ภรรยาน่ารักคว้าความรักของคุณ

บทที่ 3 ปีนหัว



บทที่ 3 ปีนหัว

ยามที่ซย่า นอจวนจะหมดความอดทน เยี่ยเจียเหยาก็ถือถาด กลับเข้ามาอย่างทุลักทุเล

“เหตุใดถึงนานเช่นนี้” อย่าฉุนอสีหน้าบูดบึง

เยี่ยเจียเหยาระงับอารมณ์พลุ่งพล่านของตน นายท่าน เจ้าขา หากรีบนักก็แทะแตงกวาดิบๆ กินเลยดีหรือเปล่า

“ห้องครัวไม่มีสำรับแล้ว ข้าเลยลงมือทำเอง” เยี่ยเจีย เหยาจัดเรียงถ้วยชามและเปิดฝาหม้อ

กลิ่นหอมกรุ่นค่อยๆ ลอยออกมา อย่าฉันเดินเข้ามา มองดูชามข้าวผัดไข่ที่หน้าตาดูน่าทาน เม็ดข้าวเหลืองอร่ามมัน วาว แต่กลับไม่ให้ความรู้สึกเขียนเลี่ยน ข้าวผสมกับเนื้อหน เต๋า แครอท แตงกวา ไข่และเห็ดหอม ให้สีสันดึงดูดความ อยากอาหารเพิ่มขึ้น อย่าฉันอถึงกลับเผลอกลืนน้ำลายอย่าง อดไม่ได้ แต่ปากกลับกล่าวอย่างเหยียดๆ ว่า “ของเละๆ เทะ แบบนี้ กินได้อย่างนั้นหรือ

ฝ่ายเยี่ยเจียเหยาได้แต่บ่นอยู่ในใจ นายท่านเจ้าขา ทำให้กินแล้วยังจะทำท่ารังเกียจ แน่นักก็อย่ากินแล้วกัน

นางกลับฉีกยิ้มขึ้น “ในห้องครัวไม่มีวัตถุดิบอะไรแล้ว เจ้าค่ะ ทำได้เพียงเท่านี้ หัวหน้าสามฝืนทานก็ยังดีเสียกว่าปล่อยให้ท้องหิวนะเจ้าคะ

ยังไม่ทันที่ทางนี้จะพูดจบ ทางนั้นก็เริ่มลงมือกินแล้ว

อืม รสชาตินับว่าใช้ได้ เนื้อนั่นเป็นลูกเต๋าหอมละมุนลิ้น เนื้อเนียนเด้ง ผสานกับแครอทและแตงกวา ให้ความสดชื่น ทำให้รสชาติเข้ากันได้อย่างกลมกล่อม มีความมันแต่ไม่เลี่ยน รสชาติไม่ด้อยไปกว่าข้าวผัดแปดสมบัติของครัวหลวงเลย แม้แต่น้อย เพิ่ม หรือว่าจะเพราะเขาหิว รู้สึกว่าอร่อย จะเปรียบ กับอาหารจากครัวหลวงได้อย่างไรกัน

แต่ก็ถือว่ารสชาติไม่เลว นับว่าเป็นอาหารที่เลิศรสที่สุดที่ เขาได้ลิ้มรสหลังจากขึ้นเขามา ครึ่งปีที่ผ่านมานี้สร้างความ ลำบากให้แก่กระเพาะของตัวเองมากที่สุด

เยี่ยเจียเหยากินไปก็สังเกตท่าทางของเขาไป สวรรค์ ไม่ อร่อยถึงเพียงนั้นเชียวหรือ เขาถึงกับขมวดคิ้วอีก

“เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ พอทานได้หรือไม่” เยี่ยเจียเหยา ถามเสียงอ่อย

“ก็พอทน” อย่าฉันอให้ความเห็นอย่างไม่ใส่ใจ เยี่ยเจียเหยายิ้มเยาะอยู่ในใจ ปากแข็งจริงๆ

“เจ้าชื่อว่าอะไร” อย่าฉันอดื่มน้ำแกงรสชาติที่มีรสเปรี้ยว อมหวาน รสชาติอ่อนๆ ของน้ำแกงเข้ากับข้าวผัดได้เป็นอย่าง ดี

เยี่ยเจียเหยารู้สึกสมองตื้อไปหมด ทั้งๆ ที่ร่วมหอด้วยกันแล้วแท้ๆ จนถึงตอนนี้เพิ่งคิดจะมาถามชื่อแซ่ ยังมีเรื่องเหลว ไหลกว่านี้อีกหรือไม่

“เยี่ย… จีนเซวียน ชื่อเล่นเหยาเหยา เยี่ยเจียเหยาเกือบจะ บอกชื่อจริงของตนออกไป

ซย่า นอมองสำรวจไปที่นาง “ชุดเจ้าสาวประณีตงดงาม เช่นนี้ นับว่าพวกเขาใส่ใจจริงๆ

นี่หมายความว่าอะไรกัน เยี่ยเจียเหยาเปิดปากเอ่ยขึ้น

“ข้าปักเอง ฝีมือดาษดื่นมาก”

“เป็นเจ้าปักเอง” ซย่าฉุนอฉงน “ได้ยินว่าหัวหน้ารองเป็น คนพาเจ้ามา เดิมเจ้าเป็นคนที่ไหน

“พามาหรือ ขากำลังเดินทางไปแต่งงานจี้หนาน แล้วถูก ลักพาตัวเขามาต่างหาก เจ้าสาวถูกขโมยไม่รู้ว่าตอนนี้ที่บ้านจะ เป็นอย่างไรบ้าง คาดว่าคงจะวุ่นวายเละเทะเป็นโจ๊กไปหมด แล้ว” เยี่ยเจียเหยาเอ่ยอย่างแค้นใจ

ซย่า นอชะงักไปชั่วขณะ หรือจะถูกลักพาตัวมาจริง ไม่ใช่หัวหน้าใหญ่ตั้งใจจัดฉากขึ้น

เยี่ยเจียเหยาเห็นท่าทางเหมือนตกตะลึงของเขา หรือเขา จะไม่รู้เห็นกับเรื่องนี้ เมื่อคิดได้นางก็เอ่ยอย่างตะกุกตะกักว่า “หัวหน้าสาม ท่านปล่อยข้าไปได้หรือไม่ ข้าไม่ใช่สาวชาวบ้าน ธรรมดา บิดาของข้าคือเยี่ยงไหวนายอำเภอเมืองหยางโจว เดิมที่ข้าต้องแต่งงานให้กับคุณชายใหญ่ตระกูลเว่ยแห่งจี้หนานหากพวกเขารู้ว่าข้าถูกลักพาตัวจะต้องขึ้นเขามาช่วยอย่าง แน่นอน แบบนี้ก็ไม่เป็นผลดีต่อค่ายของพวกท่าน หากท่าน ปล่อยข้า ข้าจะจดจําบุญคุณตั้งป้ายบูชาท่านไปชั่วชีวิต

ตั้งป้ายบูชงบูชาอะไรกัน เขายังไม่ตาย อย่าฉันอยิ้มเย็น “ทำไม หรือเจ้ายังคิดว่าจะแต่งงานกับคุณชายเว่ยอีก

คิดไม่ถึงจริงๆ ว่านางจะมีที่มาที่ไปไม่ต่ำต้อย บุตรนาย อำเภอเมืองหยางโจว สะใภ้จากจวนนายอำเภอจี้หนาน หัวหน้าใหญ่ช่างมือเติบนัก แต่เมื่อเทียบกับความผิดอุกอาจที่ แล้วมาบนเนินเขาเฮยเฟิง ชิงสะใภ้จวนนายอำเภอจี้หนานก็ไม่ นับว่าร้ายแรงเท่าไรนัก

ถ้าเกิดเรื่องนางที่พูดเป็นความจริง ความคิดจะสะบัดก้น หนีหลังจากจบเรื่องแล้วก็คงจะทำไม่ได้อีก หากนางสงบเสงี่ยม เรียบร้อย จบเรื่องแล้วพอจะพิจารณายกนางเป็นอนได้ หากคิด จะเป็นภรรยาเอก ฐานะเช่นนี้ยังไม่เพียงพอ

ทว่านี้เป็นเพียงคำพูดของนางฝ่ายเดียว ความจริงเท็จยัง คงต้องหาหลักฐานมาพิสูจน์

“มิกล้า ขาตอนนี้เป็นบุปผามีตำหนิ ไม่กล้าแต่งให้กับคุณ ชายเวย ข้าเพียงแต่อยากกลับไปหยางโจว ไม่แต่งงานอีก ตลอดไปทั้งชีวิต” เยี่ยเจียเหยามองเขาอย่างน่าสงสาร

คนโบราณให้ความสำคัญกับชื่อเสียง สตรีที่สูญเสียความ บริสุทธิ์ไปแล้วใครยังจะอยากได้อีก นางมีความเข้าใจในเรื่อง นี้อยู่
“เจ้าคิดว่าเจ้ากลับไปยังหยางโจว ตระกูลเยี่ยยังจะรับเจ้า ไว้อีกหรือ ไม่แน่เพื่อปกป้องชื่อเสียงตระกูลเยีย บิดาของเจ้าจะ ฆ่าเจ้าตายเสียก่อนน่ะสิ” อย่าฉุนอ เสียดสีนาง

เยี่ยเจียเหยาชาวาบไปทั้งศีรษะ ถึงขั้นนั้นเชียวหรือ ถึง แม้ว่ามารดาบังเกิดเกล้าของนางจะจากไปแล้ว แม่เลี้ยงก็ไม่ได้ สนใจนาง แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นบุตรของท่านพ่อ แม้เสือร้าย ยังไม่กินลูกตัวเองเลย

ซย่าฉันอเลิกคิ้ว “ข้าไม่ได้ข่มขู่เจ้า อย่าทำท่าตื่นตูมเช่น นั้น “เขากินข้าวคำสุดท้ายในชามจนหมด

“ถะ… ถ้าเช่นนั้นข้าก็ไม่กลับบ้าน ต่อให้ไม่มีตระกูลเยี่ยข้า ก็เลี้ยงตัวเองได้ เพราะนางเชื่อคำพูดของเขา ส่วนลึกในใจ ของนางเย็นเยียบ

คําพูดเช่นนี้ยิ่งน่ามาซึ่งความขบขันแก่ซย่า นอรี่เป็น อย่างมาก “เจ้าจะเลี้ยงตัวเองได้อย่าง ขายรอยยิ้มขายเรือน ร่างอย่างนั้นหรือ หากคิดจะขายเรือนร่างจริงๆ ละก็ อยู่ที่นี่ก็ ทำได้เช่นกัน ลูกค้าเช่นข้าไม่ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ

เยี่ยเจียเหยาสีหน้าบูดบึง แทบจะเอาน้ำแกงไข่ใส่มะเขือ เทศราดลงบนหัวเขา เอาข้าวสาดใส่หน้าเขานัก ทำไมถึงได้มี คนเลวร้ายเช่นนี้ เขาคิดว่านางเป็นตัวอะไรกัน เป็นพวกโจร โดยสันดาน ที เดิมทีเขาก็เป็นโจรอยู่แล้ว ยิ่งกว่านั้นยังเป็น พวกหัวหน้าโจรเสียด้วย พูดคุยกับโจรยังมีเหตุผลอะไรได้อีก

“ยังไม่อิ่ม เจ้ากินไม่ลงแล้วหรือ” อย่าฉุนอพูดจบก็หยิบชามข้าวของนางไป

เยี่ยเจียเหยา “…

“ใครว่าข้ากินไม่ลงแล้ว ท่านว่าไม่อร่อยไม่ใช่หรือไร ทำไมยังกินเยอะขนาดนี้ ระวังจะติดคอตาย” เยี่ยเจียเหยาใช้ ความว่องไวแย่งชามข้าวกลับคืนมา

ซย่าฉุนอคิดไม่ถึงว่านางจะแย่งกลับไปจริงๆ ยังมี ท่าที่ราวกับหมาป่าผู้หิวโหย ชามข้าวที่เพิ่งจะแย่งมาก็ถูกแย่ง กลับไปทันใด

บุตรีนายอำเภอแห่งหยางโจว คุณหนูผู้ดีมีชาติตระกูล เหตุใดถึงมีกิริยาไร้มารยาทเยี่ยงนี้ อย่าฉันอรู้สึกคาดไม่ถึง การกระทำเช่นนี้แทบจะเปลี่ยนคำนิยามและความรู้ที่เขามีต่อ คุณหนูตระกูลใหญ่ๆ ไปจนหมดสิ้น

ซย่าฉุนอขมวดคิ้วมองจ้องมาที่นาง สายตามิได้ แสดงออกถึงความดุร้าย กระนั้นใบหน้าก็ไม่ได้ยิ้มแย้ม ขณะนี้ ใบหน้าของเขาไร้สีหน้า มิได้โกรธขึ้งแต่กลับทรงอำนาจ นี่เป็น ลักษณะของผู้ที่สูงศักดิ์มาโดยกำเนิด

เยี่ยเจียเหยาคิดได้ว่าตัวเองยังอยู่ในรังโจร ชีวิตยังคงอยู่ ในกำมือของเขา อารมณ์ที่พลุ่งพล่านเมื่อครู่ก็ลงลดทันที กล่าว อย่างอ่อนแอว่า “ด้านบนนั้นขากินไปแล้ว ข้าแบ่งด้านล่างให้ ท่านอีกครึ่งจะดีหรือไม่

เมื่อสักครู่มัวแต่พูดกินข้าวได้ไม่กี่คำ แต่ไหนแต่ไรมานางจะค่อยๆ ละเลียดกิน อาหารรสเลิศนั้นจำต้องค่อยๆ ลิ้มลอง ต่อให้เปล่าข้าวสวยหากกินช้าๆ รสหวานของข้าวถึงจะออกมา ไม่ว่าอย่างไรก็ตามนางจะต้องหาทางเหลือข้าวไว้ให้ตัวเองบ้าง

ซย่า นอหัวเราะในคอ “ไม่ต้องแล้ว ไปเติมมาให้ข้าอีก ชาม

” เยี่ยเจียเหยาไร้คำพูด

ก่อนจะตอบเสียงเบาว่า” ข้าวที่เหลืออยู่เกรงว่าจะอยู่ใน กระเพาะซ่งไปหมดแล้ว

ซย่าฉุนอหน้าคล้ำงอ ไฉนไหนนางถึงไม่ยกมาให้หมด เขาเป็นบุรุษ นางคิดว่าเขาจะมีกระเพาะเล็กจิ๋วเหมือนนางหรือ อย่างไร ข้าวชามเดียวก็อิ่มได้แล้วหรือ

เยี่ยเจียเหยาเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของเขา จึงค่อยๆ ดันชาม ข้าวส่งกลับไป

ซย่า นอก็ไม่เกรงใจ แบ่งข้าวครึ่งหนึ่งลงในชามตนเอง ก่อนจะส่งที่เหลืออีกครึ่งให้นาง

เยี่ยเจียเหยาแอบดีใจอยู่ลึกๆ เคราะห์ดีที่เขาไม่ลงมือเด็ด ขาด ยังเหลือข้าวไว้ให้นาง คราวนี้เยี่ยเจียเหยาไม่กล้า ละเอียดกินอีก เกรงว่าหากเขากินหมดแล้วจะแย่งนาง จึงเร่ง กินคำใหญ่ๆ ลงไป

ผ่านไปไม่นาน ทั้งสองก็กินข้าวจนหมดเกลี้ยง อย่าฉันอ ยังรู้สึกไม่เพียงพอ ฝ่ายเขี่ยเจียเหยาก็อิ่มเพียงเล็กน้อย
ก่อนจะถอดชุดขึ้นนอน อย่าฉันอเอ่ยว่า “เจ้าเพียงทำตัว สงบเสงี่ยมอยู่บนเขาแห่งนี้ อย่ามัวแต่คิดเพ้อฝันถึงเรื่องที่เป็น ไปไม่ได้ ขอเพียงเจ้าเชื่อฟัง รับรองว่าข้าจะไม่ทำให้เจ้าต้อง ลำบาก”

เยี่ยเจียเหยารู้สึกอยากร้องไห้เมื่อได้ยิน จะไม่ทำให้นาง ลำบากอย่างไร วันนี้เกือบถูกท่านฆ่าตายซะแล้ว หรือนี่คือการ ดูแลไม่ให้ลำบากของเขา

ซย่าฉันอเอนตัวลงนอน เขายกขาข้างหนึ่งยื่นมากวัด แกว่งอยู่หน้านาง ใช้สายตาบอกนางให้เรื่องที่สมควรทำเรื่อง หนึ่ง

หมายความว่าจะให้นางถอดรองเท้าให้เขา เยี่ยเจียเหยา คับแค้นใจ ถึงแม้ชีวิตเดิมของนางจะไม่ได้เกิดในครอบครัว เศรษฐี แต่ก็ถูกบิดามารดาทะนุถนอมนางไว้ดุจไข่ในหิน ถึงแม้ จะมีเวลาที่ไม่สมหวังบ้าง ก็เป็นคุณหนูใหญ่ที่มีคนรับใช้จนเติบ ใหญ่ ในทั้งสองชีวิตของนางหากนับรวมๆ แล้วนี่เป็นครั้งแรก ที่ต้องรับใช้ผู้อื่น

ช่างเถิด ช่างเถิด ในเมื่ออยู่ในรังหมาป่า อยู่ในอาณัติ ของเขา ยอมได้ก็ต้องยอม เป็นสาวแกร่งแค่ไหนต้องรู้จัก ปรับตัวไปตามสถานการณ์

เยี่ยเจียเหยาเข้าไปช่วยเขาถอดรองเท้าออกอย่างไม่ ยินยอมพร้อมใจ

พระเจ้า! ทำไมรองเท้ามันถึงได้แน่นเช่นนี้ เยี่ยเจียเหยาพยายามออกแรงถอดอย่างไรก็เอาไม่ออก

ตอนนี้นางถึงได้พบว่าจอมวายร้ายงอฝ่าเท้าขึ้น

จงใจกลั่นแกล้งนางชัดๆ

นี่เขา

ซย่า นอนอนหนุนสองมือต่างหมอน มองนางออกแรง ครั้งแล้วครั้งเล่าถอดรองเท้าให้ตน

เยี่ยเจียเหยาคิดอย่างเจ็บใจ หากนางมีมีดตอนนี้จะต้อง ตัดเท้าเหม็นเน่าๆ ของเขาทิ้งซะ

นางได้แต่กัดฟันรวบรวมแรงดึง ในจังหวะนั้นเองซย่าฉันอ คลายฝ่าเท้าออก เขี่ยเจียเหยากอดรองเท้ากระเด็นกัน กระแทกพื้น ล้มลงไม่เป็นท่า

ซย่าฉุนอหัวเราะเสียงดัง รู้สึกขึ้นกะทันหันว่าการมีคน

คอยให้แกล้งถือว่าเป็นเรื่องสนุกสนานอย่างหนึ่ง

ฝ่ายเยี่ยเจียเหยา โกรธอย่างมาก ความคิดจะเอาคืนผุด ขึ้นมาในหัวนาง เยี่ยเจียเหยาหยิบรองเท้าปาใส่หน้าเขา อย่า ฉุนอที่คิดไม่ถึงว่านางจะปารองเท้ามากำลังหัวเราะอย่าง สนุกสนาน รองเท้าก็ลอยมาถึงเบื้องหน้าเข้าที่ปากที่กำลัง หัวเราะของเขาอย่างพอดิบพอดี

ยามนั้นทั้งห้องเงียบสงัดอย่างน่าประหลาด ราวกับว่า อากาศหยุดไหลเวียน เยี่ยเจียเหยาที่กำลังโกรธเคืองจ้องมาที่ เขา อย่าฉุนอที่ถูกรองเท้าปาใส่จนมึนงง ผ่านไปชั่วขณะถึงจะ ได้สติ อารมณ์โมโหฉายออกมาทางสายตา แววตาค่อยๆดุดันขึ้นมา

เมื่อถูกจ้องมองได้ครู่หนึ่ง เยี่ยเจียเหยารู้สึกหวาดกลัวขึ้น มาจึงลุกขึ้นมาอย่างสงบเสงี่ยม ไปถอดรองเท้าให้เขาอีกข้าง

อย่าฉันอวไม่ขยับเขยื้อน ปล่อยให้นางถอดรองเท้าจน เสร็จ เขาจึงลุกขึ้นจับนางพลิกลงที่เตียง ใช้กายคร่อมกดตัว เยี่ยเจียเหยาเอาไว้ เอ่ยเสียงเข้มว่า “ไม่เคยมีใครกล้าปารอง เท้าใส่ข้ามาก่อน

เมื่อเห็นท่าทางราวกับจะกินคนของเขา เยี่ยเจียเหยา ใจฝ่อ สีหน้าโศกเศร้ากล่าวว่า “ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้ว ท่านจะเอาอย่างไร ตอนอยู่บ้านข้าไม่เคยทำเรื่องพวกนี้มาก่อน ล้วนแต่มีคนปรนนิบัติทั้งสิ้น เพียงพริบตาเดียวจะให้เปลี่ยน ไม่ชิน ท่านเป็นผู้ใหญ่ใจกว้าง ละเว้นขาสักครั้งเถอะนะ

“ละเว้นเจ้า เจ้ากล้าปารองเท้าใส่หน้าข้าก็สมควรจะได้รับ การลงโทษ เจ้าคิดว่าข้าผ่อนปรนให้เจ้าก็สามารถปืนหัวข้าได้ อย่างนั้นหรือ ในเมื่อทำผิดหากไม่ลงโทษเจ้าคงจะไม่หลาบจำ ซย่า นอในอารมณ์โมโหไม่คล้อยตามคำขอร้อง หากเรื่องที่ ผู้สืบทอดจิ้งอันโหวถูกสตรีปารองเท้าใส่หน้าถูกแพร่งพราย ออกไป เขาจะยังจะมีหน้าอยู่ได้อย่างนั้นหรือ

“ข้าจำได้แล้วเจ้าค่ะ ข้าจะไม่ทำผิดอีกเด็ดขาด ฮือๆ ๆ ละเว้นข้าเถอะนะเจ้าคะ

“ขอร้องไปก็ไม่สำเร็จ
ซ่งที่กินอิ่มจนหนนอนลูบพุงอยู่ที่ราวระเบียงได้ยินเสียง

ร้องน่าเวทนาของอาข้อคนใหม่ก็รู้สึกเห็นใจ เขาคิดว่า ที่แท้ หัวหน้าสามเป็นอสุรกายนี่เอง


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ