บทที่ 4
“สงสัยอยากโดนตีมั้งเนี่ย” เขาทําท่าจะเดินเข้ามาหาเรื่องฉัน แต่พี่ต้องรีบรั้งตัวไว้ได้ทันเวลา
“ไอ้ฟาถึงใจเย็น ๆ ออกไปกับกูเดี๋ยวนี้”
“ปล่อยดิวะกูจะจัดการยัยบ้านก่อน
“เข้ามาเลยไอ้ลูกพ่อแม่ไม่สั่งสอน ไอ้เหี้ย ไอ้ชิงหมาเกิด ฉันเองก็ไม่ยอมแพ้ยังคงก่นด่าเขาเพื่อความสะใจ
“ฝากไว้ก่อนเถอะได้เห็นดีกันแน่” เขาชี้หน้าตะโกนเข้ามา เป็นการทิ้งท้าย ก่อนจะถูกพี่ต้องลากตัวออกไป
เมื่ออยู่ในห้องสองคนกับยัยน้ำฉันก็ปล่อยโฮออกมาอีกครั้ง
“ฮือๆๆๆ ฉันจะทำยังไงดีแก พรหมจรรย์ที่ฉันรักษาไว้ได้ขาด สะบั้นลงในพริบตาแล้ว เพราะไอ้บ้านั่นคนเดียวเลย” ฉันกอดยัย ร้องไห้ร้องห่มเสียงดังราวจะขาดใจเสียให้ได้
“ใจเย็น ๆ ฉันมั่นใจว่าเรื่องนี้จะไม่มีใครรู้แน่นอน ส่วนพี่ ฟีฟ่าปล่อยให้พี่ต้องจัดการเขาเป็นเพื่อนรักกันยังไงก็ต้องเคลียร์ เรื่องนี้ให้มึงได้”
“ฉันไม่ได้อยากให้มันรับผิดชอบเว้ย แค่อยากให้เรื่องวันนี้ มันจบลงโดยไม่มีใครพูดถึงอีก ฉันยอมเสียศักดิ์ศรีดีกว่าต้องไป ให้คนอย่างนายนั่นรับผิดชอบ”
“เออ…ฉันเข้าใจว่าแกหวงชีวิตโสดมาก แต่เรื่องนี้มันเรื่อง ใหญ่นะเว้ยจะให้เขาฟรี ๆ งั้นเหรอ”
“ใช่! แค่ครั้งเดียวถือว่าท่าทาน ให้สัตว์ไป แกห้ามเล่าเรื่องนี้ ให้อีโบ๊ทฟังนะเว้ย แกก็รู้ว่ามันเก็บความลับไม่อยู่
“เออ ๆ ฉันไม่บอกมันแน่ไว้ใจได้ แกรีบอาบน้ำ ใส่เสื้อผ้า
ก่อนเถอะจะได้รีบกลับบ้าน
“อั้ม ขอบใจมากแล้วนี่แกจะกลับแล้วเหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิกำลังจะกลับพอดีเลยแวะมาหาแกก่อน แล้วก็เจอ แจ๊คพอตเข้าให้ซะงั้น
“ถ้างั้นแกรีบกลับไปก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันก็จะกลับเหมือนกัน”
“จะดีเหรอฉันกลัวว่าแกจะคิดสั้นน่ะสิ ฉันจะอยู่เป็นเพื่อน จนกว่าแกจะออกไปจากห้องก็แล้วกัน”
“คนอย่างฉันเนี่ยนะจะฆ่าตัวตายเพราะผู้ชาย ไม่มีทางยะ เรื่องแค่นี้จิ๊บ ๆ”
“อีห่าแล้วเมื่อกี้ใครร้องไห้จนน้ำตาแทบจะเป็นสายเลือดกัน
ยะ”
“ก็แค่นั้นล่ะทุกอย่างมันจบลงแล้ว ถ้ามัวแต่ร้องไห้ชีวิตก็ไป ต่อไม่ได้สิยะ ฉันทำใจได้แล้วช่างแม่ง”
“เออ…เห็นอย่างนี้ฉันก็สบายใจขึ้น งั้นฉันกลับละนะถึงบ้าน แล้วโทรหาด้วย”
“อือๆ เดี๋ยวโทรหา”
เมื่อยัยน้ำเดินออกไปจากห้องแล้วฉันก็ล้มตัวลงนอนอีกครั้ง ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาจนหมดเพราะนับจากนี้ฉันจะไม่เสีย น้ำตา ให้กับเรื่องบ้าๆ นี้อีกแล้ว
ขับรถมาเกือบครึ่งชั่วโมง ในที่สุดก็ถึงบ้านเสียที บ้านปูน สองชั้นซึ่งปลูกในหมู่บ้านจัดสรรย่านชานเมือง ตั้งแต่จำความได้ ฉันก็เติบโตขึ้นในบ้านหลังนี้แล้ว มันมาจากน้ำพักน้ำแรงของพ่อ กับแม่เมื่อสมัยยังเป็นหนุ่มสาว เพิ่งผ่อนหมดเมื่อห้าปีที่แล้วนี่เอง เมื่อหมดภาระเรื่องบ้านครอบครัวฉันก็เริ่มมีงานเก็บมากขึ้น ตอน นี้พ่อมีโครงการจะซื้อบ้านไว้อีกหลัง เพื่อในอนาคตเมื่อฉันกับ น้องเป็นฝั่งเป็นฝาจะได้ไม่อยู่กันอย่างคับแคบจนเกินไป
ลงจากรถแล้วกำลังจะเดินเข้าไปในบ้าน ก็ได้ยินเสียงอันไม่ พึงประสงค์ดังมาจากข้างบ้าน ใช่แล้ว! บ้านหลังที่ว่าคือบ้านนาย ฟีฟ่านั่นเอง
“มึงรดน้ำต้นไม้ยังไงให้น้ำกระเซ็นมาถูกต้นไม้บ้านกูวะ” “ไอ้ห่าแค่น้ำกระเซ็นมึงก็มาหาเรื่องกูเหรอวะ ปัญญาอ่อน
ว่ะ”
“มึงนั่นล่ะปัญญาอ่อน! นี่บ้านกูกูมีสิทธิ์จะว่ามึง แต่ถึงไม่มี สิทธิ์ทำอะไรข้ามฝั่งมาบ้านกู จำใส่หัวเอาไว้
“ไอ้ห่าเอ๊ย! เรื่องแค่นี้ถึงแม่งทำให้เป็นเรื่องใหญ่ กูไม่รู้ว่าพูดยังไงกับคนไม่มีเหตุผลอย่างมึงแล้ว”
“แหม…..เป็นมาว่ากูไม่มีเหตุผลแล้วมึงล่ะมีเหตุผลนักรึไง คราวก่อนแค่หมากเดินผ่านหน้าบ้านมึงยังด่าหมากเลย นั่นคือการโต้เถียงที่ฉันได้ยินเป็นประจำ ไม่รู้เกลียดกันมา แต่ชาติปางไหนถึงได้หาเรื่องทะเลาะกันเกือบทุกวัน จนฉันซินซะ
แล้วล่ะ
‘เฮียป้อ’ คือชื่อของพ่อฉันเองค่ะ พอเปิดร้านขายข้าวขาหมู ในตลาด ซึ่งห่างจากบ้านฉันไม่ไกล ส่วนคู่กรณีที่กำลังโต้เถียง กันคือ ‘เฮียกร’ พ่อของนายฟีฟ่า เปิดร้านขายข้าวมันไก่ในตลาด เดียวกัน ไม่รู้ว่าเป็นคู่เวรคู่กรรมกันมาแต่ชาติปางไหน ทำอะไรก็ ไม่เคยพ้นหน้ากันสักที
“ป้ากลับเข้าบ้านเถอะไม่อายชาวบ้านชาวช่องเขาหรือไง” ฉันเดินเข้าไปหาพ่อพยายามเกลี้ยกล่อมให้เข้าไปในบ้าน
“มาก็ดีแล้วพาป้าเอ็งไปเช็กสมองซะบ้าง ชอบเห่าหาเรื่อง คนอื่นไปทั่ว”
“มึงนั่นล่ะชอบหาเรื่องคนอื่นไปทั่ว มึงนั่นล่ะบ้า
“มึงนั่นล่ะบ้า” อีกฝ่ายตอบกลับมาอย่างไม่มีใครยอมใคร
“พอได้แล้ว! จะทะเลาะกันให้ได้อะไรคะ ถ้าไม่เหนื่อยก็ ทะเลาะกันทั้งวันเลยคะ หนูไปล่ะ” ฉันตะเบ็งเสียงออกไปอย่าง เหลืออด นั่นเพราะคิดถึงเรื่องก่อนหน้าด้วยล่ะ ทำให้รู้สึก หงุดหงิดมากกว่าปกติ
เดินออกมาจากตรงนั้นแล้วก็ปรากฏว่าได้ผล ไม่มีเสียง ทะเลาะดังขึ้นให้ได้ยินอีก จริง ๆ แล้วการทะเลาะกันของคนทั้ง สองไม่เคยถึงขั้นลงไม้ลงมือเลยสักครั้ง เหมือนกับว่าถ้าไม่ได้ ทะเลาะกันต่างฝ่ายต่างก็รู้สึกขาดอะไรไปสักอย่างอะไรเทือกนั้น
เข้ามาในห้องแล้วฉันก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียง หยิบเจ้าโอโม่ ซึ่งเป็นตุ๊กตาหมีตัวโปรดมากอดไว้ มันคือสิ่งเดียวที่คอยเป็น เพื่อนเวลาเหงาหรือมีเรื่องไม่สบายใจ ฉันพูดคุยกันมันได้ทุก เรื่อง โดยไม่ต้องกังวลว่ามันจะนำความลับไปบอกใคร
ปีง! ปิง!
เมื่อได้ยินเสียงดังมาจากหน้าต่างฉันจึงหันขวับไปมอง หน้าต่างกระจกใสยังคงอยู่ในสภาพเดิม ไม่พบความผิดปกติแต่ อย่างใด ฉันจึงลุกขึ้นเดินตรงไปดูว่ามันเป็นเสียงอะไรกันแน่
“ก็ไม่มีอะไรนี่นา”
ฉันเปิดหน้าต่างแล้วชะโงกหน้าออกไปดูก็ไม่พบความผิด ปกติ สงสัยคงเป็นนกบินมาชนกระมัง นั่นคือทางเดียวที่น่าจะ เป็นไปได้
“ทางนี้ยัยบ๊อง” หันไปมองต้นเสียงก็พบนายฟีฟ่าโผล่หน้า มาจากทางหน้าต่างนั่นเอง
ช่างกล้าเนอะ ปกติแทบไม่เคยโผล่หน้ามาให้เห็นอย่างนี้ อยากจะมาเยาะเย้ยกันหรือไงที่ได้แอ้มฉันแล้ว
“ป้องบ้านนายสิ” ฉันเบะปากใส่แล้วทำท่าจะปิดหน้าต่างเพราะเห็นหน้าแล้วรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที
“เดี๋ยวๆๆ ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย
“แต่ฉันไม่มี”
“ฉันตั้งใจจะมาขอโทษเรื่องนั้น ถ้าเธอจะให้ฉันรับผิดชอบก็ บอกมานะ ฉันยินดีอย่างน้อยเราก็… อีกฝ่ายยกยิ้ม นั่นทำให้ฉัน รู้แล้วว่าเขาต้องการมาแกล้ง
“หุบปาก! แล้วไม่ต้องเสนอหน้ามาให้ฉันเห็นอีกเด็ดขาด ไป รับผิดชอบผู้หญิงของนายเถอะ ฉันจะถือซะว่าทำทานให้หมา เรื้อนละกัน”
ฉันรีบปิดหน้าต่างแล้วดึงม่านมาบังไว้เพื่อไม่ให้เห็นหน้าเขา อีก ผู้ชายบ้าอะไรจะหน้าตัวเมียอย่างนี้ มาล่วงเกินฉันแล้วยัง มีหน้ามาเยาะเย้ยอีก ฉันไม่เคยเกลียดใครเข้ากระดูกดำอย่างนี้ มาก่อน อย่าให้มีวันของฉันบ้างละกันจะเอาคืน ให้สาสมเลยคอย
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ