๒.๒ ความสุขอันแสนสั้น
“พี่อิสรเป็นคนดี เอมคบกับพี่อิสร์ด้วยความบริสุทธิ์ใจ
“แต่ไอ้หมอนั่นเป็นคนไม่มีหัวนอนปลายเท้า
“พี่อิสร์มีแม่ค่ะ แล้วแม่พี่อิสร์ก็เป็นคนดี แม้จะไม่ได้ร่ำรวยเงิน ทองแต่ก็ร่ำรวยน้ำใจ และดีกับเอมมาตลอด”
“นี่เอมไม่รู้หรือไงว่าตัวเองเป็นใครมันเป็นใคร ทำไมถึงได้ลด ตัวลงไปเกลือกกลั้วกับคนที่อยู่คนละชั้นกับตัวเอง” ธนินเริ่มใช้ เสียงเข้มดุกับลูกสาว ทว่าเอมมาลินก็ยังไม่มีท่าทีลดละที่จะโต้ เถียงกับตน
“เอมก็ไม่ได้สูงส่งไปกว่าใครนี่คะ เอมก็เป็นแค่ส่วนเกิน สําหรับครอบครัวใหม่ของพ่อไม่ใช่เหรอ ไม่อย่างนั้นพ่อคงไม่ส่ง เอมไปเรียนเมืองนอกหรอก”
“ยัยเอม!”
“ทำไมเหรอคะ การที่มีเอมอยู่บ้านหลังนี้ มันขวางหูขวางตา พ่อกับเมียและลูกของพ่อมากเลยหรือไง พอถึงต้องส่งเอมไป ทั้งๆ ที่เอมบอกพ่อแล้วว่าเอมไม่อยากไป” เอมมาลินตัดพ้อพ่อ บิดาด้วยความเก็บกด ที่ตอนนี้มันพร่างพรูออกมาอย่างหยุดไม่ อยู่เหมือนทำนบกั้นน้ำพังทลาย
“ที่กล้าเถียงพ่อฉอดๆ แบบนี้ ก็เพราะไอ้ผู้ชายคนนั้นมันสอน มาใช่มั้ย”
“ไม่มีใครสอนเอมหรอกค่ะ แต่คนที่ทำให้เอมต้องพูดแบบนี้ก็ คือพ่อนั่นละ พ่อกลัวเอมอยู่เป็นส่วนเกินมากใช่มั้ย งั้นเอมจะอยู่ ต่อค่ะ เอมจะไม่ไปเรียนต่อเมืองนอกแล้ว เอมจะเรียนอยู่ที่นี่ อยู่ ขัดขวางความสุขของพ่อ และถ้าพ่อบังคับเอมมากๆ เอมจะหนีไป อยู่กับพี่อิสร์ให้รู้แล้วรู้รอด
เอมมาลินพูดไปตามอารมณ์ ตามความน้อยใจ ตามความ ต้องการอยากเอาชนะ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยทำแบบนี้สัก ครั้ง ความเจ็บปวดน้อยใจแค่เพียงถูกเก็บไว้ในใจ ทว่าตอนนี้ ฟางเส้นสุดท้ายของเธอขาดลงแล้ว เธอไม่ต่างอะไรกับนกน้อยห ลงทาง ที่ไม่มีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจมานับตั้งแต่แม่ตายไป กระทั่ง ความสุขที่ขาดหายถูกเติมเต็มหลังจากได้รู้จักกับกวินภพและ กรองทองเมื่อสิบปีก่อน ทว่าพ่อก็กีดกันและกำลังจะทำลายความ สุขเดียวของเธอ
เพียะ!
เสียงฝ่ามือกระทบใบหน้าหมดจดดังขึ้น เอมมาลินทั้งตกใจ เสียใจ และเจ็บปวด จนน้ำตารื้นขึ้นมาคลอรอบดวงตา
“we…”
“เอม…พ่อ… ธนินเองก็ชะงักไปเหมือนกัน เพราะไม่คิดว่าตัว เองจะลุแก่อารมณ์จนทำร้ายลูกแบบนั้น
“พ่อรู้ไหมว่าวันนี้เป็นวันอะไร พ่อจำมันได้หรือเปล่า”
“…” คนเป็นพ่อได้แต่ยืนอึ้ง
“ทุกๆ ปีเอมจะแอบรอ รอว่าพ่อจะจำวันเกิดของเอมได้หรือ เปล่า แต่หลายปีมาแล้วที่พ่อลืม เอมไม่เคยได้ของขวัญจากพ่อ ไม่เคยได้จนเอมชินชากับความผิดหวัง บางครั้งเอมก็แอบถาม ตัวเองว่าพ่อยังรักเอมอยู่มั้ย เอมยังเป็นลูกพ่ออยู่หรือเปล่า แต่ วันนี้เอมได้คำตอบแล้ว ว่าพ่อไม่หลงเหลือความรักให้เอม ของ ขวัญวันเกิดที่เอมเฝ้ารอมาหลายปีก็คือรอยฝ่ามือของพ่อ และ เอมก็ได้คำตอบแล้ว ว่านับจากนี้ไปเอมไม่มีพ่อ…ไม่มีแล้ว…”
เสียงหวานเอ่ยตัดพ้อสั่นเครือ ฟางเส้นสุดท้ายของเอมมาลิ นขาดลงแล้วจริงๆ เธอไม่เคยคิดว่าพ่อจะลงมือตบตีเธอแบบนี้ นํ้าตาหยดใสๆ ไหลลงอาบแก้ม มองพ่อด้วยสายตาตัดพ้อเจ็บ ปวดผ่านม่านน้ำตา
“ทำไมพูดกับพ่อแบบนี้คะหนูเอม ขังไว้ก่อนเถอะค่ะคุณพี่ ดื้อ รั้นและกำลังอารมณ์ร้ายแบบนี้ เดี๋ยวก็หนีไปอยู่กับผู้ชายคนนั้น ให้ได้อับอายขายหน้ากันจริงๆ หรอก อีกอย่างนงไม่อยากให้ ยัยภัสมาเห็น กลัวยัยภัสจะเอาอย่าง คงไม่อยากให้ลูกก้าวร้าว แบบนี้ค่ะ” คนที่มาเติมเชื้อไฟคือนงนภาซึ่งเป็นภรรยาใหม่ของ ธนิน แต่ตอนนี้เอมมาลินไม่หลงเหลือพื้นที่หัวใจให้เจ็บปวดอีก แล้ว เพราะทั้งใจและกายเจ็บจนชาไปหมด
“พายัยเอมขึ้นห้องเถอะคุณนง” ธนินพูดเสียงเรียบๆ ต่ำๆ กับ ภรรยา
“ค่ะคุณพี่”
รับคําสามีเสร็จนงนภาก็ขยับมาจับข้อมือเล็กๆ ของเอมมาลินกึ่งลากกึ่งดึงพาขึ้นไปบนห้อง ท่ามกลางสายตาบรรดาแม่บ้าน และสาวใช้ ที่ได้แต่มองอย่างสงสารและเวทนาคุณหนูของพวก เขา ทว่าก็ไม่มีใครกล้ายื่นมือเข้ามาช่วย
ร่างบางถูกผลักเข้าห้อง ซึ่งนงนภากลับไม่พอใจแค่นั้น เธอยัง ขยับไปถึงกระเป๋าสะพายข้างของเอมมาลินออกมา ค้นและหยิบ เอามือถือไปยึดเอาไว้
“น้าขอเก็บไว้ก่อนนะ ถ้าถึงวันเดินทางเมื่อไหร่ แล้วน้าจะ คืนให้ อ้อ…ช่วงนี้น้าคงต้องกักบริเวณหนูเอมก่อน เพื่อที่หนูเอม จะได้ไม่ต้องไปก่อเรื่องให้คุณพ่อไม่สบายใจอีก
ว่าแล้วนงนภาก็ออกจากห้อง ไม่นานเอมมาลินก็ได้ยินเสียง กริ๊กของกุญแจที่ดังอยู่หน้าห้อง นั่นคือเสียงที่บ่งบอกว่าอิสรภาพ ของเธอสิ้นสุดลงแล้ว และเป็นอีกครั้งหนึ่งที่พ่อก็ยอมฟังคำของ นงนภา ต่างกันก็แค่ครั้งนี้มันเป็นเรื่องที่ร้ายแรงต่อจิตใจของเธอ มากเหลือเกิน
เอมมาลินเดินไปล้มตัวลงนอนบนเตียง คว้าหมอนข้างมากอด แล้วร้องไห้สะอึกสะอื้น การกระทำของพ่อวันนี้ชัดว่าพ่อไม่รัก เธอแล้ว พ่อไม่เห็นว่าเธอเป็นลูกอีกแล้ว พ่อตบเธอ…พ่อขังเธอ… ตามคำบอกของนงนภา ซึ่งเป็นแม่เลี้ยงของเธอที่พูดจาหวานหู ทว่าใจร้ายยิ่งนัก
เอมจะทําอย่างไรดี พอิสร์ น้ากรอง ช่วยเอมด้วย
เสียงหวานปนเศร้าได้แต่เอ่ยร้องในใจ วินาทีนี้เธอหมด อิสรภาพแล้วอย่างแท้จริง เธอถูกขังให้อยู่แต่ในห้อง และไม่สามารถติดต่อสื่อสารกับคนภายนอกได้ เพราะนงนภาษีต
โทรศัพท์ของเธอไปแล้ว ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่เอมมาลินจมปลักอยู่กับหยดน้ำตา กระทั่ง
ในที่สุดก็หลับไปด้วยความเหนื่อยล้าอ่อนเพลียทั้งกายและใจ
เสียงรอสายที่ดังครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าคน ปลายสายจะกดรับ ทำให้กวินภพถอนหายใจออกมาแรงๆ อย่าง ไม่สบายใจ เขาแค่อยากจะโทร.ถามข่าวคราวเอมมาลินว่าเป็น อย่างไรบ้าง ทว่าหลังจากที่เขากลับจากบ้านของเธอ เขาก็ไม่ สามารถติดต่อเธอได้อีกเลย และท่าที่เป็นกังวลของลูกชายก็ไม่ ได้รอดพ้นสายตาของกรองทองไปได้
“เป็นยังไงบ้างอิสร์ ติดต่อหนูเอมไม่ได้เหรอลูก
“ครับแม่ เอมไม่รับสายเลย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น” เสียงของกวิน ภพแม้จะฟังดูเรียบๆ แต่ก็เพื่อเอาไว้ด้วยความกังวลใจอย่างมาก
“ถ้าเป็นอย่างที่อิสร์เล่า พ่อของหนูเอมคงไม่ให้รับสาย แต่ไม่ เป็นไรนะลูก เดี๋ยวถ้าหนูเอมสะดวกคง โทร.กลับมาหาอิสร์เอง” คนเป็นแม่ปลอบลูก เจ็บปวดไม่น้อยเหมือนกันที่ลูกชาย โดน รังเกียจเพราะความจน ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงไม่มีใครกล้าดูถูกและ รังเกียจลูกชายของเธอ แต่จะให้ยอมทนอยู่กับการทรยศของคน ที่รัก เธอก็ทนอยู่ไม่ได้เหมือนกัน ดังนั้นสิ่งที่ทำได้ดีที่สุดตอนนี้คือ ให้กำลังใจลูกเท่านั้น
“อิส แค่เป็นห่วงเอมนะครับแม่ อิสร์กลัวว่าตัวเองจะทำให้เอม เดือดร้อน”
“แม่เข้าใจอิสร์นะ แต่ตอนนี้เราทำอะไรไม่ได้ นอกจากรอหนู เอมเท่านั้น อิสรไปนอนเถอะ พรุ่งนี้ก็ต้องไปฝึกงานแล้วไม่ใช่เห รอ”
“ครับแม่”
รับคำแม่เสร็จก็เข้านอน ทว่ากวินภพก็นอนไม่หลับ จึงหยิบ โทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมา เปิดดูรูปที่เอมมาลินส่งให้แล้วเผลอ ยิ้มอย่างเศร้าๆ ภาพที่จมูกโด่งเรียวรั้นและปากเล็กๆ ที่ประทับ ลงบนแก้มของเขามันช่างมีความหมายเหลือเกิน เขาบันทึกรูปนี้ ไว้ในทุกๆ ช่องทางเพื่อจะได้มั่นใจว่ามันไม่มีทางหายไปไหน เขา ไม่แน่ใจว่าก่อนที่เอมมาลินจะเดินทางไปเรียนต่อต่างประเทศ เขาจะได้มีโอกาสพบเธออีกไหม แต่ถึงแม้ว่าจะพบหรือไม่พบ เธอก็จะประทับอยู่ในหัวใจและความทรงจำของเขาตลอดไป
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ