๒.๓ พระจันทร์ไร้แสง
เสียงโทรศัพท์มือถือตั้งขึ้นในเวลาเกือบหนึ่งทุ่ม ทำให้รังสิมัน ต์ที่กำลังนั่งมองเมสซี่กินอาหารอยู่ต้องลุกขึ้น แล้วหยิบมันออก มาเพื่อกดรับสาย
“ว่าไงครับศศิ” เสียงทุ้มถามออกไปอย่างคุ้นเคย เพราะหลัง จากที่ศศิประภาช่วยเมสซี่ไว้ในวันนั้น ความสนิทสนมระหว่างเขา กับศศิประภาก็มากขึ้นเรื่อยๆ วันไหนที่เขาไม่ได้ไปที่บ้านของเธอ ตามคำเชิญ เธอก็มักจะเป็นฝ่ายโทร.มาหาเขาอยู่เป็นประจำ
“คุณตะวันช่วยศศิด้วย…ฮือๆๆๆ
ศศิประภาพดละล่ำละลักและตามมาด้วยเสียงร้องไห้สะอึก สะอื้น
“ใจเย็นๆ นะครับศศิ มีอะไรค่อยๆ เล่านะครับ” รังสิมันต์ เอ่ยปลอบใจ การร้องไห้ของศศิประภาแบบนั้นทำให้เขาพอจะ เดาออกว่าคงเกิดเรื่องไม่ดีกับเธอแน่ๆ
“แม่ศศิ แม่ศศิตายแล้ว…
“คุณสิริมาน่ะเหรอครับ”
“ใช่ค่ะ…ฮือๆ”
“เกิดอะไรขึ้นครับศศิ
“พ่อของยัยจันทร์ขับรถชนรถสิบล้อ แม่ศศินั่งอยู่ในรถด้วยรถอัดกระแทกจนพังยับเยินหมดเลย แล้วแม่ก็…ฮือๆ” ศศิประภา ทั้งเล่าทั้งสะอึกสะอื้น
“แล้วคุณเมธาล่ะครับ”
“ตายแล้วเหมือนกันค่ะ ศศิไม่เหลือใครแล้ว ตอนนี้มีดแปด ด้านไปหมด ไม่รู้จะหันหน้าไปหาใครแล้วค่ะ คุณตะวันช่วยศศิ ด้วยนะคะ”
เสียงอ้อนวอนนั้นดังมาตามสายสั่นคลอนหัวใจของรังสิมันต์ จนต้องรีบไปยังโรงพยาบาลด้วยความเป็นห่วง ห่วงศศิประภา และห่วงเด็กผู้หญิงอีกคนที่ไม่ได้โทร.มาร้องไห้คร่ำครวญ แต่เขา รู้ดีว่าเธอเองก็คงเคว้งคว้างและเสียใจไม่ต่างอะไรกับศศิประภา จากการสูญเสียที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันและใหญ่หลวงครั้งนี้
งานสวดอภิธรรมศพเมธาและสิริมาจัดขึ้นที่วัดใกล้บ้านเป็น เวลาเจ็ดวัน โดยค่าใช้จ่ายในงานทั้งหมดรังสิมันต์อาสาเป็นคน รับผิดชอบให้ทุกอย่าง ศศิประภานั่งร้องไห้บอกเขาอย่างไม่ อายใคร ขณะที่จันทริกาทำหน้าที่เสิร์ฟน้ำและต้อนรับแขกจากที่ ทำงานของพ่อและน้าสิริมา รวมทั้งเพื่อนบ้านในละแวกที่คุ้นเคย กันดี
คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายของการสวดอภิธรรม ผู้หญิงสองคนซึ่ง เป็นผู้สูญเสียนั่งพนมมือไหว้พระ เช่นเดียวกับแขกคนอื่นๆ ที่มา ร่วมไว้อาลัยแก่ผู้วายชนม์
เสียงพระสวดดังขึ้นท่ามกลางความเงียบเชียบของบรรยากาศ คนฟังสวดส่วนใหญ่ต่างรำลึกถึงคนจากไปด้วยอาการสำรวมแต่รังสิมันต์กลับครุ่นคิดถึงอนาคตของผู้หญิงสองคนที่ตอนนี้ไม่ เหลือใครแล้ว คนหนึ่งคือคนที่ช่วยชีวิตแมวของเขา อีกคนคือ เด็กสาวที่เก็บกระเป๋าตังค์เขาได้แล้วคืนให้ ตอนนี้หัวใจของชาย หนุ่มกำลังร้องอยากปกป้องดูแลผู้หญิงทั้งสองคน หากแต่จะ ทำอย่างไรดีถึงจะมีสิทธิ์ปกป้องดูแล และมั่นใจได้ว่าทั้งสองคน จะอยู่ในสายตาและความดูแลของเขาโดยปราศจากข้อครหา ใดๆ จากคนรอบข้าง
ความคิดนั้นจบลงพร้อมๆ กับที่เสียงสวดบทสุดท้ายของพระ สี่รูป แขกเหรื่อที่มาร่วมงานบางคนทยอยกลับ บ้างก็นั่งรับ ประทานอาหารที่เจ้าภาพจัดเลี้ยง
“ศศิครับ… รังสิมันต์หันไปเรียกผู้หญิงคนที่นั่งอยู่ด้านซ้าย มือของตน
“คะคุณตะวัน”
“ผมรู้ว่ามันอาจจะเร็วไป และไม่เหมาะสมที่จะพูดเรื่องนี้ใน เวลานี้ แต่ผมอยากดูแลศศิกับน้อง ได้โปรด…แต่งงานกับผมนะ ครับ”
คำพูดนั้นไม่ใช่แค่ศศิประภาที่ได้ยิน หากแต่มันกระทบโสต ประสาทของเด็กผู้หญิงอีกคนเข้าอย่างจัง ร่างบางจึงลุกขึ้นแล้ว พาตัวเองเดินออกมาเงียบๆ ความอ้างว้างในหัวใจเกิดขึ้น มากกว่าเดิม เธอรู้ดีว่าศศิประภาคงไม่ปฏิเสธคำขอแต่งงานของ รังสิมันต์ ในเมื่อศศิประภาแสดงออกตลอดมาว่าชอบเขา และ หลังจากนี้ไปเธอคงถูกทิ้งให้อยู่บ้านหลังนั้นอย่างโดดเดี่ยว บ้านที่เธอไม่เคยคิดว่ามันเป็นบ้านของเธอเลย
น้ำตาหยดใสๆ เอ่อล้นขอบตาขึ้นมาอีกครั้ง ไม่ใช่ว่าหวาด กลัวที่จะต้องอยู่เพียงลำพัง หากแต่หวาดกลัวกับความกว้าง ใหญ่ไพศาลของโลกอันมืดมน ใบนี้ เฉกเช่นเดียวกับบรรยากาศ สีนิลของรัตติกาลที่โอบล้อมตัวเธอ
“เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมมายืนอยู่ตรงนี้คนเดียวล่ะเด็กดี ของพี่”
เสียงที่ดังขึ้นจากทางด้านหลัง ทำให้จันทริกาต้องรีบยกมือ ขึ้นป้ายน้ำตาออกจากแก้ม ก่อนจะค่อยๆ หันกลับไปหาคนถาม
“เปล่าค่ะ…พี่ตะวันอยากได้อะไรหรือเปล่าคะ
“พี่ไม่อยากได้อะไร แค่อยากมาคุยเป็นเพื่อน
“จันทร์ไม่เป็นไรหรอกค่ะ
“ไม่เป็นไรแล้วทำไมถึงได้มายืนร้องไห้อยู่แบบนี้ล่ะคือ เสียงที่เอื้อนเอ่ยถามนั้นช่างฟังดูอบอุ่นและห่วงใยเหลือเกิน ทำให้คนฟังสัมผัสได้ว่าเขาเป็นห่วงเธออย่างแท้จริง
“จันทร์แค่คิดถึงพ่อน่ะค่ะ” เสียงพูดขึ้นจมูกเพราะคนพูด กำลังร้องไห้ออกมาอีกอย่างหักห้ามใจไม่ได้
“กลัวด้วยใช่ไหม กลัวที่ต้องอยู่โดยไม่มีพ่อ
“กลัวค่ะ…
“มานี่มา” รังสิมันต์เอ่ยเสียงอ่อนโยนพร้อมกับยกมือขึ้นโอบร่างบางที่ยืนอยู่ตรงหน้าแล้วตวัดเข้ามากอดไว้แนบอก
จันทริกาไม่ได้ขัดขืนแต่ยืนให้เขากอดอยู่เงียบๆ อาจเพราะ ตอนนี้หัวใจอ้างว้างและหนาวเหน็บ จนรู้สึกว่าอ้อมกอดของรังสิ มันต์ช่างอบอุ่นเหลือเกิน… ใช่สินะ…เขาเป็นตะวัน ตะวันที่มีแต่ สาดแสงอบอุ่นและมีประโยชน์ต่อโลกใบนี้มากมาย ในขณะที่ เธอคือจันทราซึ่งมีสิทธิ์ทอแสงได้ในบางวันเท่านั้น และแสงของ เธอก็แสนจะอ่อนบาง จนมิอาจให้ความอบอุ่นแก่ใครได้แม้แต่ตัว เอง
น้ำตาอุ่นๆ ที่เปื้อนลงบนเสื้อเชิ้ตสีขาวราคาแพงของเขาซึม ลึกเข้าไปถึงหัวใจของคนที่ดูเหมือนจะเข้มแข็ง หากแต่ตอนนี้ หัวใจเขากลับเจ็บปวดแปลกๆ ร่างเล็กที่เขากอดอยู่ตอนนี้ ช่างดู บอบบางเหมือนแก้วที่พร้อมจะแตกหักได้ทุกเมื่อ เขานึกถึงวัน แรกที่เจอเธอและยังจำรอยยิ้มที่ทำให้โลกของเขาดูสว่างไสวขึ้น นั้นได้ดี
แต่…เธอยังเด็กเหลือเกิน เขาจําต้องเลือกหนทางที่จะได้ ปกป้องเธอ เขารู้ใจตัวเองดีว่าชอบศศิประภามากพอสมควร เพราะประทับใจที่เธอเคยช่วยเมสซี่เอาไว้ แต่มันก็เป็นเพียงแค่ ความชอบที่ยังไม่ถึงขั้นรัก หากแต่กับเด็กผู้หญิงเจ้าของนัยน์ตา แสนโศกคนนี้ เขากลับรู้สึกลึกซึ้งด้วยอย่างประหลาด ทว่าเขา ต้องตัดสินใจขอศศิประภาแต่งงาน ก็เพราะศศิประภามีความ พร้อมที่จะเป็นภรรยาของเขา ในขณะที่จันทริกานั้นยังเรียนไม่จบ มัธยมปลายด้วยซ้ำ ดังนั้นความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลของเขานับ จากนี้ไป คงต้องถูกเก็บซ่อนไว้ในส่วนลึกของหัวใจให้มิดชิดที่สุด สายตาที่มองเธอก็จะต้องมองอย่างพี่ชายที่เอ็นดูน้องสาว คนหนึ่งเท่านั้น เขายอมแลกทุกอย่าง แค่ขอให้เธอผู้นี้มีอนาคตที่ สดใสและสามารถอยู่ในโลกอันโหดร้ายได้อย่างมีความสุขก็ พอแล้ว
“ไม่ต้องกลัวนะ พี่จะดูแลเราเอง จะดูแลให้ดีที่สุด
นั่นคือคำมั่นสัญญาที่รังสิมันต์เอ่ยกับจันทริกาและเอ่ยกับตัว เอง แม้เธอจะไม่ตอบรับ และเพียงยืนเงียบๆ แต่คนพูดรู้ดีว่าเขา จะไม่มีวันลืมเลือนคำพูด ในวันนี้อย่างแน่นอน และเขาจะดูแล จนกว่าพระจันทร์แสนเศร้าดวงนี้จะส่องสว่างสวยงามและ สามารถสาดแสงนำทางให้ใครต่อใครในยามค่ำคืนได้
งานแต่งงานระหว่างรังสิมันต์และศศิประภามีขึ้นหลังจาก งานศพของเมธากับสิริมาผ่านไปยังไม่ถึงเดือนดีด้วยซ้ำ ทางรังสิ มันต์เองไม่ได้มีปัญหาอะไร พ่อแม่ของเขาเองเสียไปตั้งแต่เขายัง เด็ก คนที่เลี้ยงเขามาคือคุณย่า ซึ่งท่านได้จากโลกนี้ไปเมื่อห้าปี ก่อน ดังนั้นการตัดสินใจทุกอย่างในชีวิตตอนนี้จึงเป็นสิทธิ์ขาด ของเขาแต่เพียงผู้เดียว และญาติคนอื่นๆ ก็ไม่มีใครกล้าเข้ามา ก้าวก่าย
ศศิประภาลาออกจากการเป็นเซลขายรถ เพราะตอนนี้เธอ เองอยู่ในฐานะที่ไม่ต่างอะไรกับซินเดอเรลล่าซึ่งได้ครอบครองทั้ง เจ้าชายรูปงามอย่างรังสิมันต์กับคฤหาสน์หลังใหญ่หลังนี้ และ เธอคงจะมีความสุขมากกว่านี้ หากว่าจันทริกาจะไม่เข้ามาอยู่ใน บ้านหลังนี้ด้วย
“ทำไมคุณตะวันต้องให้ยัยจันทร์มาอยู่ที่บ้านด้วยล่ะคะ แค่ ศศิคนเดียวก็เป็นภาระของคุณมากพอแล้ว ให้จันทร์อยู่ที่บ้าน ก็ได้ บ้านจะได้มีคนคอยดูแลด้วยไงคะ” ศศิประภาฉลาดพอที่จะ เอาความเกรงใจมาเป็นข้ออ้าง ในการที่จะกีดกันไม่ให้จันทริกา เข้ามาอยู่ร่วมชายคาด้วย
“ไม่ได้หรอกศศิ จันทร์เป็นผู้หญิงอยู่บ้านคนเดียวมัน อันตราย ย้ายมาอยู่ด้วยกันซะที่นี่ละดีแล้ว หรือว่าคุณไม่เป็นห่วง น้อง”
“เอ่อ…ก็ต้องห่วงสิคะ ศศิรักยัยจันทร์เหมือนน้องสาวแท้ๆ คุณก็รู้ว่าเรามีกันอยู่แค่สองคนพี่น้อง แต่ศศิเกรงใจคุณ นี่คะ”
“ไม่ต้องเกรงใจครับ และก็ห้ามคิดว่าศศิกับจันทร์มาเป็น ภาระของผม บอกแล้วไงว่าผมจะดูแลทั้งสองคนให้ดีที่สุด ส่วน บ้านหลังนั้นศศิจะขายหรือให้เช่าก็ตามใจนะครับ รังสิมันต์บอก อย่างใจกว้างและหนักแน่น ทำให้ศศิประภาได้แต่เก็บความไม่ พอใจนั้นเอาไว้คนดียว
และเพราะค่าประกาศิตของเจ้าของบ้านนั่นเอง ทำให้จันทร์ กาได้ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านใหญ่โตหลังนี้ ทว่าเธอก็ยังคงเป็น พระจันทร์ที่ไร้แสง เพราะถูกกดไม่ให้เฉิดฉายเทียบเทียมรัศมี ภรรยาเจ้าของบ้าน
“คุณตะวันให้ยัยจันทร์อยู่ห้องชั้นล่างก็ได้นะคะ” ศศิประภา รีบบอก ในทันทีที่จันทริกาย้ายเข้ามาในบ้านหลังจากงาน แต่งงานของเธอกับรังสิมันต์ผ่านไปไม่นาน
“ทำไมล่ะ ผมบอกให้แม่บ้านจัดห้องไว้ที่ชั้นสองให้จันทร์
แล้วนะ”
“คือศศิกลัวยัยจันทร์จะไม่ชินน่ะค่ะ เพราะปกติยัยจันทร์ นอนชั้นล่าง
“แต่ว่า…” รังสิมันต์จะแย้งภรรยาสาว หากทว่าจันทริกา แทรกพูดขึ้นก่อนเพื่อตัดปัญหา
“ไม่เป็นไรค่ะพี่ตะวัน จันทร์อยู่ชั้นล่างก็ดีแล้ว” เสียงหวาน เอ่ยเรียบๆ
“แน่ใจนะว่าจะไม่อึดอัด ห้องมันค่อนข้างเล็ก
“จันทร์อยู่ได้ค่ะ” จันทริกายืนยันทำให้รังสิมันต์จำต้องพยัก หน้า ก่อนจะบอกให้คนรับใช้พาเธอไปยังห้องชั้นล่างซึ่งมีอยู่ เพียงห้องเดียวและเป็นห้องที่เล็กที่สุดในบ้าน
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ