ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต

ตอนที่ 102 เงื่อนไขที่เป็นอาจารย์ของเจ้า



ตอนที่ 102 เงื่อนไขที่เป็นอาจารย์ของเจ้า

“ให้ข้าทำเองนะ รอยช้ำบนตัวข้าดูไม่ได้เลย ข้าไม่อยากให้ ท่านอ๋องเห็น” นางแสดงท่าทางของสาววัยแรกแย้มเต็มที่เพื่อ ให้เขาเอามือออกไป

สีหน้าของโม่จื่อเฟิงก็เข้มขึ้นแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ เขายื่นถ้วย กระเบื้องเคลือบมาให้นาง เขาไปนั่งตรงโต๊ะข้างๆ “ข้าไม่ ลงมือเองก็ได้ แต่จะนั่งมองเจ้าทายาด้วยตนเองนี่แหละ”

หลินซินเยียนอ้าปากค้าง ทำไมเขาแสดงท่าทางหลงนาง เช่นนี้อีกแล้วเล่า หรือว่าเพราะนางถูกเขานอนด้วยเยอะมาก เกินไป นางเลยกลายเป็นหญิงวัยทองตั้งแต่หัวจรดเท้าหรือ ความคิดของนางตื้นเกินไปหรือ

หรือว่านางแสดงสีหน้าชัดเจนมากเกินไปทำให้รูม่านตา ของเขาหดตัวลงเล็กน้อย เขายิ้มแบบปีศาจในร่างคนออกมา โดยไม่รู้ตัวแล้วลุกขึ้นเดินมาข้างหน้านางช้าๆ เขายื่นมือมา จับคางของนาง “แม่นาง เจ้าใช้สายตาเช่นนี้หมายจะยั่วยุข้า ใช่หรือไม่”

“ท่านเข้าใจผิด” เข้าใจผิดเป็นแน่ นางจะบ้าหรือไปยั่วยุเขา

ยังไม่ถึงชั่วพริบตาเดียว ริมฝีปากของโม่จื่อเฟิงก็ประกบจูบ ลงบนริมฝีปากแดงกลืนเสียงของนางหายไป เมื่อเขาโถม ตัวนางลงบนเตียง เขาก็เค้นเสียงต่ำ “ปีศาจน้อย”

หลินซินเยียนกระตุกมุมปาก เหอะๆ

นางลืมเสียแล้ว เรื่องแบบนี้โดยธาตุแท้แล้วโม่จื่อเฟิงมักจะ ทำตามอำเภอใจ ทันใดนั้นนางก็นึกถึงละครเรื่องหนึ่งที่เคยดูเมื่อก่อน ในเรื่องนั้นผู้ชายรักภรรยาของตนอย่างหัวปักหัวป่า แต่ว่าเขายังมีบ้านเล็กอยู่อีกหลายคน เขาอ่อนโยนกับภรรยา ของเขามาก เขาจะเกรงว่าเรื่องแบบนั้นจะหยาบคายและ ทำร้ายเธอ แต่สำหรับผู้หญิงบ้านเล็กนั้น เวลาเขาทำเรื่อง ประเภทนั้นเขาจะเหมือนสัตว์ป่าตัวหนึ่ง

เวลานั้น ถึงแม้ว่านางจะดูละครเรื่องนั้นจนจบแล้ว แต่นางก็ ยังไม่เข้าใจผู้ชายเหล่านี้ ก็เห็นอยู่ชัดๆเลยว่ารักภรรยาของ ตัวเองแต่กลับไปเที่ยวเล่นนอกบ้าน ตอนนี้ เมื่อนางเป็นบ้าน เล็กของผู้ชายแล้วนางก็เข้าใจขึ้นมาทันที

โม่จื่อเฟิงเห็นด้วยที่จะให้นางจากไป แม้ว่าถึงแม้ว่าเขาจะมี ขอบเขตคือครึ่งปี

แต่ว่าสำหรับหลินซินเยียนนั้นเวลาครึ่งปีนั่นฟุ่มเฟือยมาก นางต้องใช้เวลาครึ่งปีเดินทางไปยังที่ที่ไม่มีใครกล้าดูแคลน แล้วหลังจากครึ่งปีนั้น ต่อให้ท่านเป็นอ๋องอู่ซวนแล้วอย่างไร เล่า

ภายในห้อง หลี่หลงกำลังช่วยเอ่อร์ยาผ่าฟืนในห้องครัว เขาได้ยินเสียงที่ดังออกมาจากห้อง ทั้งหน้าและใบหูของเขา ก็แดงไปหมด ขณะผ่าฟืนเขาแทบจะไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา เลย เพียงแต่ เมื่อเขาได้ยินเสียงคลุมเครือด้วยความรักปะปน ไปด้วยเสียงคำรามต่ำอย่างเจ็บปวด ใบหน้าของเขาก็ขาวซีด ขึ้นมาทันที

เขาเป็นผู้ชายคนหนึ่ง ต่อให้เขาจะยังไม่เคยแต่งงานมา ก่อน แต่เรื่องแบบนี้ เพียงแค่เป็นผู้ชายก็เข้าใจกันหมด

“เอ่อร์ยา ผู้ชายคนนั้นวางแผนจะแต่งงานกับแม่นางหรือ ไม่” หลี่หลงถามเสียงต่ำ
ใบหน้าของเอ่อร์ยายังคงเจ็บอยู่ ยาขี้ผึ้งที่ดำที่เคลือบเงา อยู่บนหน้าของนางดูไปช่างน่าขันเสียจริง แต่ดูจากท่าทางที่ นางแสดงออกว่าเจ็บปวดแล้วนั้นก็จะไม่มีใครรู้สึกว่าน่าขัน เลยแม้แต่น้อย “ไม่เลย อีกไม่นานเขาก็จะแต่งงานกับหญิงอื่น แล้ว เขามองไม่เห็นตัวตนของแม่นางเลย ดังนั้นเลยไม่ได้ วางแผนจะแต่งงานกับแม่นาง”

“อะไรนะ” เมื่อหลี่หลงได้ยินเช่นนั้นก็โมโหมากจนทิ้งขวาน รีบเดินพุ่งไปยังห้องนอน เอ่อร์ยาตาไวมือไวรีบจับแขนของ เขาให้หยุดไว้ก่อน

“เจ้าจะทำอะไร เจ้ารู้ไหมว่าเขาเป็นใคร นั่นคือท่านอู่เซวีย น้อง อู๋เซวียนอ่อง” เอ่อร์ยาคำรามเสียงต่ำ หลังจากนั้น ดวงตาของนางก็มีน้ำตาไหลทะลักออกมา

หลี่หลงกำหมัดแน่น สีหน้าของเขาขาวแล้วขาวอีก อู่เซวีย นอ๋อง แค่สามคำนี้ก็หมือนภูเขาใหญ่ที่กดทับอยู่บนหัวใจ ขอ แค่เป็นพสกนิกรของอาณาจักรหนานเยว่ ใครเล่าจะไม่รู้จักอู่ เซวียนอ๋อง คนผู้นั้นคือเทพแห่งสงครามที่อยู่เหนือคนเป็น หมื่น ไม่ต้องให้เขาพูดไม่กี่คำ คนอีกพันคนก็ดิ้นไม่หลุดอยู่ใน นิ้วมือของเขา

“เช่นนั้น เช่นนั้นแม่นางจะทำอย่างไร…ผู้หญิงคนหนึ่งที่ ไม่มีชื่อเสียงและเกียรติยศ ชีวิตนี้จะมีความหวังอะไรเล่า” หลี่ หลงเป็นหนี้บุญคุณหลินซินเยียนอย่างใหญ่หลวง ในใจยิ่ง นับถือนางเป็นพิเศษ เห็นนางโดนดูถูกเหยียดหยามกลั่น แกล้งเก็บกดเช่นนี้ จะไม่ให้เขารู้สึกเกลียดได้อย่างไร

เอ่อร์ยาเช็ดน้ำตา กัดฟันพูด “ข้าจะติดตามแม่นางไปจะ ตลอดชีวิต ต่อให้นางไม่แต่งงานมีลูกก็จะมีข้าเลี้ยงดูนางไปจนแก่เฒ่า อีกอย่าง แม่นางบอกว่าอีกไม่นานพวกเราก็จะได้ ไปจากที่นี่”

หลี่หลงเงียบไม่พูดไม่จาสักพัก ก็ถอนหายใจอย่างหงุดหงิด แล้วหยิบหวานผ่าฟื้นมาอีก เพียงแต่ครั้งนี้ ราวกับว่าเขาใช้ แรงทั้งหมดที่เขามี เสียงแตกดังโครม ท่อนไม้หนาท่อนหนึ่งก็ ถูกเขาผ่าเป็นสองท่อนแล้ว

จินมู่ที่มองมาจากที่ไกลๆเห็นท่าทีทั้งหมดของทั้งสองคนก็รู้ เลยว่าทั้งคนคิดจะทำอะไร เพียงแต่ บางเรื่องนั้นก็ไม่สามารถ เข้าไปยุ่งได้ เพียงแค่มีจุดยืนไม่เหมือนกันก็เท่านั้นเอง

เขาก้มหัวถอนหายใจ เดินไปทางห้องของอี้เซิง เคาะประตู สองสามครั้ง อี้เซิงก็เดินมาเปิดประตูอย่างกล้วคนแปลกหน้า หางตาของอี้เซิงยังคงมีคราบน้ำตา เขามองไปทางห้องของ หลินซินเยียนโดยไม่รู้ตัว สูดจมูกหนึ่งครั้งแต่ก็กลั้นน้ำตาไว้ ไม่ร้องไห้ออกมา

“ผู้บัญชาจินมู่ มีข่าวคราวจากศิษย์พี่ของท่านแล้วใช่ไหม”

จินมู่พยักหน้า ใช้ร่างบังสายตาของเขาไว้ “ศิษย์พี่ส่ง จดหมายมาแล้ว บอกว่ายอมรับเจ้าเป็นศิษย์แล้ว แต่ว่า ก่อน จะไปข้ามีเงื่อนไข เจ้าต้องตกลงก่อนข้าถึงจะพาเจ้าไปคารวะ อาจารย์”

“เชิญผู้บัญชาการจินมู่พูดมาได้เลย” อี้เซิงพูดอย่างสุภาพ มาก เด็กผู้ชายที่มีอายุสิบหกสิบเจ็ดปีคนนี้บางทีมองดูก็ดูจะ หนักแน่นมากกว่าผู้ใหญ่เล็กน้อย

จินมู่มองไปยังห้องที่อยู่ไกลๆแล้วพูดว่า “ข้าอยากให้เจ้า สาบาน ไม่ว่าเจ้าจะเรียนวิชาความสามารถใดๆจากศิษย์พี่ของข้า เจ้าห้ามนำสิ่งที่ร่ำเรียนมามาทำร้ายท่านอ๋องโดยเด็ด ขาด”

เขาไม่ใช่มองไม่ออกสำหรับความตั้งใจของเด็กหนุ่มคนนี้ที่ มีต่ออู่เซวียนอ่อง แต่ว่าท่านอ่องไม่คล้ายคลึงกับสิ่งที่น่า รังเกียจสำหรับพวกเขา ชีวิตของเขาเป็นของท่านอ๋อง เขาไม่ สามารถทำเรื่องที่จะซ่อนการคุกคามท่านอ่องอย่างแน่นอน

เมื่ออี้เซิงได้ยินเช่นนั้น ก็ตะลึงจนอ้าปากกว้าง ทันใดนั้นก็ คำรามเสียงต่ำด้วยความโกรธแค้น “เช่นนั้นข้าจะเรียนวิชา พวกนั้นไปเพื่ออะไรกัน ข้าไม่เรียนแล้ว”

เขาเรียนเรื่องพวกนี้ก็เพื่อที่สักวันหนึ่งเขาจะยืนอยู่ตรงหน้า หลินซินเยียนเพื่อปกป้องนางได้ ถ้าหากเขาเรียนแล้วเก่งกาจ ไม่มีทางที่จะปกป้องนางจากการทำร้ายของอู่เซวียนอ๋องได้ เช่นนั้นเขาจะเรียนไปเพื่ออะไร

“ไม่เรียนหรือ” คิ้วของจินมู่ขวดแน่น “ในสายตาของเจ้า ท่านอ๋องเป็นคู่อริของเจ้าหรือ”

“เขารังแกพี่สาว” อี้เซิงกัดฟันพูด

จินมู่ส่ายหัวอย่างจนปัญญา “ท่านอ่องไม่มีวันเป็นคู่อริของ เจ้าแน่ อย่าลืมละ แต่เดิมก็เป็นท่านอ่องที่ยื่นมือเข้าช่วยชีวิต เจ้าจากคนวิปริตไว้ อีกอย่าง คนที่ทำร้ายหลินซินเยียนไม่มี ทางที่จะเป็นท่านอ๋องไปได้ เจ้าลองพิจารณาเงื่อนไขของข้า

ดูดีๆ ถ้าหากยินยอมก็ค่อยติดต่อข้ามาอีกทีแล้วกัน” เมื่อโม่จื่อเฟิงสวมเสื้อผ้าเสร็จแล้วเดินออกมาจากห้อง ฟ้าก็ ใกล้จะมืดแล้ว หลังจากจินมู่เตรียมรถม้าเสร็จทั้งสองคนก็ จากไปอย่างรวดเร็ว
เอ่อร์ยาจัดเตรียมโต๊ะอาหารอย่างยิ่งใหญ่ และยังเคี่ยวซุป

ไข่โดยเฉพาะ นางเพิ่งจะจัดถ้วยตะเกียบบนโต๊ะก็เห็นหลินซิ นเยียนเดินออกมาจากห้อง “เอ๋ แม่นาง รอยเจ็บบนหน้าของ ท่าน” หลินซินเยียนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเลยยกมือขึ้นลูบ รู้สึกว่า

ยังมีความเจ็บอยู่นิดหน่อย แต่ว่ารู้สึกดีขึ้นกว่าตอนแรกมาก

“เกิดอะไรขึ้นกับแผลของข้า”

เอ่อร์ยาไม่ได้ตอบ จนหลี่หลงที่นั่งอยู่ข้างๆถามอย่าง ประหลาดใจ “แม่นาง ความเจ็บบนใบหน้าของท่านกับเอ่อร์ ยาก็พอๆกัน แต่ว่าตอนนี้ใบหน้าของท่านกับเอ่อร์ยานั้นต่าง กันมาก”

ความเจ็บบนใบหน้าของหลินซินเยียนดีขึ้นมากแล้ว มีเพียง รอยจางๆ ต่างกับหน้าของเอ่อร์ยาที่พอกด้วยยาขี้ผึ้งดำนั้นยัง คงมองเห็นรอยช้ำบวมเขียวอยู่ไม่น้อย


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ