๒.๒ พระจันทร์ไร้แสง
เด็กสาววัยสิบแปดกำลังปั่นจักรยานมุ่งหน้ากลับบ้าน ในเวลา โพล้เพล้ ตะกร้าหน้ารถเต็มไปด้วยถุงผักและของสดต่างๆ ที่จะ นำมาใช้ในการปรุงอาหารเย็น ซึ่งเป็นงานประจำที่จันทริกา ต้องทำทุกวันมิให้ขาดตกบกพร่องอยู่แล้ว หากวันไหนที่เธอ ละเลยหรือบกพร่องนั่นต่างหาก ถึงจะเกิดเรื่องใหญ่เรื่องโตตาม มา เพราะเธอต้องถูกสิริมาและศศิประภาเล่นงานอย่างหนัก โดยที่เธอไม่เคยคิดจะบอกเรื่องนี้ให้พ่อรับรู้ ด้วยรู้ดีว่าพูดไปพ่อ ก็ช่วยอะไรไม่ได้
กริ๊ง…กริ๊ง…
เสียงโทรศัพท์มือถือ ในกระเป๋ากางเกงขาห้าส่วนดังขึ้น สอง มือจึงกําเบรกที่แฮนด์จักรยาน ก่อนจะควานหาเอาโทรศัพท์ เครื่องละไม่ถึงสามพันออกมา คิ้วเรียวมันเล็กน้อยเมื่อเห็นว่า เบอร์ที่โทร.มาเป็นเบอร์ของศศิประภา ไม่บ่อยนักหรอกที่ศศิ ประภาจะโทร.หาเธอ และถ้าเดาไม่ผิดที่ศศิประภาโทรมาก็คง ไม่แคล้วจะใช้เธอซื้อของกลับไปให้ด้วยอีกตามเคย
“ค่ะพี่ศศิ”
“แกอยู่ไหนนังจันทร์”
เสียงที่ถามนั้นยังคงแข็งกระด้างและจิกหัวเช่นเดียวกับทุกครั้ง ที่ศศิประภาคุยกับเธอ แต่ที่ทำให้จันทริกาค่อนข้างแปลกใจนั่นก็ เพราะเสียงของศศิประภาในตอนนี้กลับฟังดูคล้ายคนกำลังร้องไห้เจือมาด้วย
“กำลังจะกลับบ้าน พี่ศศิจะเอาอะไร”
“ฉันไม่เอาอะไรทั้งนั้น แกรีบมาที่โรงพยาบาลตอนนี้เลย
คำสั่งของศศิประภาที่ดังมาเช่นนั้นบวกกับน้ำเสียงที่สั้น เครือ ทำให้หัวใจดวงน้อยเริ่มหวาดหวั่น สองมือเย็นเฉียบ ลาง สังหรณ์บางอย่างเด่นชัดขึ้นจนน่ากลัว
“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ”
“พ่อแกขับรถชนกับรถสิบล้อ รถพังยับเยินทั้งคัน ตัวเองซวย คนเดียวไม่พอ ยังพ่วงแม่ฉันให้พลอยซวยไปด้วย จะเป็นหรือจะ ตายก็ยังไม่รู้”
“พอ!”
เสียงหวานอุทานออกมาอย่างตกใจสุดขีด ก่อนจะหันเห ทิศทางของจักรยานที่กำลังจะปั่นกลับบ้าน ไปยังโรงพยาบาล ประจำจังหวัด ขณะที่เท้าออกแรงปั่นอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ใจ ก็ภาวนาขอพรจากแม่และยายรวมถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายให้ คุ้มครองพ่อของเธอและน้าสิริมาด้วย
เมื่อไปถึงก็เห็นว่าศศิประภากำลังยืนร้องไห้อยู่หน้าห้อง ฉุกเฉิน ยังไม่ทันที่จันทริกาจะได้เอ่ยถามถึงอาการของคนทั้งสอง ประตูห้องก็ถูกผลักออกมา
“น้องสองคนเป็นญาติคนไข้ใช่มั้ยคะ”
เสียงนั้นเป็นเสียงของพยาบาลห้องฉุกเฉินที่เปิดประตูออก มา ศศิประภาและจันทริกาต่างก็พยักหน้า ก่อนที่พยาบาลคนนั้น จะพูดออกมาอีกหนึ่งประโยค ซึ่งถ้อยค่นั้นไม่ต่างอะไรกับค่า พิพากษาซึ่งร้ายแรงมากที่สุดในชีวิตของทั้งจันทริกาและศศิ ประภา
“เข้าไปลาพ่อกับแม่เถอะค่ะ”
ทันทีที่สิ้นคำพูดดังกล่าว ทั้งสองต่างก็เท้าเข้าไปในห้อง ฉุกเฉินอย่างไม่รีรอ สิริมาและเมธานอนอยู่คนละเตียง ลมหายใจ ของทั้งคู่ต่างรวยรินผาดแผ่ว ศศิประภาตรงไปหาแม่ตัวเองที่อยู่ อีกเตียงหนึ่ง ส่วนจันทริกาตรงไปหาพ่อ และคว้ามือแข็งแรงซึ่ง บัดนี้เกือบจะเย็นเฉียบขึ้นมาแนบแก้มที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำตา
“พ่อจ๋า….จันทร์มาแล้ว…
“จันทร์…พ่อขอโทษ…ที่ดูแลหนูได้ไม่ดี…พ่อเป็นพ่อที่แย่ เหลือเกิน” เมธาพยายามเปล่งเสียงคุยกับลูกสาวตามสิ่งที่เก็บ กดไว้ในใจตลอดมา ถึงแม้ว่าตอนนี้แม้แต่แรงจะหายใจยังแทบ ไม่หลงเหลือ แต่ด้วยรู้ดีว่านี่คงเป็นวาระสุดท้ายของชีวิตที่จะมี โอกาสได้พูดกับลูก คนเป็นพ่อจึงอยากให้ลูกอภัยก่อนที่ตัวเอง จะลาลับ
“ไม่เป็นไรค่ะพ่อ…จันทร์ไม่โกรธพ่อเลย….จันทร์เชื่อว่าพ่อคงมี เหตุผล”
“หยิบของ… ในกระเป๋าเสื้อพ่อ…
เสียงของพ่อดังเท่าเสียงกระซิบ แต่จันทริกาได้ยินและรีบทำตามที่พ่อบอกทันที มือเล็กหยิบเอาของบางอย่างในกระเป๋าเสื้อ เชิ้ตแขนสั้นของพ่อ มันคือซองกำมะหยี่สีแดง ภายในมีแหวน ทองคำเกลี้ยงวงเล็กๆ น้ำหนักน่าจะราวๆ หนึ่งสลึง จันทริกาเอา แหวนวงนั้นให้พ่อด้วยมือที่สั่นเทา น้ำตาอาบลงสองแก้มต่อเนื่อง อย่างไม่อาจอดกลั้น
“ได้แล้วค่ะพ่อ”
เมธาไม่รับแต่ส่ายหน้าไปมา พยายามจะยิ้มให้ลูกสาว แต่ รอยยิ้มนั้นมันก็เป็นไปได้เพียงเบาบาง เพราะถูกความเจ็บปวด ห้อมล้อมทุกอณูความรู้สึก และเขาก็รู้ตัวเองว่าวาระสุดท้ายของ ชีวิตใกล้จะมาถึงเต็มที่
“ของขวัญ…วันเกิด…ของจันทร์…พ่อ…รัก…จันทร์…
คำพูดที่ขาดเป็นห้วงๆ และแสนแผ่วเบานั้น กลับสร้างความ เจ็บปวดอย่างรุนแรงให้กับหัวใจของคนเป็นลูก น้ำตาที่หลั่งเป็น สายก่อนหน้านี้ หลั่งออกมาอย่างท่วมท้น ขณะซบหน้าลงไปกับ มือของพ่อ
“จันทร์ก็รักพ่อค่ะ รักมากที่สุดในโลก”
“พ่อ…ขอ…โทษ…”
“จันทร์ไม่โกรธพ่อเลย จันทร์รักพ่อ รักมากที่สุด พ่อจ๋าอยู่กับ จันทร์ได้ไหม อย่าทิ้งจันทร์ไปอีกคนเลยนะคะ”
คําคํานั้นช่างเป็นคําอ้อนวอนที่ฟังดูน่าสงสารเหลือเกิน หาก แต่คล้ายดั่งว่ามันจะไร้ความหมายอย่างสิ้นเชิง เมื่อร่างที่นอนอยู่เกร็งกระตุกติดๆ กัน ก่อนที่ลมหายใจสุดท้ายจะสิ้นสุดลง
“พ่อ…พ่อจ๋า…ฮือๆๆๆ แล้วจันทร์จะอยู่กับใคร…จันทร์จะอยู่ กับใคร…
จันทริกาซบหน้าลงร้องไห้กับอกของพ่อ เสื้อที่เปื้อนเลือดนั้น ตอนนี้เปื้อนไปด้วยหยดน้ำตาของลูกสาว ร่างบางสะอึกสะอื้นจน ตัวโยน เมื่อคนสุดท้ายที่เธอรักมากที่สุดในโลกนี้ได้จากลาไป ไปโดยไม่ฟังคําอ้อนวอนใดๆ ของเธอเลย
นานเท่าไหร่ไม่รู้ที่จันทริการ้องไห้อยู่แบบนั้น กระทั่งมีสอง มือของพยาบาลมาแตะลงบนหัวไหล่ เธอจึงได้ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น
“ไปหาเสื้อผ้ามาเปลี่ยนให้พ่อนะ เดี๋ยวพี่จะพาพ่อไปรอที่ ห้องสุดท้าย”
จันทริกามองหน้าพ่อเป็นครั้งสุดท้ายผ่านม่านน้ำตา ก่อนจะ ค่อยๆ ยื่นมืออันสั่นเทาที่เกิดจากความสูญเสียไปปิดตาให้พ่อ เพื่อให้ท่านได้จากไปอย่างหมดห่วง ทั้งที่ไม่รู้เลยว่านับจากนี้ตัว
เองจะใช้ชีวิตต่อไปยังไง
ร่างบางออกมายืนหน้าห้อง มือเล็กยกขึ้นปาดน้ำตาตัวเอง เท้าเล็กๆ กำลังจะก้าวออกไปหาจักรยานที่จอดอยู่โรงจอดรถ เพื่อกลับบ้าน เอาเสื้อผ้าชุดสุดท้ายมาเปลี่ยนให้พ่อ แต่หัวไหล่ บางกลับถูกกระชากจนตัวหมุน พร้อมกับแรงฝ่ามือของศศิ ประกาเหวี่ยงกระทบลงบนใบหน้าที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำตา
เพียะ!
“พี่ศศิ!” จันทรกายกมือขึ้นมากุมหน้าตัวเอง แม้มันจะไม่เจ็บ เท่าหัวใจที่ปวดหนึบอยู่ตอนนี้ แต่เธอก็ตกใจไม่น้อยที่ถูกต ประภาทําร้ายเช่นนั้น
“พ่อแกทำให้แม่ฉันตาย! ฉันจะฆ่าแก! ฉันจะฆ่าแก! นั่ง จันทร์! ไอ้พวกตัวซวย!”
ศศิประภาอาละวาดอย่างคนคลุ้มคลั่ง พลางทุบตีหยกส่วน แพะรับบาปอย่างจันทริกาไม่ยั้ง บุรุษพยาบาลที่อยู่แถวนั้นเห็น เหตุการณ์จึงรีบเข้ามาห้ามปราม
“ที่นี่โรงพยาบาลครับน้อง อย่าตีกัน
“จำไว้นะนังจันทร์ ฉันจะไม่ปล่อยให้แกเป็นสุขแน่ พ่อแกฆ่า แม่ฉัน พ่อแกทําให้แม่ฉันตาย ทำไมไม่ตายไปคนเดียว พาแม่ฉัน ไปตายด้วยทําไม ไอ้คนเลว ฉันเกลียดพ่อแก เกลียดแก เก ลียดๆๆๆ”
ศศิประภายังชี้หน้าด่าจันทริกาด้วยความโกรธแค้นที่เกิด จากการสูญเสียและไม่รู้จะลงกับใคร เธอจึงถูกบุรุษพยาบาลจับ ตัวแยกไปเพื่อสงบสติอารมณ์ จันทริกาเลยรีบสาวเท้าไปยัง จักรยานคู่ใจด้วยสายตาที่ฝ้าฟางไปด้วยน้ำใสๆ ซึ่งไหลกลบตา อย่างต่อเนื่อง หากความรู้สึกเคว้งคว้างหดหูในตอนที่ลมหายใจ สุดท้ายของพ่อขาดห้วงลงมันยังไม่ชัดเจนพอ เมื่อสักครู่ ศศิ ประภาก็ได้ตอกย้ำมันลงมาบนร่างกายและหัวใจของเธอ เรียบร้อยแล้วว่า นับจากนี้เธอจะไม่มีพ่ออีกต่อไป
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ