2
ปัณณวัฒน์จากเมืองไทยไปด้วยดวงใจที่แห้งแล้งอย่างคนไร้ รัก เขาไม่สามารถจะมอบรักของเขาให้ผู้หญิงคนใดได้อีกแม้แต่ คนที่เขาแต่งงานด้วย เพราะความรักของเขามอบให้เกร็ดแก้วไป จนหมดแล้ว ปัณณวัฒน์ใช้ชีวิตในฐานะนักธุรกิจผู้มากความ สามารถ เขาประสบความสำเร็จเรื่องงานเป็นอย่างมาก และได้ ย้ายสำนักงานใหญ่จากไทยมาอยู่ที่สิงคโปร์แทน แต่ก็ไม่คิดจะ ล้มเลิกบริษัทฯที่ไทยแม้แต่น้อย หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้รับข่าว คราวของผู้หญิงที่เขามอบรักให้หมดดวงใจอีกเลย แต่รู้ว่าพ่อแม่ เขาก็คงไม่อยู่เฉย คงต้องหาทางจัดการกับเกร็ดแก้วเป็นแน่ และ เขาไม่รู้ว่าจะช่วยเธอย่างไร ไม่รู้จริงๆ ถึงแม้ว่าเขาจะอยู่กับ ภรรยาจนมีลูกชายด้วยกันคนหนึ่ง และรู้ว่าจิ่งฟางจะมอบรักให้ เขาจนหมดหัวใจจนถึงลมหายใจสุดท้ายของเธอ แต่เขาก็มิอาจ รักตอบเธอได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว เขารู้ว่าเธอเจ็บปวดแต่ก็สู้เก็บ มันเอาไว้ เขาสงสารเธอ แต่ก็ไม่อาจบังคับใจตัวเองให้เปลี่ยน ความรักแบบพี่น้องที่มีต่อเธอเป็นอย่างอื่นที่มากกว่านั้นได้เลย
“หนูเป็นลูกของเกร็ดแก้วเหรอ?” ชายสูงวัยถามอย่างไม่อยาก จะเชื่อหู ด้วยไม่คิดว่าแม่กับลูกจะเหมือนกันขนาดนี้ เหมือนกัน ทุกอย่าง เว้นแต่นัยน์ตากลมโตสีน้ำตาลสนิมนั้นเพียงอย่างเดียว เพราะคนรักของเขามีนัยน์ตาสีดำน่าหลงใหล แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็รู้สึกเอ็นดูหญิงสาวตรงหน้ายิ่งนัก เหมือนกับว่าเขารู้จักเธอ มานานแสนนานแล้ว “หนูชื่ออะไรจ้ะ?”
“หนู อยิ้มค่ะ”
“เอ่อ…ลุงชื่อวัฒน์เป็นเพื่อนของแม่หนูน่ะ ไม่ได้เจอกันมานาน แล้ว หนูจะพาลงไปพบแม่ของหนูหน่อยได้ไหม?
ปัณณวัฒน์ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน จนปารวีนึกอิจฉาผู้หญิง ตรงหน้า เพราะพ่อของเขาไม่เคยพูดด้วยน้ำเสียงเช่นนี้กับเขาแม้ สักครั้ง แต่คนถูกถามกลับมีสีหน้าหม่นลงถนัดตา จนคนถามอด ตกใจไม่ได้ว่าเขาพูดอะไรผิดไปหรือไม่ ทำไมรอยยิ้มสดใสเมื่อ ครูถึงหายไปจากใบหน้าหวาน
“ไม่ได้แล้วล่ะค่ะ แม่…แม่ตายไปแล้ว
น้ำเสียงเศร้าสร้อยด้วยความคิดถึงบุคคลอันเป็นที่รักตอบ กลับไป ทำให้คนถามถึงกับชะงัก เป็นไปได้อย่างไร เกร็ดแก้ว ตายได้อย่างไร? ตายเมื่อไหร่? ทำไมสวรรค์ถึงโหดร้ายกับเขา เช่นนี้ พรากคนที่รักไปจากเขาแล้วยังไม่พอ เมื่อเขามีโอกาสเพื่อ มาขอพบเธอสักครั้ง เธอกลับจากเขาไปแล้ว….จากไปอย่างไม่มี วันกลับ
“งั้นหรือ?” ชายสูงวัยถามด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดจนผู้ที่มาด้วย อีกคนหนึ่งรู้สึกแปลกใจ ไม่น่าเชื่อว่าพ่อของเขาจะมีท่าทีเจ็บปวด ได้ปานนี้ ทั้งๆ ที่ตอนแม่เขาตายพ่อของเขากลับไม่เคยแสดง ความเจ็บปวดเช่นนี้ออกมาให้เห็นเลย แม่ของผู้หญิงตรงหน้าคง มีความสำคัญกับพ่อของเขามากสินะ “แล้วหนูอยู่กับใคร?
“หนูอยู่กับคุณป้าน่ะค่ะ” ญาตาวีตอบด้วยน้ำเสียงที่ค่อยปรับ ความรู้สึกได้บ้างแล้ว “เอ่อ…ถ้าคุณลุงไม่รังเกียจจะไปพักดื่มน้ำที่บ้านของหนูก่อนไหมคะ?”
“ก็ดีนะ นำไปเลยสิ” ปัณณวัฒน์ตอบรับโดยไม่ได้หันไปขอ ความคิดเห็นจากบุตรชายแม้แต่น้อย ก่อนเดินไปเคียงคู่กับหญิง สาวร่างบางซึ่งเป็นลูกสาวของหญิงคนรัก โดยปล่อยให้ลูกชาย เดินตามหลังอย่างไม่สนใจ “หนูอายุเท่าไหร่แล้ว?” ถึงจะไม่มีคำ ลงท้าย แต่น้ำเสียงของชายสูงวัยก็อ่อนโยนจนหญิงสาวพลอย รู้สึกอบอุ่นไปด้วย
“22 ค่ะ”
“งั้นก็เรียนจบปริญญาตรีแล้วน่ะสิ”
“ค่ะ”
“แล้วทำงานอะไรเหรอ?”
“ยังไม่ได้ทำงานหรอกค่ะ เพราะต้องคอยมาช่วยป้าดูแลสวน
“จบอะไรมาล่ะ?”
“อ๋อ! จบมนุษยศาสตร์ฯ ภาษาอังกฤษค่ะ
“ไปทำงานกับลุงไหม?
“คะ?” คำอุทานนี้บ่งบอกว่าผู้ฟังได้ยินชัดเจนว่าอีกฝ่ายถามว่า อย่างไร แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยแน่ใจในสิ่งที่ได้ยินสักเท่าไหร่นัก “คุณลุงว่าอะไรนะคะ?”
“ลุงถามว่า ไปทำงานที่บริษัทของลุงไหม?”
“เอ่อ…หนูขอถามป้าดูก่อนดีกว่านะคะ” ญาตาวีเลี่ยงตอบอย่างชาญฉลาด “ถึงแล้วค่ะ นี่บ้านของหนู”
ญาตาวีพาสองหนุ่มต่างวัยเดินมาหยุดอยู่ที่บ้านไม้ยกถุนสูง หลังกะทัดรัด ซึ่งล้อมรอบไปด้วยต้นมะม่วงที่ให้ความรมรื่นเย็น สบายจนไม่ต้องพึ่งเครื่องปรับอากาศหลังหนึ่ง ปารวีรู้สึกแปลก ใจอย่างไม่เคยเห็นบ้านอย่างนี้มาก่อน มันดูโบราณ จนน่ากลัว ว่าหากขึ้นไปอยู่บนนั้นสักสิบคน บ้านหลังนี้คงพังคงมาเป็นแน่ ญาตาวีพ ผู้มาเยือนทั้งสองนั่งบนแคร่ไม้ใต้ต้นมะม่วงต้นหนึ่งซึ่ง ปลูกอยู่หน้าบ้าน
“คุณลุงกับ เอ่อ…”
ญาตาวีไม่รู้ว่าจะเรียกอีกคนที่มาด้วยกับปัณณวัฒน์ด้วย สรรพนามอย่างไรดี จึงหยุดไปด้วยความสงสัย ผู้ชายอีกคน ภูมิฐานไม่แพ้ปัณณวัฒน์ เพียงแต่รัศมีที่เปล่งออกมาจากตัวเขา ไม่ค่อยเป็นมิตรกับเธอเท่าใดนัก ไหนจะแววตาที่อยู่ใต้แว่นดำ นั้นอีก ถึงแม้ว่าเธอจะมองไม่เห็นแววตาของเขา แต่ก็แน่ใจว่าคน มองดูเธอด้วยสายตาที่เป็นศัตรู
“ลูกชายลุงเองล่ะ ชื่อปรานต์”
ปัณณวัฒน์รีบแนะนำบุตรชายของตนให้ญาตาวีรู้จัก แล้วพลัน ความคิดบางอย่างก็วิ่งเข้ามาในหัว แต่เขายังบอกใครไม่ได้ตอน นี้ว่าความคิดนั้นคืออะไร ญาตาวีพยักหน้ารับรู้ ก่อนยกมือไหว้ ทักทาย แต่อีกฝ่ายกลับยังนั่งนิ่งจนหญิงสาวรู้สึกฉุนกึก
“ค่ะ! ถ้าอย่างนั้น คุณลุงกับคุณปรานต์นั่งอยู่ตรงนี้ก่อนนะคะ เดี๋ยวหนูไปเรียกป้าลีก่อน” พูดจบร่างบางก็หมุนตัวตรงไปยังหลังบ้าน พร้อมส่งเสียงเรียกผู้เป็นป้าซึ่งเป็นญาติผู้ใหญ่คนเดียว ที่เหลืออยู่ “ป้าลี ป้าลีจ๊ะ อยู่ที่ไหน?”
ญาตาวีส่งเสียงเรียกหามาลีญาติผู้ใหญ่ซึ่งเหลืออยู่เพียงคน เดียวในขณะนี้ และมีลูกชายรุ่นราวคราวเดียวกับเธอคนหนึ่ง
“ป้าอยู่นี่ มีอะไรหรือยิ้ม?”
หญิงสาวอายุราวห้าสิบส่งเสียงตอบหลานสาวผู้น่ารัก ในขณะ ที่เคลื่อนกายออกมาให้คนเรียกได้เห็น
“ป้าลีไปไหนมาจ๊ะ?”
“อ๋อ! ป้าไปดูมะม่วงมานะ กำลังแกได้ที่ ป้าว่าพรุ่งนี้จะเก็บขาย เสียหน่อย” มาลีตอบคำถามหลานรักด้วยน้ำเสียงเอ็นดู ก่อนจะ นึกถึงธุระที่หลานสาวร้องเรียกหา “เออ….ว่าแต่ร้องเรียกป้าเนี่ยมี ธุระอะไรเหรอ?”
“มีแขกมาหาน่ะจ้ะ”
มาลีพยักหน้ารับรู้ ก่อนทำหน้าคล้ายเป็นเชิงบอกให้ญาตาวี เดินนำตนไปพบผู้มาเยือนที่หลานสาวพูดถึงเมื่อครู่ อยากจะรู้ เช่นเดียวกันว่าแขกคนดังกล่าวคือใคร?
“คุณวัฒน์!”
มาลอุทานชื่อแขกผู้มาเยือนเสียงแผ่ว แม้ว่าเวลาจะผ่านไป นานเท่าใดก็ตามแต่ความหล่อเหลาบนใบหน้าของปัณณวัฒน์ ไม่ได้ลดลงไปเสียเท่าไหร่ แล้วทำไมนางจะจำไม่ได้ว่าผู้ชายอายุ ห้าสิบกว่าๆ คนนี้คือคนที่น้องสาวเธอรักจนหมดหัวใจ และก็เป็นคนที่ทำให้ทั้งเธอและน้องสาวซึ่งเหลือกันอยู่เพียงสองคน ในขณะ นั้นต้องระหกระเหินย้ายบ้านจากกรุงเทพฯมาลี้ภัยจากครอบครัว ของเขาอยู่ไกลถึงที่นี่ แต่นั่นนางก็ไม่ได้โทษเขาแม้แต่น้อย เพราะ รู้ดีว่าที่เขายอมเลิกกับน้องสาวนางและยอมแต่งงานกับผู้หญิง คนอื่น ก็เพื่อปกป้องน้องสาวของนางและตัวนางเอง หากแต่มาลี กลับรู้สึกสงสารและเห็นใจผู้ชายคนนี้เหลือเกินที่ต้องทนอยู่กับ คนที่ตนไม่ได้รัก
“เอ่อ! สวัสดีมาลี” ปัณณวัฒน์เอ่ยทักทายด้วยไม่รู้ว่าจะพูด ประการใด “สบายดีเหรอ?”
“ค่ะ” คนตอบยังดูเหมือนอยู่ในห้วงของความคาดไม่ถึงว่าจะ ได้พบเขา “แล้วคุณวัฒน์ล่ะค่ะ?”
“ก็…ดีเท่าที่จะดีได้” คำตอบดูเหมือนจะสื่อให้คนถามรู้ว่าที่ ตอบว่าดีนั้น ความจริงแล้วไม่ได้ดีเท่าไหร่นัก “เอ่อ! นี่ปรานต์ ลูกชายผมเอง”
ปัณณวัฒน์แนะนำลูกชายให้รู้จักกับพี่สาวของคนที่ตนรัก แต่ผู้ ที่ถูกแนะนำกลับมองผ่านแว่นดำยี่ห้อหรูมายังหญิงสาววัยห้าสิบ นิ่ง โดยไม่ยอมทำความเคารพแต่อย่างใด ทำให้เจ้าบ้านซึ่งเป็น หญิงสาวต่างวัยทั้งสองรู้สึกฉุนจนอยากจะขว้างรองเท้าใส่หน้า นิ่งๆ นั้น
“คุณวัฒน์มาที่นี่ทำไมคะ”
มาลีเลิกสนใจบุตรชายผู้ไร้มารยาทของปัณณวัฒน์ ก่อนหันไป ถามจุดประสงค์ของผู้มาเยือน
“ผมมาหาแก้ว”
“แต่แก้วเขา…”
“ผมรู้แล้วล่ะ” ปัณณวัฒน์พูดขึ้นเมื่ออีกฝ่ายรู้สึกเกรงใจที่จะ บอกให้ผู้มาเยือนรู้ว่าคนที่เขาตามหาได้จากไปแล้ว ไปอย่างไม่มี วันกลับ “ยิ้มเล่าให้ฟังแล้ว ผมก็เลยคิดว่าอยากจะรับยิ้มไป ทำงานด้วยที่สิงคโปร์ ไม่ทราบว่าคุณจะเห็นว่ายังไง?”
มาลีรู้สึกใจหายวาบเมื่อรับรู้ว่าผู้มาเยือนต้องการพาหลาน สาวไปทํางานด้วยที่ต่างประเทศ หลานที่นางเห็นมาแต่อ้อนแต่ ออก และเฝ้าเลี้ยงดูมาคู่กับลูกชายของนาง นึกแล้วก็น่าใจหาย หากว่าญาตาวีต้องไปทำงานที่ต่างประเทศจริงๆ
“เอ่อ…ดิฉันคงต้องถามความเห็นจากยิ้มก่อนน่ะค่ะ
มาลีเลี่ยงตอบอย่างฉลาด ทำให้ผู้ฟังมีสีหน้าเข้าใจว่ามาลอง ผูกพันกับหลานมากจนไม่อยากให้ไปอยู่ที่ไหนไกลๆ แต่ปัณณ วัฒน์ก็รู้สึกเสียดายความสามารถของหญิงสาวหากว่าต้อง ทำงานอยู่แต่ในสวนเช่นนี้ และที่สำคัญ เขารู้สึกเอ็นดูเด็กสาวคน นี้เหลือเกิน ไม่ใช่เพราะหน้าตาเธอเหมือนเกร็ดแก้วไม่มีผิด หาก แต่เป็นเพราะว่า ตั้งแต่แรกเห็นหน้าเขารู้สึกผูกพันกับญาตาวี เหมือนกับเธอเป็นลูกสาวของเขา
“ไม่เป็นไร ฉันให้เวลาคิด แล้วพรุ่งนี้ฉันจะมาฟังคำตอบแล้ว กัน” ปัณณวัฒน์เอ่ยอย่างต้องการเสนอทางเลือกให้ ก่อนหันไป หาบุตรชาย “งั้น…วันนี้เรากลับกันก่อนเถอะ”
ปารวีพยักหน้ากับบิดาเป็นเชิงรับรู้ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมบิดาของเขาถึงอยากได้จบมามีเพราะว่าเขาตัวแทน ผู้หญิงที่ตัวเองรัก เป็นอย่างนั้นเขาไม่วันยอมแน่
ปารวีลุกขึ้นยืนเต็มส่วนสูงเดินตามบิดาไป หลังจากที่บิดา กล่าวสองต่างวัยเป็นเรียบร้อยแล้ว เขายังต้องกลับห่วงงานเป็นกำลัง และไม่ไว้ใจให้คนงานแทนเสียไหร่นัก แม้จะว่าคนๆ เป็นเพื่อนสนิทของเขาและเป็นคนที่ความสามารถไม่เขาก็ตาม
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ