ตอนที่1 ลูกชายที่หล่นลงมาจากฟ้า
เฉียวอวถงนั่งอยู่ที่สถานีตำรวจมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว! เธอมองดูเด็กชายตัวน้อยที่จับเสื้อผ้าของเธอเอาไว้แน่น
ใบหน้าของเขาดูโศกเศร้าจนน้ำตาจะไหล
เธอไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเธอมีดีตรงไหน เจ้าตัวน้อยน่ารักนี่ถึงได้ จับเธอเอาไว้แน่นขนาดนี้
ตอนนั้นเธอแค่บังเอิญไปชนกับเจ้าตัวน้อยนี่ตอนข้ามถนน แต่ เขากลับเรียกร้องให้เธอรับผิดชอบต่อเขา ด้วยการให้เธอ ยอมรับว่าเป็นแม่ของเขา
เรื่องนี้มันฟังดูเหลือเชื่อเกินไปหน่อยไหม?
เธอเป็นสาวน้อยที่ยังไม่มีแฟนและยังไม่ได้แต่งงาน แต่ตอนนี้ เธอต้องข้ามขั้นตอนในการมีความรักและแต่งงาน แล้วเลื่อนขั้น มาเป็นคุณแม่เลยอย่างนั้นหรือ?
นี่มันเกินจะรับได้จริงๆ
ตำรวจในเครื่องแบบมองมาที่เธออย่างเย็นชา เฉียวอวถึงใช้ นิ้วเท้าของเธอคิดก็รู้ได้ทันทีว่า ตอนนี้ในสายตาของตำรวจคนนี้ เธอเป็นเพียงผู้หญิงเลวที่ทิ้งสามีและลูกไป
ตำรวจก้มลงมองดูเด็กน้อยตรงหน้า ก่อนจะถามอย่างใจเย็น ว่า “เด็กน้อย แล้วพ่อของหนูล่ะ?”
“พ่อไม่สนใจผม ผมก็เลยออกมาตามหาแม่”
“แล้วคนไหนล่ะแม่ของหนู?”
“นี่ไงครับ” เขาพูดพลางกอดแขนเธอไว้แน่นอย่างถือสิทธิ์ ใบหน้าของเฉียวอวถงมืดลงทันที เด็กน้อย หนูรู้ไหมว่านี่เขา เรียกว่าฉวยโอกาส
เธอถอนหายใจยาวเหยียด หันมาจ้องหน้าเขาตรงๆ มองตา เขาพร้อมกับพูดด้วยท่าที่จริงจังว่า
“เด็กน้อย ดูฉันให้ดีดีสิ ฉันใช่แม่ของหนูจริงๆรึเปล่า?”
ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว ให้ตายสิ
ตำรวจยืดตัวตรงขึ้นมาแล้วจ้องหน้าเธอเขม็ง “คุณยอมรับใน ที่สาธารณะว่าคุณเป็นแม่ของเด็กคนนี้ แล้วทำไมตอนนี้ถึงบอก ว่าไม่ใช่ล่ะ? คุณเป็นผู้ต้องสงสัยว่าจะทิ้งลูกของตัวเอง คุณรู้ตัว เปล่าว่าคุณกำลังทำผิดกฎหมาย!”
เธอมีใบหน้าที่ขมขื่น “พี่ชาย นั่นมันเป็นเพราะว่าเด็กน้อยคนนี้ กำลังถูกเพื่อนร่วมชั้นของเขารังแก ดังนั้นฉันจึงแกล้งทำเป็นแม่ ของเขาเพื่อช่วยเขา”
“พูดแบบนั้นแล้วผมควรจะต้องยกย่องคุณสินะ!”
“อย่ามาพูดจา ซัว”
เขาตีหน้ายักษ์หาว่าเธอพูดโกหก แล้วหันมามองเด็กน้อย “เด็กน้อย เธอเป็นแม่ของหนูจริงๆรึเปล่า?”
“จริงๆ” เขาพยักหน้ารัวๆเหมือนไก่จ๊กข้าวสาร
“ถ้าอย่างนั้นหนูช่วยโทรหาพ่อของหนูหน่อยได้ไหม?”
“แต่ว่าพ่อของผมยุ่งมาก
เขาลูบใบหน้าเล็กๆแล้วพยายามอธิบายอย่างตั้งใจ “แต่ถ้า หนูไม่มีญาติคนอื่นมารับรอง ก็ยืนยันไม่ได้ว่าเธอคือแม่ของหนู”
ทันทีที่เขาได้ยินแบบนั้น น้ำตาของเขาก็คลอเบ้า แล้วเขาก็หัน มาซบหัวลงบนตัวของเฉียวอวถึง จากนั้นก็เริ่มร้องไห้คร่ำครวญ “หม่ามีอย่าทิ้งผมไปเลย ต่อไปผมจะเชื่อฟังหม่ามีทุกอย่าง หม่ามีอย่าทิ้งผมไปเลยนะครับ”
เธอมองไปที่ตำรวจด้วยสีหน้าลำบากใจ
เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกว่าลำบากใจที่จะโต้แย้งอะไรออกมา เธอถอนหายใจยาวเหยียดอย่างยอมแพ้ “คุณตำรวจ ให้ฉัน โทรหาพ่อของเด็กเถอะ ฉันจะคุยกับเขา”
“ถูกแล้วมีอะไรก็นั่งลงคุยกันดีดีรู้มั้ย? คู่หนุ่มสาวทะเลาะกัน ให้จบที่ปลายเตียงก็พอ อย่าให้กระทบไปถึงเด็ก”
เฉียวอวถึงมองเห็นเขาที่รีบเห็นด้วยแล้ว ในใจของเธอก็มี เพียงสองค่าจะพูด
นั่นคือ แม่งเอ๊ย
นานมากกว่าจะมีชายร่างสูงเดินเข้ามา เป็นอย่างที่เด็กพูด จริงๆว่าพ่อของเขายุ่งมาก
เธอมองไปที่ร่างสูงอย่างไม่ตั้งใจ แต่แล้วเธอกลับไม่สามารถ ละสายตาจากเขาได้ ใบหน้าที่ดูเหมือนถูกแกะสลักมาอย่าง พิถีพิถัน เค้าโครงที่ประณีตนั่น แสดงให้เห็นถึงความเป็นชาย อย่างชัดเจน แต่บรรยากาศรอบตัวของเขากลับหนาวเหน็บอย่าง น่ากลัวจนไม่อยากเข้าใกล้
เขามองเธออย่างไม่แยแสอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็มองไปที่เด็ก น้อยแล้วพูดอย่างเย็นซาว่า “ลูกกำลังทำอะไรอยู่?”
มือเล็กๆ ขาวๆ ของเขายังคงกอดแขนเธอเอาไว้อย่างหน้าไม่
อาย “ป่าปี่ ดูสินี่หม่ามี้ไง”
ใบหน้าของเขาจมลงทันที “เพ้อเจ้อ!”
เฉียวอวถงรู้สึกเหมือนเห็นผู้ช่วยให้รอด ใช่ใช่ใช่ นี่มันเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ
คุณตำรวจ คุณเห็นไหม!
“ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใดๆกับพวกเรา” ถูกต้อง! ไม่มีความเกี่ยวข้องใดใดทั้งสิ้น
เธออยากจะชูมือขึ้นมาทันที ในที่สุดผู้ใหญ่คนนี้ก็ไม่ได้เล่า เหมือนเจ้าเด็กน
“ไม่นะปาปี อย่าพูดเพราะโมโหสิ”
เด็กน้อยส่ายหน้า แล้วตัวของเขาก็เริ่มสั่นขึ้นมาแล้วเหมือนกัน แล้วน้ำตาหยดใหญ่หยดหนึ่งก็หล่นลงมา
เมื่อเฉียวอวถงเห็นแล้วก็รู้สึกปวดใจ
เดี่ยวนะ
ทันใดนั้นเธอก็มีปฏิกิริยาตอบสนอง
เมื่อกี้เขาพูดว่าอะไรนะ? พูดเพราะโมโห?
เมื่อเธอหันหน้าไปมองตำรวจก็เห็นร่องรอยการประชดประชัน ในสายตาของเขาอย่างชัดเจน หัวใจของเธอ “กระตุก” ที่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะแหะแหะ “เด็กคนนี้พูดเพ้อเจ้อนะ พ่อของเขาก็ บอกแล้วไงว่าเขาพูดเพ้อเจ้อ
“หม่ามี้ก็อย่าพูดไปเพราะโมโหเลย”
เธออยากร้องไห้ทั้งที่ไม่มีน้ำตา “ฉันไม่ใช่แม่ของหนูนะ”
“ป่าจะพาหม่ามี้กลับบ้านมั้ย? ผมต้องการหม่ามี เขาพูดอย่างเย็นชาว่า “ไม่มีทาง”
เขาชะงัก แล้วน้ำตาหยดใหญ่ก็ไหลพรั่งพรูออกมา เขาใช้มือ เล็กๆ ขาวๆ ของเขาเช็ดน้ำตา แต่ไม่ว่าจะเช็ดอย่างไรก็เช็ดไม่ หมดสักที
“ป่าปี แม้ว่าป่าจะไม่ต้องการผม แต่ว่าทำไมป่าต้องทำให้ หม่ามีไม่ต้องการผมด้วย? ป่าเองก็ไม่ได้อยู่บ้านทุกวัน แล้วทำไมป่าไม่โทรเรียกหม่ามีให้มาอยู่กับผม ทำไมป่าปีถึงทิ้งให้
ผมอยู่บ้านคนเดียว เป่ยเปยรังแกผมทุกวัน คุณก็ไม่สนใจ เมื่อเจอเข้ากับคำถามที่ตัวมาเป็นชุดก็ทำให้เฉียว ถึงรู้สึก มึนงง
เธอเงยหน้าขึ้นมองผู้ชายคนนั้นที่อยู่ตรงหน้าเธอ เขาสวมเสื้อ เชิ้ตสีขาวเรียบง่าย กางเกงยีนส์ฟอกและรองเท้าผ้าใบธรรมดาๆ ดูยังไงก็ไม่เหมือนคนรวย แล้วพอดูเด็กคนนี้อีกครั้ง แม้ว่าเขาจะ ตุ้ยนุ้ย แต่ก็สวมเสื้อผ้าขาดๆ
เมื่อฟังคําตัดพ้อของเด็กคนนี้แล้ว เหมือนว่านี่จะเป็นปัญหาใน ครอบครัว หรือว่าเป็นเรื่องการทำร้ายร่างกายเด็ก?
จุ๊จุ๊ หน้าตาดีซะเปล่า
“อะแฮม”
ตำรวจหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆเขาทนไม่ไหวกระแอมออกมา
“ทุกครอบครัวมีย่อมมีช่วงเวลาที่ยากลำบาก แต่เมื่อคุณให้ กำเนิดเด็กคนนี้ออกมาแล้ว คุณจะทอดทิ้งเขาไม่ได้”
เฉียวอวถงรีบร้อนอธิบายว่า “ไม่ใช่นะ ฉันไม่รู้จักพวกเขา จริงๆ”
“ไม่รู้จัก?” ตำรวจหนุ่มตะคอก “ถ้าไม่รู้จัก แล้วเด็กจะกอดคุณ แล้วเรียกคุณว่าแม่เหรอ? มีผู้คนตั้งมากมายบนท้องถนน ทำไม เขาถึงได้ตามหาคุณอยู่คนเดียว?”
เอ่อ..
คำถามนี้ …
“อาจเป็นเพราะฉันดูดีกว่า?”
ตำรวจหนุ่มหมดคำพูดไปครู่หนึ่ง
ทันใดนั้นผู้ชายคนนั้นก็เปิดปากหัวเราะออกมา ก่อนจะหันไป หยิบกระดาษทิชชูข้างๆมาเช็ดน้ำตา พลางสอนเขาด้วยน้ำเสียง อ่อนโยนว่า “เสี่ยวจิ่น อย่าเอาแต่ใจอย่างไร้เหตุผลอีกเลย”
เขาอดไม่ได้ที่จะหันหน้ากลับมามองเธอ “แต่…ผมต้องการ หม่ามีจริงๆ ป่า ผมอยู่บ้านคนเดียว ผมอยากให้หม่ามีอยู่กับ ผมด้วย”
เขาถอนหายใจ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะมัวมาติดแหง็กอยู่ที่นี่ เขา จะต้องรีบหาข้อยุติ “ถ้าอย่างนั้นลูกต้องถามเธอก่อนว่าเธอเต็ม ใจรึเปล่า”
เฉียวอวี่ถงรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย ทั้งคู่คุยกันอยู่ดีดี ทำไมเธอ ถึงลากปัญหากลับมาหาเธออีกล่ะ? สอนเด็กให้ดีดีหน่อยไม่ได้ หรือไง?
ศีรษะเล็กๆ หันมามองเธอช้าๆ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยม่าน น้ำตา “หม่ามี้ หม่ามี้จะเต็มใจกลับบ้านกับผมมั้ย”
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ