ปารีสพิศวาสหาม

Ep.1



Ep.1

“โอเซอกูร์! โอเซอกูร์!” ร่างโปร่งเพรียวที่อยู่ในชุดกางเกงยีน ขายาวกับเสื้อโค้ทหนังสัตว์สีน้ำตาลเข้มกับรองเท้าบูทคู่เก่า กำลังวิ่งตะโกนร้องเรียกให้คนช่วยเธอ ด้วยภาษาฝรั่งเศสเสียง ดังลั่น สาวน้อยร้องเรียกให้คนช่วยไปเรื่อยๆ ตลอดทาง เท้าเล็ก วิ่งไล่ตามเจ้าหัวขโมยที่บังอาจฉกชิงวิ่งราวเอากระเป๋าสะพาย ของเธอไปอย่างรวดเร็ว

อลิชชาวิ่งตามหัวขโมย ไปตามถนนชองป์เอลิเซ่ (Champs Elysees) ที่มีนักท่องเที่ยวเดินกันขวักไขว่ไปมาหลายเชื้อชาติ ร่างบางหอบแฮ่กๆ และรู้สึกเข่าอ่อนทันทีที่รู้ว่าหมดหนทางที่จะ ตามไอ้หัวขโมยคนนั้นได้ หญิงสาวได้แต่นั่งมองเหม่อดูถนนเขต ที่ 8 ของกรุงปารีส ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นถนนสายที่สวย ที่สุดในโลกด้วยหัวใจที่อ่อนล้า

ดวงตาคู่สวยเหม่อมองไปยังต้นเชสต์นัท ที่เขาปลูกอยู่สอง ข้างทางของถนนด้วยสายตาที่ว่างเปล่าระคนห่อเหี่ยวใจ ไร้ อารมณ์ที่จะมาชื่นชมความงามของต้นไม้สีเขียวขจีนได้ เพราะ ตอนนี้เธอไม่เหลือเงินติดตัวแม้แต่เซ็นต์เดียว

ที่นี่ไม่มีใครสักคนที่เธอรู้จัก จะร้องขอให้ใครช่วยก็ไม่ได้ มือ เล็กจึงถอดหมวกออก แล้วสวมบทเป็นคนขอทานอยู่ข้างถนน โชคดีที่สภาพของเธอตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากพวกขอทานเท่า ไหร่นัก เพราะก่อนออกจากที่พัก เธอมักจะเอาเครื่องสำอางสีเข้มมาป้ายหน้า ป้ายคอ เพื่อปกปิดผิวพรรณและรูปหน้าที่แท้จริง ของเธอเสมอ เพราะก่อนที่จะมาปารีส ก่อนที่แม่ของเธอจะสิ้นใจ ได้บอกกับเธอไว้ว่า

“ถ้าไปถึงปารีส อย่าแต่งตัวให้เป็นที่สนใจคนมากนัก แต่ง หน้าให้ขี้เหร่เข้าไว้ จะได้ปลอดภัยจากพวกตื่นกาม” เพราะใน สายตาของคนเป็นแม่มักจะคิดว่าลูกสาวของตนเองสวยและน่า รักมากเสมอ และอลิชชา ก็ทำตามที่แม่ของเธอบอกไว้ทุกอย่าง

สาวน้อยใส่วิกผมเป็นลอนหยิกหยอย ดูไม่ค่อยสะอาดมากนัก สวมแว่นตาธรรมดาที่ล้าสมัยอันใหญ่ราวกับคนสายตาสั้น ดูแล้ว ไม่ต่างกับนางแก้วหน้าม้าในวรรณคดีของไทยสักเท่าไหร่ ใครที่ มองเธอผ่านไปผ่านมาก็มักจะมองด้วยสายตาว่างเปล่าจนถึงขั้น รังเกียจ แต่มันก็ทำให้เธอปลอดภัยจากพวกผู้ชายจริงๆ เพราะ ไม่เห็นมีสายตาของผู้ชายคนไหนมองเธอด้วยสายตาเสน่หาเลย สักคน

ตอนนี้เธอรู้สึกหิวข้าวจนไส้จะกิ่วอยู่แล้ว พอก้มมองดูหมวก ไหมพรมที่วางบนพื้นก็มีเหรียญยูโรอยู่ 3 เหรียญ รวมกันได้ ยูโรเพราะอีกเหรียญหนึ่งเป็นเหรียญ 2 ยูโร หลังจากที่นั่งขอทาน มานับชั่วโมง อยากจะร้องเพลงโชว์ความสามารถแลกเงินบ้าง เหมือนกัน แต่มันติดปัญหาอยู่ตรงที่ว่าเธอร้องเพลงไม่ค่อยเก่ง แหละ ก็เลยนั่งขอทานเฉยๆ อย่างหน้าด้านหน้าทน

แต่เงินแค่สี่ยูโรที่ได้มา จะซื้อก๋วยเตี๋ยวสักชามก็ยังไม่ได้เลย สงสัยกับข้าวมื้อนี้คงหนีไม่พ้นแซนวิชแน่นอน สาวน้อยหน้าตา แสนขี้เหร่เดินไปที่ร้านสะดวกซื้อ ได้ขนมปังแซนวิชมาห่อหนึ่งพร้อมกับน้ำเปล่าอีกหนึ่งขวด

แต่พอเดินออกมาที่ริมฟุตบาทก็เห็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง เดินเข้ามาหา และพูดภาษาไทยชัดแจ๋ว

“คุณน้า คุณน้าเป็นคนไทยหรือเปล่าคะ” เด็กหญิงหน้าตา มอมแมมถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเล็กๆ ไม่มั่นใจนัก

“ใช่จ้าฉันเป็นคนไทยครึ่งหนึ่ง ฝรั่งเศสครึ่งหนึ่ง หนูมีอะไรหรือ เปล่าจ๊ะ”

“หนูหิวข้าว หนูกับแม่ไม่มีอะไรตกถึงท้องมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว หนูขอแซนวิชของน้าได้มั้ยคะ หนูจะเอาไปแบ่งกับแม่กินกันคนละ ครึ่ง นะน้านะ หนูขอนะ”

เด็กน้อยตาดำๆ มาพูดจาอ้อนวอนอย่างน่าสงสารแบบนี้ แล้ว เธอจะยังใจแข็งอยู่ได้ยังไง หญิงสาวจึงยื่นขนมปังแซนวิชห่อนั้น ให้กับเด็กหญิงตัวเล็กๆ ผอมกะหร่องคนนั้นไป ทั้งๆ ที่ตนเองก็หิว มากจนตาลายแล้ว

อลิชชามองตามหลังเด็กน้อยไป ถึงแม้ท้องจะหิว แต่เธอก็รู้สึก อิ่มใจ ที่ได้มอบขนมปังแซนวิชห่อนั้นให้เด็กหญิงตัวเล็กๆ นั่น แล้วใบหน้าเรียวก็ก้มมองขวดน้ำเปล่าในมือ

“กินน้ำรองท้องไปก่อนก็ยังดี” แต่แค่น้ำมันไม่ทำให้เธออิ่ม ท้องได้หรอก และตอนนี้ก็ใกล้จะเที่ยงแล้วด้วย หญิงสาวอุตส่าห์ เดินไปตามร้านอาหารต่างๆ เพื่อขอสมัครงานกับเขา แต่กลับได้ รับการปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย
ร่างบาง ในชุดเสื้อโค้ทหนังสัตว์มือสองที่สวมร้องเท้าบูทเบอร์ เบอร์รี่เก่าๆ เดินหาสมัครงานไปเรื่อยๆ จนถึงดิสนี่ย์ช็อป หล่อนก็ เริ่มตาลายมากขึ้น จึงเดินไปเกาะต้นเซสต์นัท ตรงริมฟุตบาทเพื่อ เป็นหลักยึดไม่ให้ร่างของตนเองล้มพับลงไปกองกับพื้น

“พ่อจ๋า หนูไม่มีเงินเหลือติดตัวเลยสักบาท แล้วหนูจะไปตาม หาพ่อต่อได้ยังไง” ฉับพลันสายตาของอลิซซาก็เริ่มพร่าลายเห็น ทุกอย่างเป็นสีขาวโพลนไปหมด แล้วสติสัมปชัญญะของเธอก็ดับ วูบลง ร่างเพรียวบางก็เลยเสียหลักเซถลาลงไปบนถนนที่กำลังมี รถแอสตัน มาร์ติน สีบรอนซ์คันหรูกำลังวิ่งมาพอดี

เอี๊ยด!

เสียงแตะเบรกดังลั่นไปทั่วท้องถนน โชคดีที่ตอนนั้นรถค่อน ข้างติด รถคันหรูที่พุ่งมาชนเข้ากับร่างบอบบางของอลิซซาจึงไม่ ได้รุนแรงมากนัก แต่ก็ทำให้สาวน้อยถึงกับกระเด็นลงไปกองกับ พื้นถนน และหมดสติไป

เจ้าของรถจึงจอดรถและรีบเดินลงมาดูผู้หญิงบ้า ที่ชายหนุ่ม คิดว่าหล่อนคงคิดอยากจะฆ่าตัวเองตายเป็นแน่ แต่มันแย่ตรงที่ เจ้าหล่อนดันมาเลือกที่จะให้รถของเขาพุ่งชนนี่สิ มันซวยจริงๆ

“บ้าฉิบ! ผู้หญิงจรจัดที่ไหนเนี่ย” แม้ว่าในใจจะไม่อยากแตะ ต้องสัมผัสร่างมอมมอมของแมวสาวแสนขี้เหร่คนนี้มากแค่ไหน แต่เอริคก็มีน้ำใจมากพอที่จะอุ้มหล่อนขึ้นมาและเอาติดรถกลับ บ้านไปด้วย

เพราะชายหนุ่มแน่ใจว่าตนเองไม่ได้ขับรถชนเธอแรงมากนักแต่สาเหตุที่หล่อนเป็นลมน่าจะมาจากหน้ามืดจนเป็นลม หรือไม่ก็ คิดอยากจะฆ่าตัวตายจริงๆ มากกว่า เพราะเขาเจอคนประเภทนี้ มาเยอะแล้ว พวกคนจรจัด คนตกงาน จนไม่มีข้าวจะกิน ไม่มี เรี่ยวแรงที่จะเดิน และบางคนก็ยากจนข้นแค้นทุกข์แสนสาหัสถึง ขนาดกับคิดสั้นเลยก็มี

และเอริคก็หวังว่าผู้หญิงคนนี้คงจะไม่คิดสั้นอย่างที่เขาสังหรณ์ ใจจริงๆ หรอกนะ บางทีหล่อนอาจจะกำลังเดินหางานอยู่ หรือ อาจแค่หิวข้าวจนเป็นลมเป็นแล้งไปเท่านั้น หน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่แบบ นี้ ท่าทางเหมือนคนจรจัดแบบนี้ ใครเขาจะรับเข้าทำงานกัน สายตาคมกวาดมองไปทั่วดวงหน้าของคนที่สลบไสลไม่ได้สติ ร่างหนาถึงกับพ่นลมหายใจออกมาหนักๆ

หลายวันมาแล้วที่เอริคอุตส่าห์ลงทุนไปเป็นแมวมอง เพื่อมอง หาสาวสวยหุ่นดีมาเป็นนางแบบโฆษณาให้กับน้ำหอมกลิ่นใหม่ ของเขา เพราะนางแบบเก่าๆ เขาเริ่มจะเบื่อหน้าแล้ว อยากได้ นางแบบที่หน้าตาคล้ายคนเอเชียหน่อย ไม่จําเป็นต้องสวยมาก แค่หุ่นดี ผิวสวยก็ใช้ได้แล้ว และที่สำคัญต้องโสดด้วย

วันนี้ผ่านมาครึ่งวัน นอกจากจะไม่ได้นางแบบแล้ว เขายังต้อง มาเจอเรื่องบ้าๆ นี่อีก

“เธอเป็นบ้าอะไรของเธอเนี่ย ยัยลูกแมวขี้เหร่ คิดอยากจะฆ่า ตัวตายทั้งทีทำไมไม่ไปเดินตัดหน้ารถคนอื่น เธอมาเดินตัดหน้า รถของฉันทำไม” เอริคบ่นด้วยอารมณ์หงุดหงิดฉุนเฉียว

ไม่นานนักรถแอสตัน มาร์ตินคันหรู ก็ขับเข้ามาภายในบ้านสีขาวรูปทรงเรขาคณิตแปลกตาหลังใหญ่ บ้านหลังนี้เป็นบ้านพัก ส่วนตัวของเขาเอง ที่อยากจะเอาไว้มานอนพักผ่อนเงียบๆ เวลา ต้องการอยู่คนเดียว เพราะชีวิตประจำวันของเขา ต้องอยู่ร่วมกับ ผู้คนมากมายในบริษัท มันรู้สึกวุ่นวายจนเบื่อ บางครั้งชายหนุ่ม จึงต้องการความเป็นส่วนตัวบ้าง เพราะฉะนั้นบ้านพักหลังนี้จึงมี แม่บ้านดูแลเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ