ตอนที่ 1สิบลี้อาภรณ์แดง
ปีนี้ดูเหมือนว่าฤดูหนาวในเมืองเย่จะมาเร็วเป็นพิเศษ ตั้งแต่ต้นฤดูหนาวก็มีหิมะที่ขาวราวกับขนห่านโหม กระหน่ำลงมาอย่างไม่หยุดหย่อน
ข้ายืนอยู่บนกำแพงวังที่สูงตระหง่าน มองไปยังหิมะที่ หนาวเหน็บบนพื้นวังที่เบื้องหน้า สิบลี้ล้วนเป็นสีแดงสด
ฝูเชว่นำเสื้อคลุมมาคลุมให้ข้า พลางเอ่ยเกลี้ยกล่อม ด้วยความระมัดระวัง “ท่านสนมเอกเพคะ อากาศด้าน นอกช่างหนาวเหน็บยิ่งนัก พวกเรามิต้องดูแล้ว กลับเข้า ด้านในก่อนเกิดเพคะ ระวังอย่าให้หนาวจนส่งผลร้ายต่อ ร่างกายเลยนะเพคะ”
ข้าจึงส่ายศีรษะไปมา ดึงดันที่จะยืนอยู่บนกำแพงวังมิ ไปไหน “ให้ข้ามองดูอีกสักครู่เถิด เพียงครู่เดียวเท่านั้น ในพระราชวังมิได้คึกคักมีชีวิตชีวาเช่นนี้มานานแล้ว”
ฮ่องเต้แคว้นตงหลีแต่งฮองเฮาเข้าวัง ประชาชนทั้ง ประเทศก็พากันเฉลิมฉลอง ตีฆ้องและกลองสนั่นลั่นฟ้า
ลู่เซียวมิยอมให้ข้าเข้าร่วมพิธีอภิเษกสมรส ดังนั้น ข้า จึงทำได้เพียงรอให้เขากลับไปแล้วจึงแอบเชยชม
“ ท่านสนมเอกเพคะ…” ฝูเชว่ยังคิดที่จักเกลี้ยกล่อม ข้า แต่คะเนว่านางคงคิดว่าหญิงที่มีนิสัยดื้อรั้นเช่นข้า โน้มน้าวอย่างไรก็คงมิฟัง นางจึงกระทืบเท้าด้วยใบหน้า ที่บูดบึงพลางเอ่ย “ถ้าเช่นนั้น ข้าน้อยไปเปลี่ยนเตาผิงให้ท่านก็ได้เพคะ”
ข้าอยากจะเอ่ยบอกนางว่ามิต้องแล้ว แต่ทว่า ข้ายัง มิทันได้เอ่ยอันใดออกไป นางก็แย่งเตาผิงที่เย็นเฉียบ จากมือของข้า พลางวิ่งตะบึงออกไปอย่างรวดเร็ว
เด็กสาวผู้นี้ ยิ่งนานวันยิ่งจักมิมีเหตุผลขึ้นเรื่อยๆ ดู เหมือนว่าคงจักต้องหาเวลาเพื่ออบรมสั่งสอนนางเสีย หน่อย
เมื่อในมือไม่มีสิ่งของใดแล้ว ข้าจึงฟุบไปกับกำแพงวัง ทั้งตัวเสียเลย มองออกไปเบื้องหน้า เห็นหญิงผู้หนึ่งสวม ใส่อาภรณ์สีแดงสด พร้อมกับมงกุฎและผ้าคลุม ยืนอยู่ ที่ข้างกายของลู่เซียว คะเนว่านางคงจะเป็นฮองเฮาแห่ง แคว้นตงหลี
น่าเสียดายที่ตรงนี้อยู่ไกลเกินไป จึงมิสามารถเห็นรูป โฉมของนางได้ชัดเจน
“ นี่! พวกเจ้าเคยได้ยินหรือไม่? เขาเล่าขานกันมาว่า รูปลักษณ์ของฮองเฮาองค์นี้ ราวกลับแกะสลักออกมา จากองค์หญิงองค์ก่อน ผู้ที่มิรู้ยังคิดว่าองค์หญิงองค์นั้น ฟื้นขึ้นมาจากความตาย”
จริงหรือ? บนโลกใบนี้จักมีผู้ที่เหมือนกันขนาดนั้น เชียวหรือ?”
“ มิเช่นนั้น เจ้าคิดว่านางจะเป็นฮองเฮาได้อย่างไร? ถ้าไม่ใช่เพราะนางมีรูปโฉมคล้ายคลึงกับองค์หญิงองค์ก่อน ราวกับคนเดียวกัน”
“ก็ถูกของเจ้า แต่น่าเสียดายตำหนักจาวเหอ…”
ทันใดนั้น เท้าของข้าก็ลื่นไถล ข้าจึงส่งเสียงร้องออก ไปอย่างมิรู้สึกตัว พลันเสียงพูดคุยที่ด้านหลังก็หยุด ชะงักลง แทนที่ด้วยเสียงตะโกนถาม “เจ้าคือผู้ใด?”
ข้าหันศรีษะกลับไปอย่างเขินอาย เมื่อเหล่านางสนมที่ นินทาเรื่องฮองเฮาเมื่อครู่เห็นว่าเป็นข้า ก็ตกใจจนหน้า ซีดเผือด แล้วจึงรีบคุกเข่าลงเป็นพัลวัน “พระนางสนม เอกหลีเฟย ข้าน้อยผิดไปแล้วเพคะ พวกข้าน้อยมิรู้ว่า ท่านจักมาเฉยชมหิมะอยู่ที่นี่ ได้โปรดอภัยให้ข้าน้อย ด้วยเถิดเพคะท่านสนมเอก…
“ช่างเถิดๆ! ข้ามิมีอันใดทำจึงมาเดินเรื่อยเปื่อยที่นี่ พวกเจ้าไปทํางานทำการเถิด มิต้องสนใจข้า” ข้าเป็นคน ใจกว้างมาโดยตลอด จึงแสร้งทำเป็นมิได้ยินที่พวกนาง พูดเพ้อเจ้อนินทาถึงฮองเฮาเมื่อสักครู่
เมื่อเหล่านางสนมได้ยินข้าเอ่ยเช่นนั้น พวกนางก็รีบ กล่าวขอบพระทัยเป็นพัลวัน ที่ข้าอภัยโทษให้พวกนาง
แต่ทว่าในเพลานั้น ข้าก็มิมีความสนใจอยากจะดูต่อ ไป ข้าจึงเดินเหยียบย่ำหิมะมุ่งหน้ากลับไปที่ตำหนัก
ตลอดทั้งคืน ข้ารู้สึกอ่อนล้า มิว่าอย่างไรก็ไม่สามารถ เรียกสติกลับมาได้
เมื่อเปรียบเทียบกับความคึกคักมีชีวิตชีวา ด้านนอก แล้ว พระตำหนักจาวเหอนั้นเงียบสงบราวกับตำหนักที่ หนาวเหน็บ
ข้าเอนกายพลิกไปมาอยู่บนเตียงนอน ในใจยังคง
ครุ่นคิด เพลานี้ลู่เซียวคงจักกำลังเข้าห้องหออยู่กับพระ
ฮองเฮาองค์ใหม่ใช่หรือไม่? องค์หญิงที่ผู้คนเล่าขานกันมาว่าเป็นหญิงที่มีรูปโฉม
คล้ายกับองค์หญิงหลีราวกับแม่พิมพ์เดียวกัน
เอ่ยให้ชัดเจนก็คือ นางสนมของลู่เซียวทุกนางล้วนจัก ต้องมีส่วนที่คล้ายคลึงกับองค์หญิงหลี มิใช่จมูกก็เป็น ดวงตาหรือว่าคิ้ว เว้นเสียแต่ข้าเพียงผู้เดียว
ถ้าหากจะหาว่าข้ามีส่วนใดที่คล้ายคลึงกับองค์หญิง ก็ อาจจะมีเพียงคำว่า ‘หลี’ ในพระนามของข้ากระมัง
เตาผิงที่ใต้ฝ่าเท้าเย็นแล้ว ข้าจึงเปลี่ยนตำแหน่งการ นอนพลางตะโกนลอดผ้าม่าน
“ฝูเชว่ วานเจ้าช่วยข้าเปลี่ยนเตาผิงที”
เพียงไม่นานก็มีเสียงฝีเท้าเบาๆดังเข้ามา จากนั้น ผ้าห่มบนเท้าของข้าก็ถูกใครบางคนเปิดออก ในวินาที ต่อมา ฝ่าเท้าที่เย็นเฉียบของข้าก็ตกไปอยู่ในฝ่ามือที่ อบอุ่นคู่หนึ่ง “ เหตุใดจึงเย็นเช่นนี้?”
กลิ่นกายที่คุ้นเคยส่งผลให้ข้าสะดุ้งโหยง พลางลุกพรวดพราดขึ้นจากเตียง
ข้าจ้องมองลู่เซียวด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง พลางเอ่ย ด้วยน้ำเสียงประชดประชัน ” | เหตุใดพระราชาจึงมีเข้า ห้องหอกับพระฮองเฮาองค์ใหม่เล่าเพคะ? พระองค์มา ท่าอันใดในที่ของหม่อมฉัน?”
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ