บทที่ 4 ยั่วให้โกรธแต่ไม่สังเวยชีวิต
เยี่ยเจียเหยานึกไม่ออกว่าเมื่อคืนนางสลบไปหรือเหนื่อยจน หลับไปกันแน่ ฟ้ายังไม่ทันสางเป็นช่วงเวลาที่กำลังหลับสบาย มีคนมาเขย่าตัวนางอย่างแรง
ยามนี้เยี่ยเจียเหยากำลังฝันดีว่ากำลังถกเรื่องผลงานใหม่ และแนวคิดของตนกับบรรณาธิการนิตยสารอาหารอย่าง ออกรส บรรณาธิการฟังเสี่ยเจียเหยาด้วยความยิ่ง ดวงตาทอ ประกาย มุมปากมีน้ำลายไหลย้อย เขาตบโต๊ะเสียงดังก่อนลุก ขึ้น “เยี่ยเจียเหยา คอลัมน์อาหารสัปดาห์หน้ายกให้เป็นหน้าที่ คุณ”
“ตื่นขึ้นมาปรนนิบัติข้าล้างหน้าเปลี่ยนชุดได้แล้ว” ใคร บางรบกวนความฝันของนางอย่างไร้ความเกรงใจ
เยี่ยเจียเหยายิ้มอยู่ในฝัน งุนๆ งงๆ ปัดมือที่มากวนตน ออกแล้วตลบผ้าห่มคลุมตัว พลิกกายไปอีกด้าน กล่าวอย่าง รําคาญว่า “หนวกหูจริง คนจะนอน
ซย่านอนิ่งไปก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงดัง “เยี่ยจีนเซวียน
“หนวกหูจะตายอยู่แล้ว น่ารำคาญจริงๆ เอยอย่างไม่พอใจ มุดหัวลงไปในผ้าห่ม ” เยี่ยเจียเหยา
สวบ
ผ้าห่มทั้งผืนถูกคนดึงไป อย่าฉุนอเอ่ยด้วยความโมโห “เจ้าเป็นหมูหรือไร นอนหลับอุตขนาดนี้ รีบตื่นขึ้นมาได้แล้ว”
นางรู้สึกเย็นไปทั้งกาย รู้สึกโมโหขึ้นมา นางส่งเสียง ฮึดฮัดอยู่ในคอก่อนลุกขึ้น สองตายังปิดสนิทกล่าวว่า “ประสาทหรือไง!” พูดจบก็ดึงผ้าห่มกลับมากอดแน่น ล้มตัวลง ไปนอนที่เตียงอีกครั้ง
สวรรค์ เจ็บไปหมดทั้งตัวเลย เจ็บเหมือนไปวิ่งสามพัน เมตร ไม่มีส่วนไหนที่ไม่ปวดร้าว
เฮ้ย! เยี่ยเจียเหยาเสียวสันหลังวาบด้วยความตื่นกลัว นางลืมตาขึ้นในทันที คิดในใจว่า แย่แล้ว แย่แน่ๆ เขี่ยเจีย เหยายังหลงคิดว่ายังอยู่ที่บ้านของตัวเองในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด ลืมไปว่าตนเข้ามาอยู่ในอีกช่วงเวลาหนึ่งแล้ว เมื่อสักครู่ด่าเขา ว่าอะไรนะ ประสาท เวรกรรม เวรแท้ๆทำให้เขาโมโหอีกแล้ว
ถึงแม้จะหันหลังให้เขา แต่ลมหายใจหนักๆ ด้านหลังบ่ง
บอกได้ว่าเขากำลังโกรธจนแทบจะระเบิดออกมา
เยี่ยเจียเหยาทำที่กระแอมไออยู่สองสามที เปิดผ้าห่มลุก ขึ้นนั่ง ค่อยๆ มองไปดูสีหน้าของซย่าฉุนอ เพียงแค่เห็นสีหน้า ดำคล้ำ ใบหน้าฉายความเย็นยะเยือกบีบคั้นคนนัก เยี่ยเจีย เหยาอดคิดถึงประโยคสองประโยคขึ้นมาได้ เมฆดำกล้ำกราย พายุฝนตั้งเค้า
เยี่ยเจียเหยารีบเข้ามาเอาอกเอาใจ นางยิ้มเจื่อนๆ “คือว่า ขอโทษด้วยจริงๆ! ข้าคิดว่ายังอยู่ที่บ้าน
ซย่า นอมองนางด้วยสีหน้าไร้อารมณ์อยู่ชั่วครู่ นัยน์ตา แปรเปลี่ยนเป็นเข้มงวดขึ้น เขาว่าเมื่อคืนที่ถูกนางปารองเท้า ใส่จะถึงขีดสุดความอดทนของตนแล้ว ปรากฏว่าวันนี้ยังโดน ด่าว่าประสาทอีก ถึงแม้เขาจะไม่เข้าใจความหมายของคำว่า ประสาทจริงๆ แต่ก็น่าจะคล้ายกับคำว่าบ้า
กิริยาท่าทางคำพูดของนางไม่เหมือนกับคุณหนูตระกูล ใหญ่ที่อ่อนโยนนุ่มนวลแม้แต่น้อย ดูแล้วเป็นคนดื้อรั้นซุกซน เอาแต่ใจ เป็นคุณหนูที่ถูกตามใจจนเสียคนผู้หนึ่ง
“เจ้าเป็นบุตรของนายอำเภอเยี่ยจริงๆ อย่างนั้นหรือ ปกติ อยู่ที่บ้านก็เป็นทำกิริยาวางอำนาจเช่นนี้หรือไร” อย่าฉันอวถาม อย่างเย็นชา
เยี่ยเจียเหยาบ่นอยู่ในใจ วางอำนาจอะไรกัน ปากกลับ อธิบายว่า ไม่ใช่เจ้าค่ะ เมื่อครู่ข้านึกว่าเสียวเฮียมาก่อกวน
“เสี่ยวเฮย” ซย่าฉันอขมวดคิ้ว สายตาหนักแน่น
เยี่ยเจียเหยาพยักหน้าซื่อๆ “เจ้าค่ะ เสี่ยวเฮยเป็นสุนัข ตัว ขนาดนี้” นางทำมือวาดออกบอกขนาดของเสียวเฮย ใหญ่ ประมาณเดียวกับชุดชงชาบนโต๊ะ เพื่อยืนยันว่าเสี่ยวเฮยมีตัว ตนจริงๆ เยี่ยเจียเหยาเอ่ยต่อ “เสี่ยวเฮยเป็นลูกสุนัขที่เกิดจาก สุนัขของเหล่าจางกับสุนัขป่าที่ไม่รู้มาจากไหน มันหน้าตาน่ารัก ข้าเห็นแล้วถูกใจจึงเลี้ยงไว้ แต่เจ้าตัวเล็กนั่นก็ทำให้คนทั้งนัก เช้าตรู่มักกระโดดขึ้นมาบนเตียงเสียหน้ากวนข้า ตกกลางคืนก็ นอนบนเตียงไล่เท่าไหร่ก็ไม่ยอมไป
ซย่าฉุนอวี้ “…
ใบหน้าหล่อเหลานั้นบัดเดี๋ยวขาวบัดเดี๋ยวเขียว นางตัว แสบ หาวิธีมาหลอกด่าเขาเป็นสุนัขยังเป็นสุนัขชั้นต่ำอีกด้วย
ไม่ไหวแล้ว คุยกับนางไม่เกินสามประโยคก็ถูกทำให้ โมโหขนาดนี้ หรือเขายังต้องถูกกับนางเรื่องว่าด่าใครเป็นสุนัข อีก
ซย่า นอ เดือดดาลดึงผ้าห่มมาจากนาง
“ว้าย! สุภาพชนเจรจาไม่ใช้กำลัง มีอะไรก็พูดกันดีๆ อย่า ทำตัวรุนแรงเยี่ยงนี้เลย” เยี่ยเจียเหยาหลงคิดว่าเขาอยากจะ กินเหยื่ออีก นางตกใจจนหน้าขาวซีด กอดผ้าห่มแน่นขึ้น
ซย่าฉันอออกแรงไม่น้อยกว่าจะดึงเสื้อผ้าของตนในกอง ผ้าห่มออกมาได้ เมื่อครู่นางหลับตาแย่งผ้าห่มไปนั้นก็ม้วนเอา เสื้อผ้าของเขาเข้าไปด้วย
เยี่ยเจียเหยาเห็นว่าเป้าหมายของเขาคือเสื้อผ้า ก็รู้สึก ประดับประเดิดขึ้นมา “ที่แท้ท่านหาเสื้อผ้านี่เอง ทำไมไม่รีบ บอกแต่แรกเล่าเจ้าคะ
ซย่านอโกรธจนเลือดลมพลุ่งพล่านเสียแทบจะกระอัก เลือด มองไปที่หน้านางอย่างขึงขัง เอาเสื้อผ้าไปแล้วจึงจากไป
“เฮ้อ เมื่อครู่ข้าคิดว่าเป็นเสี่ยวเฮยจริงๆนะ” เยี่ยเจียเหยารีบอธิบาย
ซย่า นอ หงุดหงิดสับสน เขาจวนจะหมดความอดทน เข้าไปบีบคอนางขึ้นมาจริงๆ
ในที่สุดจอมวายร้ายก็จากไป เยี่ยเจียเหยารู้สึกว่า บรรยากาศภายในห้องสดชื่นขึ้นมา กอดผ้าห่มนอนต่อ ซุก
เตียงนอนอย่างสุขสบาย
ซย่าฉันอออกจากห้องไป ใบหน้าทิ้งตึงบ่งบอกอย่าง
ชัดเจนว่า วันนี้นายท่านอย่างข้าอารมณ์ไม่ดี อย่าได้เข้ามา
วุ่นวาย
ทว่าพี่น้องในค่ายกลับไม่เข้าใจเช่นนั้น หรือหัวหน้าสาม ไม่พอใจในตัวเจ้าสาว หรือว่ายังกินไม่อิ่ม
“หรือเพราะเจ้าสาวไม่สวย หัวหน้าสามจึงไม่ชอบ
เมื่อเห็นหัวหน้าสามเดินจากไปไกล ลูกสมุนในค่ายไม่กี่ คนก็เริ่มถกเถียงกัน
“เจ้าสาวผู้นั้นยังเรียกว่าไม่งามอีกหรือ สตรีที่บอบบางเช่น นั้น เพียงแค่คิดถึงก็เนื้อตัวก็อ่อนปวกเปียกไปหมดแล้วหากได้ โอบกอด จูบนางสักครั้ง ต่อให้พรุ่งนี้จะต้องไปพบยมบาลก็นับ ว่าคุ้มนัก
“ดูหน้าตาตื่นกระหายของเจ้าสิ แม้แต่ผู้หญิงของหัวหน้า
สามยังไม่เว้น ข้าว่าเจ้าคงจะ…..
“เจ้าอย่า …..เป็นไม่รู้สึก หรือเจ้าไม่คิดถึงสตรี
“พวกเจ้าว่างกันนัก ใช่หรือไม่ วันนี้ไม่ซ้อมกันแล้วหรือไร หากข้าเห็นใครแอบอู้อีก ลงโทษตามกฎค่าย” หัวหน้าสามที่ เดินจากไปไกลไม่รู้ว่าย้อนกลับมาเมื่อไหร่ ใบหน้าเย็นชากล่าว ด้วยน้ำเสียงจริงจัง
พวกลูกสมุนรีบเผ่นอย่างว่องไว ยังไม่วายที่จะประกาศ ข่าวว่าวันนี้หัวหน้าสามอารมณ์ไม่ดี ขอให้ทุกคนระวังตัวเอาไว้
การฝึกของหัวหน้าสาม ในวันนี้ดำเนินไปอย่างโหดเหี้ยม ก่อนอื่นเขาให้บรรดาโจรปีนขึ้นไปยังยอดเขาสูงที่สูงที่สุดของ เนินเขาเฮยเชิงสองรอบ จากนั้นลงไปว่ายน้ำในบึงเขียนเสียที่ ตีนเขาอีกสิบรอบ หลังจากอาหารกลางวันยังต้องฝืนนั่งท่านั่ง ม้ากลางลานฝึกเป็นเวลาสองชั่วยาม บรรดาสมุนโจรต่าง ร้องเรียกหาบิดามารดากันหมดแล้ว
“หัวหน้าใหญ่ วันนี้เจ้าสามดูแปลกๆ ไม่เคยเห็นเขาโหด เหี้ยมขนาดนี้มาก่อนเลยจริงๆ ” หัวหน้ารองมองไปยังบรรดา ลูกสมุนที่น้ำตาไหลในแข้งขาสั่นระริก ในลานฝึกอย่างเห็นใจ
หัวหน้าใหญ่ปิดตาสองข้าง ส่ายหัวอย่างครุ่นคิด เอามือ
ไหล่หลังเดินจากไป
หัวหน้ารอง ”
หัวหน้าใหญ่ท่านจะไม่มีความคิดสักหน่อยเชียวหรือ
พวกโจรถูกฝึกเสียจนมีสภาพเหมือนสุนัขใกล้ตาย เยี่ย เจียเหยาที่ไม่มีใครรบกวนจึงได้นอนชดเชยเสียเต็มอิ่มจน กระทั่งช่วงบ่าย นางถูกความหิวปลุกขึ้นจากฝัน ถึงได้หยุดกาย ที่เจ็บระบบขึ้นมา
ยามบ่ายคล้อยแสงแดดด้านนอกห้องกำลังพอดี เยี่ยเจีย เหยาบิดขี้เกียจ ยื่นหน้าออกไปรับแสงแดดสูดหายใจเข้าเต็ม ปอด อากาศบนเขานั้นสดชื่นยิ่ง สายลมบนเขาหอบเอากลิ่น อายของต้นไม้และดอกไม้ป่ามาด้วย เช่นนี้ก็ดีเหมือนกันไม่ต้อง สูดมลภาวะอีก เยี่ยเจียเหยาเหยียดยิ้มอย่างขมขื่น ในเมื่อมา ถึงที่แห่งนี้ก็คงต้องปักหลักลงที่นี่ให้ได้ ชีวิตยังคงต้องดำเนิน ต่อไป ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้ต้องหาอะไรกินเสียก่อน เพิ่มท้องให้ อิ่มแล้วค่อยว่ากันเถิด
เยี่ยเจียเหยาไปห้องครัวอย่างคุ้นเคย ยามนี้เลยเวลาอาหารกลางวันแล้ว ทุกคนกำลังเก็บของอยู่ ในห้อง ครัวยังคงไม่พบหัวหน้าพ่อครัว ป้าเจียงก็ไม่อยู่ ในห้องมีป้า สามคนกำลังล้างถ้วยล้างชามอยู่ พวกนางเห็นเยี่ยเจียเหยา สวมชุดสีแดง ก็คาดเดาฐานะของนางได้ทันที ทั้งสามต่างคน ต่างหันกลับไปทำเหมือนเยี่ยเจียเหยาเป็นอากาศธาตุ
วันนี้บุรุษของพวกนางถูกหัวหน้าสามเคี่ยวกรำจน สะบักสะบอมไปหมด ได้ยินว่ามีเหตุมาจากสตรีที่มาใหม่ผู้นี้ ไม่รู้ว่านางทำอะไรให้หัวหน้าสามโมโห ดังนั้นบรรดาภรรยา ต่างพากันคิดบัญชีนี้กับเยี่ยเจียเหยา จึงทำที่ไม่สนใจนาง
เยี่ยเจียเหยาไม่รู้ว่าตนเองได้กลายเป็นศัตรูของคนทั้ง ค่ายไปเรียบร้อยแล้ว ยังทำหน้ายิ้มแย้มไถ่ถามว่ายังเหลืออะไร
ให้กินหรือไม่
นางถามอยู่สามครั้งจึงจะมีป้าคนหนึ่งตอบอย่างเฉยเมย ว่า “ไม่มีแล้ว ข้าวที่เหลือเอาไปเลี้ยงหมูหมดแล้วแล้ว
“เช่นนั้น….ข้าสามารถทำบะหมี่กินเองสักชามได้หรือไม่
“ขอโทษด้วย เตาก็ดับไฟหมดแล้ว” คนพูดพูดไปก็สาด น้ำเข้าไปในเตา เป็นอันว่าดับไฟจนสนิท
เยี่ยเจียเหยาถึงได้เข้าใจว่าป้าทั้งสามไม่พอใจในตัวนาง หรือจะอิจฉาที่นางงดงามเกินไป เยี่ยเจียเหยา กวาดสายตาไปรอบๆ หยิบแตงกวาที่เพิ่งเก็บมาสดๆ ออกจาก ตะกร้า
ช่างเถิด นางกินแตงกวารองท้องก็ได้
“นี่ เจ้าชั่วกินได้อย่างไร นี่เป็นของที่เตรียมไว้สำหรับ อาหารเย็น ป้าที่สาดน้ำดับเตาไฟเมื่อครูตำหนิ
เยี่ยเจียเหยาเหยียดยิ้ม “แค่แตงกวาอันเดียว ยังจะงักไป
ทําไมกัน
ไม่รอให้โดนด่า เยี่ยเจียเหยาก็รีบหนีออกมาก่อนแล้ว เห็นที่สถานะผู้หญิงของหัวหน้าสามนั้นไม่ได้ดีเท่าไหร่นัก ท่าจะ เป็นเพราะหัวหน้าสามไม่มีอำนาจมากพอ รูปร่างหน้าตาหล่อ เหลาจะมีประโยชน์อันใด ในเมื่อที่นี่ไม่ใช่หอนางโลม สตรีก็มี เพียงไม่กี่คน ยังเป็นป้าแก่ที่ดูรูปร่างอ้วนท้วนหยาบกร้านทั้ง นั้น เขาคงไม่มีอำนาจพอ ในรังโจรแห่งนี้ ทำได้เพียงแต่นาง คนเดียวเท่านั้น ! บุรุษหน้าเหม็นวิกลจริต
เยี่ยเจียเหยากินแตงกวาไปก็สำรวจพื้นที่ไป เมื่อคืนตอน ขึ้นเขานางถูกปิดตาตลอด จึงไม่เห็นทัศนียภาพของเนินเขาเฮย เฟิงแห่งนี้ ได้ยินจอมวายร้ายนั่นว่า เขาแห่งนี้เป็นที่ที่อันตราย มากตอนนี้เมื่อได้เห็นแล้ว นับได้ว่าเขาไม่ได้ข่มขู่นาง สถานที่นี้เป็นเขาที่มีชัยภูมิยากจะเข้าถึง มีหน้าผาอยู่เต็ม
ไปหมด ทางขึ้นทางลงเขาแทบจะมีเพียงเส้นทางเดียว ยิ่งไป กว่านั้นเดินไปไม่กี่ก้าวก็เป็นเนินเขา เดินไปอีกหน่อยก็เจอ หน่วยลาดตระเวน คิดจะหนีออกจากหุบเขานี้เกรงว่าจะยาก กว่าขึ้นสวรรค์เสียอีก หากคิดจะบุกโจมตีขึ้นเขามาจึงมิใช่ว่าจะ ทำได้ง่ายๆ ยากเย็นพอๆ กับบุกขึ้นเขาเหลียงซาน
เดินวนไปได้รอบหนึ่ง เยี่ยเจียเหยาได้แต่ถอดใจ หรือว่า ชาตินี้จะเป็นเพียงฮูหยินโจรอยู่เขาแห่งนี้ไปตลอดชีวิต
เมื่อเดินผ่านทางโค้งไปเบื้องหน้าเปลี่ยนเป็นพื้นที่โล่ง กว้าง เมื่อพิศมองไป บนหน้าผามีพื้นดินผืนหนึ่งขนาดพอๆ กับ ครึ่งสนามฟุตบอล ธงประจำค่ายโบกสะบัดไสว มีบรรดาโจร กว่าหลายร้อยคนยืนทำท่านั่งมาอยู่ เป็นภาพที่ดูน่าเกรงขาม
ซย่านอวกำลังคุมการฝึกอยู่ด้วยใบหน้าเย็นชา “ห้าม เกียจเด็ดขาด ลำบากในวันนี้ ออกศึก ในอนาคตถึงจะมีโอกาส มีชีวิตรอดเพิ่มขึ้น เกี่ยหนิวยืนนิ่งๆ เอ้อเหลิงจือ อย่าให้ข้าเห็นว่าเจ้าแอบอู้อีก มิเช่นนั้นเพิ่มเวลาอีกหนึ่งชั่วยาม
“นี่ ตั้งใจกันหน่อย อย่ามองไปทั่ว มองอะไรกัน” อย่า นอพบว่าสายตาของทุกคนมองไปยังทิศทางเดียวกัน เขาจึง หันไปดูเห็นสตรีสวมชุดแดงปรากฏกายค่อยๆ เดินอยู่ที่ถนน โค้งเส้นนั้น กำลังกัดอะไรสักอย่างที่อยู่ในมือ อย่าฉันอรู้สึก จนปัญญาด้วยไม่รู้ว่านางตัวแสบนี้จะมาไม้ไหนอีก
เยี่ยเจียเหยาเห็นอย่าฉุนอสวมชุดขาวทั้งตัวขับเน้นให้ ร่างนั้นดูเด่นขึ้น ยืนรูปงามสง่าบุคลิกโดดเด่นอยู่ท่ามกลางหมู่ โจร
หากจะเปรียบว่าหญิงใดงามต้องใช้ตาชม ชายงามก็เช่น กัน นี่เป็นครั้งแรกเยี่ยเจียเหยาที่เข้าใจโดยตรงถึงสุภาษิตว่า นกกระเรียนกลางฝูงไก่**
เอาเถิด เขาเป็นโจรภูเขาที่รูปงานที่สุดบนเนินเขาเฮยเฟิง แห่งนี้ ส่วนนางก็เป็นฮูหยินโจรที่งดงามที่สุดบนเนินเขาเฮยเพิ่ง แน่นอนว่าเป็นเรื่องชั่วคราวเท่านั้น นางไม่อยากเป็นเมียโจรไป ทั้งชีวิตหรอก
เมื่อเห็นทุกคนมองมาที่นาง เยี่ยเจียเหยารู้สึกได้ว่าตนคง ไม่สามารถหนีออกไปจากที่นี่ได้เร็วๆ นี้ จําเป็นต้องสานสัมพันธ์อันดีเอาไว้บ้าง ถึงจะใช้ชีวิตได้ อย่างสบาย อย่าให้เป็นเช่นวันนี้ที่ข้าวกลางวันยังไม่ได้กิน นาง จึงแย้มยิ้มหวานออกมาโบกมือทักทาย
อุ้ย! ในมือยังมีของอยู่ นางจึงรีบเปลี่ยนข้าง
*หน่วยเวลาของจีนสมัยโบราณ โดย 1 ชั่วยามเท่ากับ 2
ชั่วโมง
**สุภาษิตนกกระเรียนกลางฝูงไก่ มาจากสมัยราชวงศ์จิ้น มีราชองครักษ์ชื่อจีเส้าเกิดการจลาจล จีเส้ารุดเข้าวังไปในเขต พระราชฐาน ฝ่ายองครักษ์ที่เห็นคนบุ่มบ่ามเข้ามาเตรียมน้าว คันธนูยิง แต่หัวหน้าองครักษ์เห็นร่างสูงใหญ่ก็รู้ว่าเป็นเจ้าจะ รั้งเอาไว้ ต่อมาเส้าตามเสด็จจักรพรรดิฮุยไปปราบกบฏที่ถัง อื่น การศึกครั้งนั้นพ่ายแพ้มีทหารบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก จีเส้าคุ้มกันจักรพรรดิอย่างองอาจกล้าหาญสุดท้ายเขาถูกธนูยิง พรุนไปทั้งร่างเสียชีวิต เลือดของเขากระเด็นเต็มฉลองพระองค์ จักรพรรดิฮุย เพื่อระลึกถึงเส้า จักรพรรดิฮุ่ยไม่ให้เอา ฉลองพระองค์ชุดนี้ไปซัก ภายหลังมีขุนนางกล่าวถึงเช้าว่า “ครานั้นเห็นเส้ากรำศึกความเป็นชายชาตรีองอาจของเขาโดดเด่นท่ามกลางข้าศึก เฉกเช่นเดียวกับนกกระเรียนท่ามกลางฝูงไก่” ดังนั้นคำว่านกก ระเรียนกลางฝูงไก่ หมายถึง บุคคลที่รูปร่างหน้าดี มีคุณธรรม และความสามารถ โดดเด่นเหนือล้ำท่ามกลางผู้คนทั่วไป
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ