องการพวกห่วงสุขอย่างพวกคุณ หรอก!”

ถูกหยูหมิงด่าทอ เหล่าผู้บริหารระดับสูงที่ลาออก ต่างละอายแก่ใจ ในหมู่พวกเขาล้วนมีทั้งเข้ามาด้วย เพื่อนร่วมรุ่นในปีนั้น มีทั้งเข้ามาเพราะสูญเสียแรง บันดาลใจในการทำงาน แต่ก็ยังถูกหยูจื้อเลื่อนขั้นขึ้นมา จากคนงานระดับรากหญ้าอยู่ดี

บริษัทของหยูจื้อ ขอเพียงมีพรสวรรค์ และความ สามารถก็สามารถได้รับโอกาสเลื่อนขั้นเงินเดือนที่พวก เขาได้รับ ก็เป็นค่าจ้างที่สูงกว่าอุตสาหกรรมในระดับ เดียวกัน

กล่าวได้ว่าหยูจื้อเป็นเจ้านายที่ให้ชีวิตพวกเขา แต่ตอนนี้พวกเขากลับหักหลังเจ้านาย และจัดฉากเรื่อง ราวชาวนากับงูเห่าเวอร์ชั่นใหม่

พวกเขาก็ไม่อยาก สถานการณ์ตอนนี้จะทำให้ พวกเขาไม่อาจไม่หักหลังหยูจือ เพราะหม่าฝหรุ้ยบอก พวกเขาชัดเจนแล้วว่าครั้งนี้คนที่จ้องเล่นงานตระกูลหยู เป็นขุมอำนาจที่ใหญ่โตยิ่งกว่า บริษัทหัวเสร์ไม่สามารถ รอดพ้นจากภัยพิบัติครั้งนี้ได้เลย

ถ้าหากพวกเขายอมฟังความเขา หม่าฝูหรุ้ยก็จะ ให้ของกำนัลอุ่นหนาฝ่าคั่งแก่พวกเขา ขณะเดียวกัน รอ ให้บริษัทหัวเสร์ถูกตระกูลนั้นกว้านซื้อแล้ว ยังจะรักษาเก้าอี้ในตอนนี้ของพวกเขาไว้ให้ด้วย

คนพวกนี้ล้วนเป็นคนฉลาด หลังจากชั่งใจดูแล้ว

ย่อมทำได้เพียงเอ่ยขอโทษต่อตระกูลหยู ก็ติดตามหม่า ฝหรัยเท่านั้น “พวกคุณที่อยู่ที่นี่โปรดฟังไว้ ตอนนี้พวกคุณก็

เห็นแล้ว บริษัทหัวเสร์เป็นศาลาที่โงนเงินจวนจะพังครีน

พวกคุณทุ่มแรงกายเพื่อตระกูลหยูมากแค่ไหน ผลลัพธ์

สุดท้ายก็ทำได้แต่ล้มไม่เป็นท่าพร้อมกับพวกเขาอยู่ดี

ตอนนี้พวกคุณมีหนึ่งโอกาส นั่นก็คือลาออกกับห ยูจื้อเสีย ให้เขาเป็นแม่ทัพไร้กองกำลัง แบบนี้ คำว่า “ตาย” ก็จะอยู่กับเขาแค่คนเดียว อีกอย่าง พวกคุณก็น่า จะเป็นคนฉลาดกันหมด เมื่อกี้มีคนตั้งมากมายลาออ กกับหยูจื้อขนาดนี้ ถ้าหากไม่มีทางข้างหน้า พวกเขาจะ ทำแบบนี้ไหม”

หม่าหุ้ยมองไปยังบรรดาผู้บริหารระดับสูงที่ไม่ ได้ลาออกที่เหลืออยู่ และพูดอย่าง “มีบางอย่างในคำ พูด”


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ