บทที่ 1. กับอดีตที่เจ็บปวดหรือแสนสุข…
ร่างสูงใหญ่ที่นั่งอ่านเอกสารนิ่ง โดยไม่พูดจาทำให้เธอมี โอกาสลอบมองเขาเงียบๆ ด้วยใจที่สั่นไหวไม่หาย ใบหน้าหล่อ เหลาที่ประดับด้วยดวงตาคมใหญ่ใต้คิ้วหนายาวจรดหางตา จมูกโด่งเป็นสันสวยงามอย่างคนเลือดผสมและริมฝีปากหยักสี เข้มรับกับคางแกร่งมีรอยบุ๋มเล็กน้อยไรเคราที่มีต่อหนวดขึ้น จางๆ นั้นไม่ได้ทำให้เสน่ห์ของเขาลดลงไปแต่กลับทำให้นา หล่อเหลาเซ็กซี่น่าคลั่งไคล้อย่างที่สาวๆ ในมหาวิทยาลัยกล่าว ขานกัน แต่สีหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมาก็ส่งให้ นาวีดูเคร่งขรึมเย็นชาจนเหมือนหุ่นขี้ผึ้งในพิพิธภัณฑ์
บุษกรแอบถอนหายใจเบาๆ ราวกลัวว่าเขาจะได้ยินเสียง หายใจของตน ทั้งยังพยายามนั่งให้ชิดประตูรถฝั่งที่ตนนั่งมาก ที่สุดเพื่อไม่ให้ระยะห่างของเขากลับเธอใกล้กันเกินไป แต่ รถยนต์หรูกว้างใหญ่ทั้งรูปลักษณ์และยี่ห้อดังระดับโลกก็กว้าง ขวางจนมันทำให้เธอรู้สึกตัวเล็กลงไปมาก ยิ่งมานั่งอยู่กับคน ร่างกาย ใหญ่โตอย่างนาวีด้วยแล้ว เธอก็ยิ่งเหมือนมดตัวเล็กๆ ที่ หลงเข้ามาในปราสาทของอสูรร่างยักษ์ผู้ดุดันเหี้ยมโหด… บุษกรหันมองถนนที่คลาคล่ำด้วยรถราขวักไขว่อย่างเหม่อลอย ด้วยความอึดอัดและสับสน…
“นั่งมากับฉันมันทำให้คิดหนักมากรึไง ถึงทำหน้าตาเหมือน กำลังจะตายแบบนั้น
จู่ๆ เสียงเข้มดุดันของเขาก็ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน มากว่าสามสิบนาทีที่นั่งรถมาด้วยกันทำให้บุษกรสะดุ้งโหยงหัน ขวับมามองเขาหน้าตื่น
“ปละ เปล่า นะคะ บูมแค่ เอ่อ…”
บุษกรพูดตะกุกตะกักรู้สึกคอแห้งปากแห้งจนแสบร้าวไปทั้งล่า คอ เธอจึงตวัดลิ้นเล็กๆ นั้นเลียริมฝีปากสีเรือที่ของตนเพื่อเพิ่ม ความชุ่มชื้นให้มันแล้วก้มหลบตาเขาอย่างขลาดกลัว…
สายตาของเขาน่ากลัวเหลือเกิน มันวาววับราวกับว่ามีเปลว เพลิงอยู่ในหน่วยตาคมคู่นั้น นี่เธอทำอะไรผิดนักหนาเขาจึงต้อง ทำหน้ายักษ์ใส่ทุกทีที่เจอหน้ากัน ทั้งที่อยู่ในรั้วบ้านเดียวกันแต่ เธอกับเขาก็เหมือนคนแปลกหน้า….
ทั้งที่เคย… ไม่นะ เธอจะต้องไม่คิดถึงเรื่องนั้น… บุษกรหน้า ร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อคิดถึง อดีต ที่ไม่น่าจดจํา…..
“เวลาพูดกับผู้ใหญ่ทำไมไม่มองหน้า…
คนที่อาวุโสกว่าเสียงดังเหมือนตะคอกยิ่งทำให้เธอน้ำตารื้น ขึ้นมาอย่างง่ายดาย ความรู้สึกที่ถูกอัดแน่นบีบคั้นอยู่ในอกก็ยิ่ง เพิ่มความกดดันให้เธอจนปวดร้าวไปทั้งช่องท้องกระบอกตาร้อน ผ่าว…
“บูม…” สาวน้อยเงยหน้ามองเขาด้วยดวงตาที่พราวด้วย หยาดน้ำใสพอดีกับที่รถยนต์คันใหญ่เคลื่อนมาจอดยังประตู ด้านหลังของคฤหาสน์หลังงามบุษกรจึงฉวยโอกาสนั้นเปิดประตู ลงไปแล้ววิ่งตื้อไปไขกุญแจแล้วเข้าบ้านไปท่ามกลางสายตาฉุนเฉียวของคนที่มองตามแผ่นหลังเล็กไปอย่างไม่ชอบใจ ก่อนที่ คนขับรถจะเคลื่อนรถออกไปเมื่อเห็นว่า คนในปกครอง ของเจ้า นายหนุ่มเข้าบ้านแล้วเรียบร้อย…
เมื่อวิ่งเข้ามาหลบภัยในห้องนอนเล็กของตนแล้วบุษกร ร้องไห้ออกมาอย่างไม่อาจจะเก็บกักน้ำตาได้อีกต่อไป น้ำตา มากมายหลั่งไหลพรั่งพรูเหมือนว่าเขื่อนพังร่างเล็กนั่งอย่างหมด แรงลงบนเตียงนุ่มเหมือนคนหมดอาลัยตายอยาก มือน้อยยกขึ้น เช็ดน้ำตาป้อยๆ เหมือนเด็กน้อยหลงทาง
“คุณพ่อ คุณแม่ขา น้องบูมคิดถึงคุณพ่อคุณแม่… ฮือออ…พีวี ใจร้ายกับบูมเหลือเกิน…” สาวน้อยกล่าวเพื่อสะอื้นกับรูปของ บิดามารดาบนหัวเตียงที่ส่งยิ้มมาให้เธอเสมอไม่ว่ายามใด…
หากพวกท่านยังมีชีวิตอยู่ท่านก็คงโอบกอดเธอและจูบเบาๆ
หน้าผาก กล่อมเธอให้หลับด้วยนิทานสักเรื่อง หรือเพลงเพราะๆ
จากมารดาสักเพลง แต่ตอนนี้เธอไม่มีใครสักคนที่จะโอบกอด
หรือปลอบประโลมยามทุกข์ทนท้อแท้…แม้แต่คนที่รับปากกับ
พวกท่านก่อนสิ้นใจว่าจะดูแลเธออย่างดีก็ไม่ได้ทำเหมือนที่
สัญญาไว้แม้แต่น้อย…
บุษกรล้มตัวลงนอนอย่างอ่อนล้าแล้วค่อยๆ หลับตาลงด้วย ความรันทดเมื่อนึกถึงชะตากรรมของตนเอง… เมื่อสามปีที่แล้ว เธอยังเป็นคุณหนูแสนสวยร่ำรวยไฮโซมีบิดามารดาอยู่กันพร้อม หน้า ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตงดงามดั่งเจ้าหญิง อยากได้อะไรไม่มี ที่จะไม่ได้เพราะบิดามารดารักเธอมากเนื่องจากเป็นลูกสาวคน เดียวของนักธุรกิจใหญ่ไฟแรงที่อนาคตกำลังไปได้สวย
แต่แล้วก็เหมือนฟ้าเล่นตลกเมื่อจู่ๆ ธุรกิจส่งออกสินค้าอาหาร แช่แข็งของบิดาประสบปัญหาขาดทุนอย่างรุนแรงซึ่งเป็นช่วง เวลาเดียวกันกับที่เธอกำลังจะเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย ชั้นปีที่หนึ่ง และในวันที่จะเข้ามอบตัวเป็นนักศึกษานั้นเองเป็นวัน ที่บิดามารดาของเธอเสียชีวิต…
“บูมไปมหาวิทยาลัยก่อนนะลูก เดี๋ยวพ่อกับแม่จะตามไปฉลอง ด้วยกันทีหลัง… แม่กับพ่อรักลูกนะจ๊ะ”
นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายที่ได้ยินจากปากของมารดาที่มาส่งเธอ ขึ้นรถไปมหาวิทยาลัย ใบหน้าของมารดาดูเศร้าสร้อยแต่ก็มีรอย ยิ้มอ่อนโยนเช่นทุกวันทำให้เธอไม่ได้เฉลียวใจเลยว่ามันจะเป็น รอยยิ้มสุดท้ายของมารดาที่จะได้เห็น…
ระหว่างที่รอบิดามารดาเข้ามาจัดการเรื่องเรียนที่ มหาวิทยาลัยเธอรู้สึกสังหรณ์ใจอย่างบอกไม่ถูก สร้อยคอ ทองคำขาวเส้นงานที่มีจี้รูปหัวใจซึ่งข้างในมันเป็นรูปครอบครัว ของเธอนั้นก็ขาดอย่างไม่มีสาเหตุทำให้เธอโทรศัพท์กลับมาหา มารดาแต่ปลายสายไม่มีใครรับ เธอพยายามโทรศัพท์หาใคร สักคนในบ้านแต่แล้วก็ไม่มีใครรับจนเมื่อนาวีมารับเธอให้ไปโรง พยาบาลด้วยกัน ทำให้เธอได้รู้ว่ามีเหตุร้ายแรงเกิดขึ้นกับพวก ท่าน…
บิดาของเธอฆ่าตัวตายพร้อมด้วยมารดา…
บิดานั้นยิงมารดาของเธอก่อนที่ท่านจะจ่อยิงตนเองจนเสีย ชีวิตแต่มารดาของเธอยังมีลมหายใจอยู่ ท่านถูกนำส่งโรงพยาบาลและพยายามยื้อลมหายใจสุดท้ายเพื่อจะได้พบเธอ พร้อมทั้งได้สั่งเสียบางอย่าง มารดาฝากฝังเธอไว้กับครอบครัว ของนาวี ซึ่งคุณ ป้าเคียร่า มารดาของนาวีนั้นมีศักดิ์เป็นป้าสะใภ้ ของเธอเพราะ ลุงบดินทร์ บิดาของนาวีนั้นเป็นเครือญาติทางฝ่าย บิดาของเธอนั่นเอง ซึ่งท่านทั้งสองสนิทสนมกันมาก ก่อนที่ มารดาจะสิ้นใจนางได้สั่งเสียให้นาวีดูแลเธอเหมือนน้องสาวคน หนึ่งซึ่งในวันนั้นบุษกรก็ได้ยินเขารับปากหนักแน่นว่าจะทำตามที่ มารดาร้องขอ ซึ่งป้าเคียร่าเองก็รับปากว่าจะดูแลเธออย่างดี เพราะท่านรักและเอ็นดูเธออยู่มากเพราะนางไม่มีลูกสาว มารดา ของเธอจึงจากไปอย่างสงบท่ามกลางความเสียใจของทุกคน…
หลังจากที่บิดามารดาเสียชีวิตลงครอบครัวของนาวีได้จัดการ งานศพและเคลียร์ปัญหาทุกอย่างของครอบครัวเธออย่าง รวดเร็วและเรียบร้อย โดยที่บุษกรได้แต่มองอย่างไม่รู้จะทำอะไร ได้มากกว่านั้น อีกทั้งยังตกอยู่ในความเศร้าโศกเสียใจ ตลอด เวลาที่บำเพ็ญกุศลศพของบิดามารดาเธอก็เอาแต่ร้องไห้จนไม่ เป็นอันทำอะไร และเมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางจึงได้รู้ว่าตนไม่ เหลืออะไรเลยแม้แต่บ้านที่จะซุกหัวนอน ทุกอย่างถูกขายทอด ตลาดเพื่อใช้หนี้ และเธอจำต้องมาอาศัยอยู่กับครอบครัวนาวีใน ฐานะหลานสาวของคุณบดินทร์กับคุณเคียร่าแต่เนื่องจากบุษกร ไม่อยากเป็นขี้ปากของใครแล้วยังมีเหตุผลส่วนตัวที่เธอไม่อาจ จะปริปากบอกใครได้ เธอจึงขออนุญาตอยู่เรือนเล็กซึ่งเป็นบ้าน พักของ ป้าพริ้ง แม่บ้านเก่าแก่ซึ่งอยู่กับลูกจ้างสาวอีกสองคน แม้ คุณเคียร่าจะขึ้นมารับประทานอาหารและมาอยู่เป็นเพื่อนนางทุกวันแล้วค่อย กลับเรือนเล็ก
ก๊อกๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมทั้งเสียงเรียกอยู่หน้าห้อง ทำให้บุษกรรีบเช็ดน้ำตาจากแก้มแล้วเดินไปเปิดประตูก็เห็น พี่ ส้ม ยืนยิ้มแฉ่งอยู่หน้าห้องก่อนจะเปลี่ยนเป็นตกใจเมื่อเห็น ใบหน้าและตาแดงก่ำของเจ้าของห้อง
“อุ้ย คุณหนูบูมของพี่ส้มเป็นอะไรไปคะเนี่ย… ใครรังแกบอกพี่ ส้มมาเลยค่ะ พี่ส้มจะไปจัดการมันเอง” พี่ส้มสาวใหญ่วัยสี่สิบที่ หวงแหนชีวิตโสดของตนมากกว่าสิ่งใดพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ทำท่าขึงขังอีกด้วย
“ไม่มีหรอกค่ะ น้องบูมแค่คิดถึงคุณพ่อคุณแม่เท่านั้นเอง”
“โถๆ คุณหนูของพี่ส้ม ไม่เป็นไรนะคะคุณพ่อคุณแม่ท่านไป สบายแล้ว ตอนนี้คุณหนูมีพี่ส้มที่พร้อมจะดูแลคุณหนูนะคะ อย่า เศร้าไปเลยค่ะ” พี่ส้มโอบกอดร่างเล็กๆ ของเธอไว้แน่นทั้งลูบ หลังลูบไหล่ด้วยความรักและเวทนา
“ขอบคุณนะคะ พี่ส้มกับป้าพริ้งดีกับน้องบูมมาตลอดเลย จน น้องบูมเกรงใจพี่ส้มกับป้าพริ้งเหลือเกิน”
“คุณหนูอย่าคิดมากสิคะ คุณหนูเป็นลูกสาวของคุณบารมีซึ่ง ท่านก็มีบุญคุณกับพวกเรามาตลอด หากไม่ได้คุณพ่อของคุณหนู ที่ช่วยเหลือพี่ส้มกับป้าพริ้งก็คงไม่มีชีวิตที่ดีและสุขสบายเหมือน ทุกวันนี้หรอกค่ะ พี่สมรักคุณหนูนะคะ” พี่ส้มลูบแก้มนวลที่เปรอะ เปื้อนด้วยคราบนํ้าตานั้นแผ่วเบา
“น้องบูมก็รักพี่ส้มค่ะ” บุษกรยิ้มบางๆ ให้พี่ส้มอย่างขอบคุณ
คุณพ่อของเธอเคยเล่าเรื่องของพี่ส้มให้ฟังว่าขณะที่กำลังขับ รถกลับบ้านระหว่างทางบิดาของเธอเจอกับทั้งสองป้าหลาน กำลังวิ่งหนีอะไรสักอย่างอยู่ข้างถนน โดยมีชายฉกรรจ์ห้าคนวิ่ง ติดตามมาแล้วเข้าไปฉุดกระชากพี่ส้มเข้าไปพงหญ้าข้างทางที่ เปลี่ยวสงัด และพยายามจะฉุดพี่ส้มไปขืนใจเพื่อชดใช้หนี้สินที่ ป้าพริ้งผู้ซึ่งเลี้ยงดูพี่ส้มมาตั้งแต่เล็กๆ หยิบยืมมาใช้จ่ายช่วงที่ ยากลำบาก บิดาของเธอเข้าไปช่วยเหลือโดยไม่ลังเลและพาสอง ป้าหลานออกมาจากที่นั่นอย่างปลอดภัย
มารสังคมพวกนั้นก็ถูกจับดำเนินคดีตามกฎหมายเพราะทำชั่ว กับคนอื่นมามากมาย บิดาของเธอพาทั้งสองป้าหลานมาหาป้า เคียร่าและฝากฝังให้ทำงานด้วยก่อนจะเดินทางไปดูงานที่ต่าง ประเทศพร้อมเธอกับมารดา ตอนนั้นเธอยังเป็นเพียงเด็กหญิงตัว เล็กๆ และทุกครั้งที่มาบ้านป้าเคียร่าทั้งป้าพริ้งและพี่ส้มก็จะดูแล เธออย่างดีเอาอกเอาใจราวเจ้าหญิงเลยทีเดียวซึ่งเธอก็ชอบมาก ตามประสาเด็ก จนเมื่อเรียนจบประดับไฮสคูลบิดามารดาก็กลับ มาอยู่ที่เมืองไทยจนกระทั่งเกิดเรื่องน่าเศร้าในครอบครัวของ เธอ…
“คุณหนูไปล้างหน้าล้างตาเถอะค่ะ คุณป้าเคียร่าเรียกหาแน่ะ”
“ค่ะ” ว่าแล้วสาวน้อยก็รีบเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตาอย่าง รวดเร็วก่อนจะเดินอย่างเร่งรีบไปยังเรือนใหญ่
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ