บทที่ 6 หีบผนึกพลัง (ตอนปลาย)
“มันเป็นคำสั่งจากท่านเทพ เพราะคำทำนายได้ถูกส่งมา ในทศวรรษนี้หายนะจากพลังแห่งการทำลายจะบังเกิดจง เก็บหีบทวิลักษณ์กลับมาก่อนจะสายเกินไป” เคไนน์ถอน หายใจยาว
“แต่หีบทวิลักษณ์ที่อยู่ในการดูแลของอสูรได้ถูกขโมย ไปเนิ่นนานแล้ว พวกเราเลยแยกกันออกตามหา จิ้งจอก อสูรอย่างข้าเองก็เป็นห่วงในเผ่าพันธุ์อสูรทั้งหลาย แต่ พวกข้านั้นมีความสำคัญกว่าเผ่าพันธุ์อื่นตรงที่พลังของ เราส่วนหนึ่งเสมือนเทพจึงสามารถผนึกหีบไว้ได้เป็นการ ชั่วคราวแต่ในขณะเดียวกันก็เปิดผนึกได้ด้วย”
“หม ? พลังเสมือนเทพก็คงคล้าย ๆ พรสินะ”
“ไม่ใช่ พวกเราคือเผ่าพันธุ์ที่สืบสายเลือดจากเทพ โดยตรงเพียงแต่มันเจือจางลงเพราะการสืบสายเลือดกับ พวกที่ไม่ใช่เทพ นาน ๆ ครั้งจะเกิดผู้มีสายเลือดใกล้เคียง กับบรรพบุรุษ ซึ่งในเผ่าพันธุ์อสูรตอนนี้มีอยู่เจ็ดตน
“อ้อ เพราะแบบนั้นเลยบอกว่าเสมือนเทพ” เทพินหัวเราะ นิดหน่อย “ขอเดาว่าหนึ่งในเจ็ดตนนั้นเป็นนายใช่ไหมที่มี พลังเสมือนเทพ”
เคไนน์เดาะลิ้น “ใช่ มีข้าด้วย แต่ช่างมันเหอะ ข้าไม่อยากพูดถึง”
“งั้นเหรอ… อืม เข้าใจแล้วเรื่องทั้งหมดเป็นอย่างนี้เอง”
“ดูเข้าใจอะไรเร็วดีนี่”
“ก็ไม่ใช่เรื่องซับซ้อน สรุปก็คือหีบที่อยู่กับเรามีพลัง เป็น ที่ต้องการของหลายเผ่าพันธุ์พอสมควรทั้งในเรื่องของ การเก็บรักษาและดูดกลืนพลัง แต่เพราะความสะเพร่า ของจิ้งจอกบางตัวพลังเลยหลุดหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ แต่ ในโชคร้ายก็ยังมีโชคดีที่ผมคนนี้นอกจากจะไม่โดนผลก ระทบของพลังเทพแล้วยังเก็บก้อนพลังกลับมาไว้ได้ด้วย อืม ๆ ผมนี่เก่งจริง ๆ
“ไอ้เจ้าคนหลงตัวเอง เดี๋ยวปั๊ดกัดหูขาด !! ”
“หลงตัวเองตรงไหน ผมพูดความจริงนะ” เทพินกอดอก เลิกคิ้วมองจิ้งจอกอสูรด้วยสายตาที่มีประกายขบขัน เค ไนน์อ้าปากค้างเถียงไม่ออก
“ชะ… ช่างมันก่อน ตอนนี้ต้องมาคิดก่อนว่าจะเอายังไง กับพลังเทพนี่ดี” จิ้งจอกอสูรเปลี่ยนเรื่องไป ก่อนจะเลื่อน ดวงตาสีทองมามองพลังเทพ
ที่เทพินผนึกไว้ “เอาพลังสองสายมารวมกันเป็นก้อน เดียวแบบนี้… นี่เจ้ายังเป็นมนุษย์อยู่ไหมเทน”
“ไม่รู้สิ”
“แล้วเจ้ามีความเห็นว่าจะจัดการกับพลังนี้ยังไง”
“ก็ไม่รู้อีกเหมือนกัน” คำตอบนี้ของเทพินดูไม่เป็นที่ พอใจนัก จิ้งจอกอสูรจ้องหน้าเขาเขม็งอย่างเอาเรื่อง เด็ก หนุ่มเลยต้องยอมเสนอความเห็นด้วยท่าทางเกียจคร้าน “ใส่กลับเข้าหีบไปเหมือนเดิมไม่ได้หรือไง”
“ไม่ได้หรอก หีบเสียหายไปแล้ว การที่จะใช้มันผนึกได้ อีกจําต้องนํามันไปให้เทพเจ้าซ่อมเท่านั้น ส่วนตัวข้าเองก็ ผนึกได้เพียงไม่นานอย่างมากก็เจ็ดวัน เพราะร่างกายข้า ไม่สมบูรณ์”
“ทำหน้ามู่ทู่ทำไมเทน” เคไนน์มองหน้าเทพินอย่างฉงน เมื่ออีกฝ่ายเบ้ปากกลอกตาไปมาท่าทางจะเหยียดหยาม ไม่ใช่จะเหนื่อยหน่ายก็ไม่เชิง
“ร่างกายนายก็ไม่สมบูรณ์มาตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ จิ้งจอกแคระ”
“แคระบ้านเจ้าสิ ! ที่ข้าอยู่ในร่างนี้เพราะแกนพลังของข้า โดนทําร้ายจนปริร้าว รวมพลัง ไว้ในร่างกายมาก ๆ ไม่ได้”
“อ้าว ไม่ได้แกนพลังอสูรพังแต่กำเนิด ? ”
“มันจะไปใช้ได้ยังไงกันเล่าไอ้บ้า!” จิ้งจอกอสูรพุ่งเข้าไป หมายจะตะกุยหน้าอีกฝ่ายให้เสียโฉม แต่เทพินไวกว่า ยกมือขึ้นตบจิ้งจอกลงโต๊ะ
“ใครมันจะไปรู้ ผมไม่ได้มองไปให้ถึงแกนพลังแบบนั้น นี่นา” เด็กหนุ่มจ้องจิ้งจอกบนโต๊ะแล้วยิ้มออกมาอย่าง ขบขัน เพราะร่างนั้นนอนแผ่อย่างกับพรมเช็ดเท้า
“อย่างเจ้าน่ะเรอะจะมองไม่เห็น !! “ เคไนน์เงยหน้ามอง ดวงตาสีทองเต็มไปด้วยความเคียดแค้น หางสีขาวฟูฟ่อง ตบลงบนโต๊ะหลายครั้งอย่างไม่พอใจ เทพินได้ยินคำถาม ก็หุบยิ้มฉับ ดวงตาสีม่วงกลับไปว่างเปล่าไร้อารมณ์อีก ครั้ง
“บางทีนายอาจลืมไป ถึงผมจะมองเห็นภูต ผี ปีศาจ หรือ อสูรแต่ผมก็ไม่ได้เรียนรู้อะไรมากเกี่ยวกับการใช้พรของ เทพ เพราะผมไม่ใช่ไกรา เป็นแค่เพียงคนนอกคอกของ ตระกูลเท่านั้น”
“ขะ… ข้าขอโทษ”
“รู้ว่าผิดก็ดี คราวหลังก็อย่าพูดเรื่องนี้อีกล่ะ”
ดูเหมือนเรื่องของตระกูลภาคีพิทักษ์จะเป็นจุดอ่อนไหว ของเทพิน แม้สีหน้าท่าทางจะไร้อารมณ์แต่ภายในคง เดือดดาลไปหมดแล้ว เคไนน์จดจำไว้ขึ้นใจอย่างดี แต่มัน ก็อาจมีบ้างที่เผลอไผล
มันไม่สงสัยว่าทำไมเจ้าเด็กนี่ถึงไม่ค่อยชอบตระกูล ตนเองนัก เป็นมันถ้าเจอแบบเดียวกันก็คงไม่ชอบ จิ้งจอก อสูรเก็บความคิดตนเองแล้วพูดเข้าเรื่องต่อไป
“เรื่องพลังเทพนี่คงต้องให้อยู่ในผนึกของเจ้าสักพัก ว่า แต่มันอยู่ได้นานขนาดไหนเหรอ”
“นานตราบเท่าที่ผมยังมีพลัง
“แล้วพลังเจ้าจะหมดเมื่อไหร่เล่า ! “
“ถ้าพักผ่อนทุกวันโดยไม่ใช้พลังทำอย่างอื่นก็อยู่ได้นาน นับสิบปีมั้ง แต่พลังไม่เสถียรเท่าไหร่อาจจะมีบ้างที่ผนึก แตกแต่ก็ซ่อมได้อยู่”
“นี่ก็เก่งเกินไปเฟ้ย ! เจ้าเป็นมนุษย์จริงเรอะ ! “
“ต้องมนุษย์ที่เก่งกาจอยู่แล้วสิ” คำพูดชมตัวเองหลุดออกมาอีกครั้ง เคไนน์ตบโต๊ะอีกหลาย ๆ ครั้งระบาย อารมณ์ ที่ตอนอยู่ต่อหน้าคนอื่นเป็นเด็กร่าเริงสดใส น่า เอ็นดูสำหรับผู้ใหญ่ แต่ทำไมพออยู่กับมันแล้วถึงได้กลาย เป็นเด็กเถียงคำไม่ตกฟากและหลงตัวเองได้ขนาดนี้
ตัวตนของเทพินมันเกินพอดีไปแล้ว !
“ถ้าผนึกได้นานขนาดนั้นก็หมดห่วงแล้ว” เคไนน์ถอน หายใจเบา ๆ
เทพินสะกิดขาหน้ามัน “แต่ให้ผมผนึกตลอดก็เปลืองแรง นะ”
“จะเปลืองแรงขนาดไหนเชียวเหอะ ! “
“ก็ทำให้ไม่มีแรงทำอย่างอื่นนอกจากกินกับนอนไง”
“โอ้ย… เคไนน์ถึงกับพูดอะไรไม่ออก อารมณ์พุ่งขึ้นมา จุกอกอยากจะด่าทอออกมาสักคำแต่ก็ไม่รู้จะด่าว่ายังไง จนใจเหลือจะกล่าว
“เอาอย่างนี้ไหม ให้ผมดึงพลังเทพมาซ่อมแกนพลังให้ นายใหม่ แบบนี้แล้วมันน่าจะดีกว่าให้ผมผนึกนะ” เทพิน เสนอความคิดเห็นพลางหยิบเอาก้อนพลังเทพขึ้นมาโยน เล่น
“เจ้าทำแบบนั้นได้เรอะ”
“พอทำได้ ถึงผมจะไม่รู้วิธีใช้พรของเทพ แต่ผมก็เรียน รู้พลังของตัวเองจนใช้ได้อย่างหลากหลายอยู่เหมือนกัน แค่การดึงพลังออกมามันไม่ยากหรอก”
“แต่พลังเทพนี้มีมลทินนะ…”
“อ้อ จริงสินะ แต่มันคงไม่เป็นไร พลังในส่วนที่เป็นมลทิน ผมน่าจะดึงออกมาได้ จากนั้นก็ใช้พลังเทพสร้างแกนพลัง ให้นายใหม่ เพียงแต่นี่มันพลังของเทพชั้นสูง ร่างแคระ ๆ นั่นจะรับไหวไหม”
“อย่ามาเรียกแคระสิเฟ้ยเจ้าหน้าพะโล้เป็ดย่าง ! ร่างข้า ทนทานอยู่แล้วเพราะมีสายเลือดใกล้เคียงบรรพบุรุษที่ เป็นครึ่งเทพ ฉะนั้นพลังเทพนี้ก็น่าจะรับไหว
“น่าจะ… สินะ”
“รับไหวก็ได้ ! พอใจเจ้าหรือยัง ทำไมต้องทำสายตาแบบ นั้นใส่ข้าตลอดเลย เจ้าไม่พอใจอะไรข้าก็พูดออกมา”
เห็นหน้าระรื่นของเทพินและมองสมเพชมาที่มันแล้ว จิ้งจอกอสูรเจ็บแค้นนัก
“ก็เปล่านี่” คนหน้าระรื่นตอบกลับ “เอาเป็นว่าจะ ระมัดระวังก็แล้วกัน จะระลึกไว้เสมอว่าจิ้งจอกแคระของ ผมเปราะบาง…”
“ข้าไม่ได้เปราะบาง ไม่ต้องประชด!”
“หึ ๆ ” เทพินหัวเราะขบขันในสําคอ จากนั้นก็กวักมือ เรียกอีกฝ่ายให้เข้ามาใกล้ “มานี่ ผมจะเริ่มแล้ว ถ้าดึกมาก ไปกว่านี้ผมจะนอนไม่หลับ
เขาเป็นคนเลือกเวลานอน ถ้าหลังเที่ยงคืนไปแล้วเขา จะตาสว่างนอนไม่หลับ จะนอนอีกทีก็พรุ่งนี้เย็นเลย เพื่อ ไม่ให้เสียสุขภาพจนทำให้เขาสมองฟ่อก็ควรจะเข้านอน อย่างเป็นเวลาและพักผ่อนให้เพียงพอ
เคไนน์เดินเข้ามาใกล้เทพินด้วยท่าทางฮึดฮัด เด็กหนุ่ม มองแวบหนึ่งก่อนจะหยิบก้อนพลังที่เขาผนึกไว้เองขึ้นมา ถือ ก้อนพลังที่ใหญ่เพียงแค่ลูกเทนนิสนี้อัดแน่นไปด้วย พลังเทพที่เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจน แต่พลังนั้นไม่ได้สูง ไปกว่าผนึกที่เขาสร้างขึ้น
ที่จริงผนึกเขาก็ไม่ได้แข็งแกร่งเท่าไรนัก เพียงแต่พลังที่ ปนเปื้อนนี้อ่อนลงไปมากกว่า การปนเปื้อนพลังเทพทำให้ พลังเทพทั้งสองสายอ่อนแอลงอย่างชัดเจน อย่างนี้ไม่ว่า เขาหรือเคไนน์ก็ล้วนแต่ผนึกได้อย่างยาวนานทั้งนั้น แต่ ถ้าเทพินดึงพลังปนเปื้อนออกพลังนี้จะค่อย ๆฟื้นฟูแรงต่อต้าน ผู้ที่ไม่ใช่เจ้าของพลังน่าจะมีอยู่ ระหว่างซ่อมแซมแกนพลังอาจจะเจ็บปวดเจียนตายเลย ก็ได้
มันช่วยไม่ได้ อยากเก่งต้องอดทน
เทพินวาดมือเป็นสัญลักษณ์เหนือก้อนพลัง ด้วยพลังที่ ผิดแปลก แยกพลังสีน้ำเงินและพลังสีส้มออกจากกัน ไอ พลังที่ปนเปื้อนเขาไม่สามารถมองเห็นได้แต่รับรู้ได้ถึง การคงอยู่ ดวงตาสีม่วงอ่อนหรี่ลง ปลายนิ้วมีพลังที่มอง ไม่เห็นจิ้มลงไปที่พลังเทพทั้งสอง ดึงเอาพลังแปลกปลอม ออกมาอย่างใจเย็น
พลังนั้นถูกดึงดูดเข้าหาพลังของเทพิน มันวนเวียนไป มาอย่างรื่นเริงรอบปลายนิ้วของเขา เมื่อพลังสัมผัสกัน พลังแปลกปลอมเหล่านั้นก็แตกสลายหายไป เทพินขมวด คิ้วยุ่งขึ้นมาทันที พลังนั่นเขาไม่ได้ดูดกลืนแต่มันหายไป ราวกับไม่มีอยู่จริง
หมายความว่ายังไง ?
“เป็นอะไรไปเทน ดึงพลังออกไม่ได้หรือ ? ” เคไนน์ถาม อย่างเป็นห่วง ใบหน้าของเทพินเคร่งเครียดพอสมควร ท่าทางการดึงพลังเทพจะกินแรงกว่าที่คิดไว้
“พลังดึงได้แล้ว จะเริ่มเลยนะ” เทพินยิ้มนุ่มนวล แต่ดวงตาเป็นประกายแวววาวเริ่มสะท้อนภาพจิ้งจอกอสูร สีขาวที่แสดงสีหน้าเหลอหลาออกมาก่อนจะตอบรับเขา เสียงมั่นใจ
“อื้ม ! ”
“อาจจะเจ็บมากต้องอดทนนะ”
“SH!”
“อนุญาตให้กรีดร้องได้แต่อย่าดีดดิ้นมากมันจะทำให้ ซ่อมยาก อ้อ แล้วก็… ห้ามมาโทษกันทีหลังด้วยล่ะ”
“หมายความยังไงนั่น” เคไนน์เริ่มขมวดคิ้วมองหน้าเด็ก หนุ่มนัยน์ตาสีม่วงอ่อน คำพูดฟังดูประหลาด ๆ และน่า ตะขิดตะขวงใจอย่างบอกไม่ถูก
ยังไม่ทันที่จิ้งจอกอสูรจะทันได้คิดอย่างถี่ถ้วน เทพินก็ ชิงลงมือก่อนแล้ว พลังเทพบริสุทธิ์ที่เขาสกัดออกมาได้ ถูกเขายัดเข้าไปในแกนพลังที่ ปริร้าว ดึงพลังส่วนเกินที่ แกนพลังรับไม่ไหวออกมาสานและถักทอซ่อมแซมแกน พลังอย่างสงบนิ่งใจเย็น…
“อ๊ากกก !!! ”
ไม่ได้สนใจเสียงร้องโหยหวนเลยว่าจิ้งจอก สุรสีขาวคน นี้กำลังจะขาดใจตายอยู่รอมร่อแล้ว บ้าที่สุด
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ