One heart รักเพียงเธอ

ตอนที่ 186 ฉันเด็กเส้นใหญ่



ตอนที่ 186 ฉันเด็กเส้นใหญ่

ตอนที่ 186 ฉันเด็กเส้นใหญ่

แผนการที่เป็นไปตามที่วางแผนเอาไว้ของจี้หวินจื่อมันดัง “ซู่ซ่า” ทําราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันอยู่ในมือของเขาแล้ว

ตอนที่เขาเงยหน้าจ้องมองซูเทียนอ้ายหลานสาว จากนั้นก็พูด ขึ้นมา “เทียนอ้าย แกไปทำงานที่บริษัทของน้าก่อน รอจนเวลา ที่กู้รั่วรั่วโอนบริษัทถังซื่อกรุ๊ปให้จี้หยินเฟิง จากนั้นแกค่อย กลับมาช่วยจี้หยินเฟิง

“งั้นน้าจะให้ฉันมาทำงานในตำแหน่งอะไร?” ซูเทียนอ้ายถาม ตรงๆ

จี้หวินจื้อไม่คิดว่าเธอจะถามตรงๆ แบบนี้ สีหน้าดูตกตะลึงไป ชั่วขณะ แต่ว่าเขาที่เป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ตัวพ่ออยู่แล้ว สามารถ ดึงสติกลับมาได้ทันท่วงที พลางตอบกลับ “ถึงแม้ว่าตำแหน่ง ของคนในบริษัทต่างมีคนที่เหมาะสมรับผิดชอบอยู่แล้ว งั้น แก ก็มาเป็นผู้ช่วยของน้าก็แล้วกัน”

คำพูดของเขาที่หลุดออกมาจากปากก็เหมือนกับการให้ โอกาสเธอแบบนั้น ซูเทียนอ้ายได้แต่ยิ้มให้อย่างเย็นชา “ผู้ ช่วยเหรอ?! น้าคิดว่าฉันแค่อยากเป็นแค่ผู้ช่วยงั้นเหรอ?”

มีบริษัทมากมายใช้เงินเดือนสูงมาดึงตัวเธอออกจาก บริษัทAR เธอกลับไม่ยอมไป
ทั้งๆ ที่ทำเพื่อตระกูลจี้ เธอยอมถึงขั้นลาออกจากบริษัท AR เพื่อที่จะลดตัวเพื่อเข้าไปช่วยเหลือพวกจี้หยินเฟิงที่บริษัทสือรุ่

แต่ว่าในเวลานี้มันกลายเป็นว่า คุณน้าที่เธอเคารพรักกลับไม่ เห็นคุณค่าที่เธอยอมลดตัวแลกมันมา แค่ให้เธอเป็นได้แค่ผู้ ช่วยกระจอกงอกง่อยเท่านั้นเอง ช่างดูถูกเหลือเกิน

“เทียนอ้าย น้ารู้ว่าตำแหน่งผู้ช่วยมันดูเหมือนว่าไม่ไว้หน้า แกเลย แต่ว่าบริษัทไม่มีตำแหน่งอื่นที่เหมาะสมกับแกแล้ว แก วางใจได้เลย มันก็แค่ชั่วคราว พอถึงเวลาที่บริษัทถังซื่อกรุ้ ปตามาอยู่ในมือของจี้หยินเฟิง ฉันจะให้เขาเว้นตำแหน่งผู้ จัดการใหญ่ของบริษัทถังชื่อกรุ๊ปเอาไว้ให้แกโดยเฉพาะ

จี้หวินจื่อพูดจาเกลี้ยกล่อมให้เชื่อใจ แต่ว่าการเอาผล ประโยชน์มาหลอกล่อ ในสายตาเขา ผลประโยชน์มากมาย มหาศาลขนาดนี้ เธอไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ตกปากรับคำเอา ไว้

แต่สิ่งที่ซูเทียนอ้ายมองเห็นก็คือ คำพูดพวกนี้มันก็เป็นเหมือน คำพูดลอยๆ บริษัทถังซื่อกรุ๊ปจะตกมาถึงมือจี้หยินเฟิงหรือ เปล่า ยังไม่รู้ว่าวันไหนเลยด้วยซ้ำ

ดังนั้น เธอเลยรีบปฏิเสธทันควัน “ขอโทษด้วย คุณน้า ทาง บริษัทARเขายินดีรับฉันกลับไปทำงาน ดังนั้นฉันเกรงว่าไม่ สามารถเข้าไปช่วยเหลืองานในบริษัทของคุณได้
“แกจะกลับไปทํางานที่บริษัทARเหรอ?” ฉินซือเหลียนร้อง เสียงหลงอย่างประหลาดใจ

“อืม” ซูเทียนอ้ายพยักหน้าตอบ “ความจริงแล้วตอนที่ฉันยัง ทำงานอยู่ที่บริษัทสือรุ่ย พวกเขาทางนั้นก็ยังคงติดต่อมาหา ฉัน”

“งั้นแกไปแล้ว เรื่องทางนี้จะทำยังไง?” ฉินซือเหลียน คิดไปว่า ยังมีเรื่องต้องสะสางอยู่เป็นกอง ถึงกลับร้อนรนขึ้นมาทันที

“ฉันมั่นใจว่าจี้หยินเฟิงสามารถจัดการเรื่องพวกนั้นได้ด้วยตัว ของเขาเอง”

ไม่ใช่ว่าซูเทียนอ้ายเห็นแก่ตัว แต่เธอกลับคิดแผนการใหม่ๆ ขึ้นมาแทน

“ไม่ได้! แกไปไม่ได้” ฉินซือเหลียนเดินไปดึงมือของเธอเอา ไว้ “เทียนอ้ายน้าเป็นคนเลี้ยงแกมาจนโตกับมือ น้าเองก็รู้สึก เหมือนว่าแกเป็นลูกสาวแท้ๆ ของน้า แต่ว่าที่นี่ไม่สามารถอยู่ ได้ถ้าไม่มีแก จี้หยินเฟิงกับกู้รั่วรั่วไม่มีวันทำเรื่องพวกนี้ได้ สําเร็จ”

“แกทิ้งไปแบบนี้ งั้นเรื่องที่เสิ่นโม่เฟยกับถังรั่วชูพวกมันทำ ไว้กับแก แกจะปล่อยวางไปง่ายๆ แบบนี้เหรอ? หรือว่าแกไม่ เกลียดพวกมันแล้ว?

ที่แท้จี้หวินจื่อก็เป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์อย่างเต็มคราบ ที่สามารถเรียกดึงประเด็นความเจ็บปวดของซูเทียนอ้ายเอามา เป็นข้ออ้างได้

“ฉันเกลียดพวกมันมาก แต่…” ซูเทียนอ้ายหยุดพูด จากนั้นก็ พูดต่อ “แต่การที่ฉันกลับไปทำงานที่บริษัทARก็ไม่ได้มีผลกระ ทบใดๆ”

อีกอย่าง การที่เธอกลับไปทำงานที่บริษัทARมีเป้าหมายหลัก อยู่แล้ว

“เทียนอ้ายเชื่อฟังคำพูดของน้านะ อยู่ต่อเถอะ” ฉินซือเหลียน จ้องมองเธออย่างเศร้าโศก

เทียนอ้ายสายศีรษะไปมา “ขอโทษด้วย คุณน้าคะ ฉันต้อง กลับไปที่บริษัทAR”

ความใจเด็ดของเธอทําให้ฉันซือเหลียนโกรธ “แกกลับไป งั้น ก็ไม่ต้องมาเรียกฉันว่าน้าอีก”

“ขอโทษด้วย” ซูเทียนอ้ายโค้งตัวให้พวกเขา จากนั้นก็หลัง ตรง แล้วเดินออกไปโดยที่ไม่ทันรอให้เขาตอบโต้อะไรได้อีก

“คุณดูหลานสาวตัวดีของคุณเอาไว้นะ”

จี้หวินจือไม่คิดเลยว่าเธอจะจากไปอย่างสิ้นเยื่อใยได้ขนาด นี้ เวลานั้นทุกอย่างระบายออกมาทางสีหน้า เขาตะคอกใส่หน้า ฉันซือเหลียนด้วยความโกรธ
ฉินซือเหลียนพูดอย่างน้อยใจ “เทียนอ้ายเป็นคนที่มีความคิด เป็นของตัวเอง ฉันไม่มีวิธีไหนจะจัดการได้อยู่แล้ว”

จี้หวินจื่อตาขวางใส่เธอ พร้อมทั้งโมโหกระฟัดกระเฟียดแล้ว ไม่พูดอะไรอีก

ถังรั่วชูรักษาตัวจนหายจนสามารถกลับมาทํางานได้

วันนี้ เธอกับส่งอานหยีนัดแนะกันเดินเข้าบริษัทพร้อมกัน จน สัมผัสได้ถึงสายตาที่มองมาอย่างสงสัยจากผู้คนโดยรอบ

“ซูซูนี่แกกลายเป็นจุดสนใจอีกแล้ว” ส่งอานหยีพูดติดตลก

ถังรั่วชูปล่อยวาง “จุดสนใจแบบนี้ก็เหมือนรู้สึกว่าตนเองเป็น ลิงตัวหนึ่งแต่กลับจับผลัดจับกูมาอยู่ในกลุ่มฝูงมนุษย์ จนถูก ฝูงชนต่อว่าต่อขานเอา

“แม่เจ้าชูชูนี่แกกล้าพูดว่าตัวเองเป็นลิงเลยเหรอเนี่ย”

“แกนั่นแหละที่เป็นลิง

ทั้งสองคนพูดหยอกล้อกันไปแล้วเดินไปทางลิฟต์

คนที่รอขึ้นลิฟต์พอเห็นพวกเธอเดินเข้ามาใกล้ ก็รีบสลายตัวทันที แวบเดียวหน้าลิฟต์ก็ไม่มีคนรอลิฟต์อยู่เลยสักคน

ถังรั่วซูกับสังอานหยีเห็นว่าที่หน้าลิฟต์ไม่มีคนรออยู่เลย แต่ก็ ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรด้วยซ้ำ รีบเดินเข้าลิฟต์ทันที

“ชูชูสองสามวันนี้บริษัทถางไห่จะจัดงานบันเทิงอวอร์ดประจำ ปี ถึงเวลานั้นแกจะไปงานด้วยไหม?” ส่งอานหยีถาม

“ดูสถานการณ์ก่อน ถ้าบริษัทให้ฉันไป ฉันก็ไป

ส่งอานหยีถอนหายใจ “ฉันสิ อยากไปมาก เพราะว่าจะเจอกับ ดาราดังเยอะแยะเลย แต่ว่า…”

เธอยักไหล่ พลางเอ่ยต่อ “ฉันไม่มีคุณสมบัติได้เข้าร่วมงาน บันเทิงอวอร์ดแบบนั้น”

“แกอยากไปจริงเหรอ?” ถังรั่วชูจ้องมองเธออย่างเอาจริงเอา

ส่งอานหยีตอบเป็นมั่นเป็นเหมาะ “ใช่สิ ฉันอยากไปดูพวก ดาราดังพวกนั้น จากนั้นก็ไปขอลายเซ็นจากพวกเขา ไม่แน่นะ ฉันอาจจะสร้างรายได้เล็กๆ น้อยๆ ก็ได้”

ถังรั่วชู “.…….

กล้าพูดเต็มปากเต็มคอว่าอยากไป ก็แค่อยากไปขอลายเซ็นดาราเท่านั้นแหละ

เมื่อขึ้นลิฟต์มาถึงชั้น ถังรั่ว ก็เดินออกมาแล้วเดินเข้าห้อง ก่อน สั่งอานหยีรีบเดินตาม

ทันใดนั้นเอง ส่งอานหยีถึงได้สัมผัสได้ว่ามันมีอะไรไม่ถูกต้อง

“ทําไมในลิฟต์มีแค่เราสองคนที่รอลิฟต์ล่ะ?”

เพราะว่าตอนนี้เป็นช่วงเวลาคนเข้าทํางานอย่างพลุกพล่าน ไม่มีทางจะมีแค่พวกเธอสองคน

สิ่งที่เธอพูดออกมา ถังรั่วชูถึงได้สติทันที เพียงแค่แวบเดียว เธอก็เข้าใจแล้ว

“พวกเขาไม่อยากใช้ลิฟต์ตัวเดียวกับเรา”

“ทําไมล่ะ?” สงอานหยีไม่เข้าใจ

ถังรั่วซูยักไหล่ “อาจจะเป็นเพราะว่าฉันเด็กเส้นมั้ง เลยไม่ อยากจะอยู่ใกล้ฉันก็ได้

เธอใช้น้ำเสียงพูดความจริงเอามาล้อเล่นเพื่อแกล้งส่งอานหยี

“ก็แกเด็กเส้นจริงนี่”
ถังรั่ว ไม่เพียงแต่ยิ้มให้ “ใช่สิ ซึ่งเหยาเป็นถึงผู้จัดการใหญ่ ของบริษัทสือรุ่ยแล้วนี่ ตอนนี้ฉันเส้นใหญ่ปีกเลย”

“ฉันจะเกาะแก” สังอานหยีกระโจนใส่ตัวเธอ พร้อมทั้งยิ้มให้ อย่างประจบประแจง “ต่อไปต้องพึ่งใบบุญให้แกคุ้มกะลาหัว ฉันแล้ว”

ถังรั่วชูถึงกับหมั่นใส่หยิกแก้มเธอไปที “ได้ ฉันจะคุ้มกะลาหัว

แกเอง”

เทียนอ้ายถูกไล่ออก ตำแหน่งผู้จัดการใหญ่ก็ว่างลง

ตำแหน่งนี้ต่างเป็นที่หมายตาของผู้จัดการฝ่ายต่างๆ ที่มาก ความสามารถในบริษัทอยู่ไม่น้อย ต่างคิดว่าทางบริษัทจะ เลือกใครสักคนในกลุ่มพวกเขาเลื่อนตำแหน่งมาเป็นผู้จัดการ

ใหญ่

แต่ว่าช่างน่าเสียดาย สิ่งที่พวกคาดหวังไว้ต่างผิดหวังไป ตามๆ กัน

ตอนพักทานข้าวกลางวัน ถังรั่วชูกับสงอานหยีกำลังนั่งอยู่ ในบริเวณมุมห้องของโรงอาหาร ทั้งสองคนกินไปพลางไม่พูด อะไรสักคำ แต่ก็เข้าใจกันดี

เวลานั้นเอง ก็มีคนวิ่งเข้ามาในโรงอาหาร แล้วตะโกนเสียงตังลั่น “ท่านผู้จัดการใหญ่คนใหม่มาแล้ว”

ทันใดนั้น โรงอาหารวุ่นวายยกใหญ่ ทุกคนต่างวางตะเกียบ ของตนเอง แล้ววิ่งออกไปจากโรงอาหาร

จากภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า ถังรั่วซูกับสังอานหมี่มองหน้ากัน ก็ แค่ผู้จัดการใหญ่คนใหม่ไม่ใช่เหรอ? จำเป็นต้องตื่นเต้นขนาด นั้นไหม?

อีกอย่าง…ทำไมผู้ซึ่งเหยาถึงได้เลือกเวลาตอนกลางวันเพื่อ จะเข้ามาที่บริษัทด้วยล่ะ?

พวกเธอกะพริบตาปริบๆ จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อ แล้วก็นั่งดื่มน้ำแกงอยู่หลายอึก จากนั้นก็รีบ วางตะเกียบของ พวกเธอลง แล้ววิ่งออกไปจากโรงอาหารเหมือนกับกลุ่มคน อื่นๆ


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ