แฟลช แต่งงาน ภรรยา

ตอนที่ 2 เพียงคนแปลกหน้าที่โผล่เข้ามา



ตอนที่ 2 เพียงคนแปลกหน้าที่โผล่เข้ามา

“แม่ครับ ยัยผู้หญิงนั่นใช้แผนร้าย มันไม่เกี่ยวอะไรกับที่ว่า อาการป่วยของผมดีขึ้นเลยสักหน่อย!” จิ้งเจ๋อว่า แววตายิ่งขึ้น มัวหนักขึ้นไปอีก

หว่านนิ่งมองหน้าลูกชายแล้วเอ่ยว่า “ลูกคิดว่าแม่ไม่เคย ลองใช้วิธีนี้กับลูกงั้นหรือ มันไม่เคยได้ผลเลย ทุกครั้งเราทำได้ แค่โทรตามหมอมาช่วยแก้ไขไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว แต่ลูก กลับแตะต้องแม่สาวคนนี้ ยิ่งไปกว่านั้น คนของลูกยังบอกด้วย ว่าลูกดูจะพอใจเธอเอามากๆ แล้วก็มีอะไรกับเธอตลอดทั้งคืน มากกว่าหนึ่งครั้งน่ะ”

กู้จิ้งเจ๋อกดกำปั้นลงกับโต๊ะกระจกแล้วพูดว่า “บางที อาจเป็นเพราะยาที่ใช้คราวนี้มันต่างออกไปก็ได้ครับ แต่ถึงยัง ไงผมก็ไม่มีทางแต่งงานกับยัยผู้หญิงบ้าที่ไม่รู้ผิดชอบชั่วดีนี่เป็น อันขาด ล้มเลิกความคิดนี้ซะเถอะครับแม่

ขณะที่หลินเชื่อเดินไปตามถนนพลางสำรวจสภาพหน้าตา เนื้อตัวที่ดูไม่ได้ของตัวเอง เธอก็ก่นด่าเบาๆ ไปตลอดทางด้วย ความหงุดหงิด ไอ้คนขายยาเฮงซวยนั่น เธอรู้สึกอยู่เหมือนกัน ว่าหมอนั่นมีบางอย่างไม่ชอบมาพากลตอนที่เธอซื้อยาจากเขา เธอบอกเขาแต่เพียงว่าเธอต้องการยาที่จะทำให้ใครสักคนหลับปุ๋ยไม่รู้เรื่อง แต่เธอไม่เคยพูดแม้แต่คำเดียวว่าเธอ ต้องการได้ยาพรรค์นี้ แล้วดูเถอะว่าเขาทำกับเธออย่างไรหลัง กินยานั่นเข้าไป เธอยังรู้สึกปวดปลาบไปตลอดร่างเมื่อนึกย้อน ไปถึงสิ่งที่เกิดขึ้น

อาการเจ็บระบมบริเวณพื้นที่ส่วนตัว ทำให้เธอหวนนึกถึง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนที่ผ่านมา ผู้ชายคนนั้นทรมานเธอไม่รู้ กี่ครั้งต่อกี่ครั้งจนเธอหมดสติไปและไม่สามารถจำอะไรได้อีก

มีเพียงเรื่องเดียวที่เธอจำได้จากเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นก็ คือ…

“หลินเชื่อ ดูสารรูปตัวเองเข้าก่อนเถอะ แกยังอยากจะเป็น ดาราอยู่อีกเหรอ แกควรจะเชื่อฟังแม่เลี้ยงของแกสิ ฉันจะหา ตระกูลดีๆ ให้แกแต่งงานเข้าไปเป็นสะใภ้ ลูกนอกสมรสยังไงก็ ต้องเป็นลูกนอกสมรสอยู่วันยังค่ำ ยังไงก็ไม่มีใครมองแกไป กว่านี้หรอก”

“หลินเชื่อ ที่แม่เลี้ยงทำอย่างนี้ก็เพราะเห็นแก่แกหรอกนะ พี่สาวของแก หลินลี่ ตอนนี้กลายเป็นดาราดังไปแล้ว ส่วนพี่สาว คนรองก็กลายเป็นโปรดิวเซอร์ชื่อดัง ผ่านมาก็ตั้งหลายปี แกยัง เป็นแค่ดาราเกรดล่างอยู่เลย โอกาสของแกคงจะหมดเสียแล้ว ล่ะ

เสี่ยวเชอจ๊ะ บริษัทขอเปลี่ยนบทไปให้คนอื่นเล่นแทนแล้ว กันนะคราวนี้ เราคิดว่าอิมเมจของหนูมันไม่ค่อยเหมาะกับบทน่ะ
เธอยิ้มอย่างขมขื่น….. ถ้าพวกเขาไม่ต้อนเธอจนอับจน หนทางขนาดนี้ เธอก็คงไม่ต้องคิดแผนการอุบาทว์นั่นขึ้นมา ทั้งหมดที่เธอต้องการก็แค่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปเท่านั้น แต่ดูตอนนี้

หลินเซ่อรีบเร่งเดินทางไปยังบริษัท แม้จะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ก็ตามแต่เธอก็ไม่ลืมว่าวันนี้เธอมีนัดออดิชันบท

ทันทีที่เห็นเธอมาถึง สีหน้าของอวหมินหมิ่นก็พลอยทิ้งตึง ขึ้นมาทันทีที่ตวัดสายตาไปมองหลินเชื่อและเอ่ยว่า “อ้อ ยัง อุตส่าห์จะมาอีกเหรอ ฉันนึกว่าเธอไม่สนการออดิชันครั้งนี้แล้ว ซะอีก!”

“ขอโทษทีค่ะพ่อที่ฉันมาสาย

หลินเชอรีบจัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อย

ปรายตามองเพียงครั้งเดียว อวหมินหมิ่นก็สังเกตเห็นรอย ที่ลำคอของหญิงสาว เธอก้มลงสำรวจดูเสื้อผ้าของหลินเชื่อแล้ว ดึงคอเสื้อของเธอออกมา “เดี๋ยวเราจะไปพบกับผู้กำกับกันแล้ว ฉันไม่สนใจเรื่องชีวิตส่วนตัวของเธอหรอกนะ แต่ยังไงซะถ้าเธอ ยังอยากได้บทนี้ละก็ เธอควรจะทำหน้าทำตาให้มันดูสดใส แช่มชื่นเสียหน่อย ไม่อย่างนั้นเธอจะดูเหมือนพวกคุณโส!”

หลินเชื่อก้มลงดูตัวเอง เพื่อที่จะได้พบว่าเธอมีร่องรอยบน เนื้อตัวหลงเหลืออยู่ชนิดที่แทบไม่ต้องจินตนาการ มันเด่นชัด เกินไปและน่าอายเกินไป

อีตาบอนั่น นายมันปีศาจชัดๆ เลย!
หลินเชื่อรีบโค้งทันควันและพรั่งพรูค่าขอโทษ เธอดึงเสื้อ ให้เข้าที่ แล้ววิ่งไปยังห้องน้ำ พร่ำบอกกับตัวเองว่าเป็นความ ผิดของผู้ชายคนนั้น เขาเป็นคนทำให้เธอต้องพบจุดจบของชีวิต หรืออนาคตแบบไหนก็ตามที่เธอกำลังจะได้มี

ทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น

หลินเชื่อคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาด้วยความหัวเสีย

“ฮัลโหล”

[หลินเชื่อ เมื่อคืนแกหายไปไหนมา เสียงโกรธจัดของ หลินโหย่วไฉแล่นมาตามสาย

หลินโหย่วไฉไม่ใช่คนที่จะโทรหาเธอบ่อยๆ เว้นเสียแต่ว่า จะมีเรื่องสำคัญ ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา เขาคือพ่อที่เธอไม่ ได้ต้องการจะมี แต่หลินเชื่อก็ไม่สามารถปฏิบัติกับเขาราวกับ สิ่งที่ไม่มีตัวตนโดยสิ้นเชิงได้ เพราะถึงอย่างไรเธอก็ยังจำเป็นที่ จะต้องอาศัยอยู่ในบ้านตระกูลหลิน

หลินเชื่อคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนที่ผ่านมา ด้วยความรู้สึก ผิดเธอจึงตอบไปว่า “เมื่อคืน หนู…หนูมีเรื่องนิดหน่อยน่ะค่ะ”

(ฉันไม่สนใจว่าแกจะมีธุระปะปังอะไร พี่สาวของแก หลินลี่ อยากคุยเรื่องงานหมั้นกับทุกคนที่บ้านวันนี้ แล้วแกกล้าดียังไง ถึงได้ออกไปอยู่ค้างอ้างแรมข้างนอกทั้งคืน] หลินโหย่วไฉ กล่าวตำหนิอย่างเผ็ดร้อน

ใช่ หลินลี่กำลังจะหมั้นหมาย แต่มันไม่ใช่กงการอะไรของเธอนี่ หญิงสาวนิ่งฟังถ้อยค่าดุด่าด้วยโทสะของผู้เป็นบิดาอย่าง สงบโดยไม่ได้รู้สึกโศกเศร้าอันใดในใจแม้เพียงเศษเสี้ยว หลัง จากหลายปีที่ผ่านมา เธอก็ชินชากับคำด่าทอของพ่อไปเสียแล้ว

(ฉันไม่สนหรอกนะว่าแกกำลังทำอะไรอยู่ แต่แกจะต้อง กลับมาเดี๋ยวนี้ ถ้าฉันรู้ว่าแกไม่ยอมกลับบ้านละก็ ฉันจะไปขุด กระดูกแม่ของแกออกมาจากสุสานตระกูลหลินแล้วจะเอาไป โยนลงทะเลซะ แกจะไม่มีวันได้เห็นแม่ของแกอีกเลยตลอดทั้ง ชีวิตนี้]

เมื่อพูดจบ หลินโหย่วใจก็วางสายไป

ณ บ้านตระกูลหลิน

หันไม่อิงมองดูหลินโหย่วไฉวางโทรศัพท์ก่อนจะเอ่ยถาม อย่างกระตือรือร้นว่า “แกจะกลับมาหรือเปล่าคะ หลินโหย่วไฉตอบ “กลับ

หันไฉ่องยื่นมือออกไปลูบไล้หน้าอกของหลินโหย่วไฉ อย่างตั้งใจจะพะเน้าพะนอ “คุณคะ คุณจะต้องพูดให้แกยอม ตกลงเข้าพิธีแต่งงานครั้งนี้ให้ได้นะคะ ฉันยังตกใจไม่หายเลยที่ อยู่ๆ ตระกูลเฉิงก็มาสู่ขออย่างไม่ทันตั้งตัวแบบนี้ หลินอะ เป็นเด็กดีออกจะตาย ทั้งสวยทั้งเฉลียวฉลาด ฉันจะยอมปล่อย ให้แกแต่งงานไปกับคนปัญญาอ่อนได้ยังไง นี่ฉันยังได้ยินมาว่า เขาเป็นพวกบ้ากามอีกต่างหากนะคะ พวกนั้นแค่อยากจะให้ หลินอวี่แต่งงานเข้ากับตระกูลไปเพื่อที่จะได้มีคนไปคอยรับใช้ เท่านั้น หลินเชื่อนะ ถึงยังไงก็เป็นแค่ลูกนอกสมรส ถ้าไม่ใช่แกแล้ว จะเป็นใครไปได้ล่ะที่ควรจะต้องแต่งงานในครั้งนี้

“อย่ากังวลไปเลย” หลินโหย่วไฉว่า “ฉันทนให้หลินอ ต้องไปตกระกำลำบากไม่ได้ แต่หลินเชื่อก็เป็นลูกสาวฉันคน หนึ่งเหมือนกัน…

“อ้อ ดีนี่คะ งั้นก็แปลว่าคุณจะปล่อยให้หลินอวต้องไปคอย เช็ดขี้เช็ดเยี่ยวคนอื่นแทนที่จะเป็นหลินเช่องั้นเหรอคะ ถ้าเป็น อย่างนั้นละก็หลินโหย่วไฉ คุณคงไม่ได้สำนึกอะไรเลยสินะ ตอน ที่คุณไปมีลูกสาวกับผู้หญิงคนอื่น ฉันก็ยอมปล่อยให้ยัยเด็กนั่น ซุกหัวอยู่ในบ้านตระกูลหลินต่อไปได้แล้วก็เลี้ยงแกมาจนโต มา ถึงตอนนี้ที่แกโตเป็นสาว คุณยังจะไม่ยอมให้แกได้ทดแทนบุญ คุณฉันแม้แต่เรื่องเล็กน้อยแค่นี้อย่างงั้นหรือ เมื่อเทียบกับ กำพืดของแกแล้ว การปล่อยให้แกได้แต่งเข้าตระกูลเฉิงที่ มั่งคั่งไป นั่นก็เท่ากับ ให้เกียรติแกมากแล้วนะ”

“เอาล่ะ เอาล่ะ” เมื่อเห็นหันไม่อิงเริ่มขุดคุ้ยเรื่องราวใน อดีตขึ้นมาเหน็บแนมอย่างไม่รู้จบสิ้น หลินโหย่วไฉก็รีบห้ามทัพ เป็นพัลวันและรับปากว่า “ฉันจะบังคับแกเอง แกจะต้อง แต่งงานออกไป

แน่นอนว่าหลินโหย่วไฉลังเลใจไม่น้อย แต่เมื่อตริตรองดู แล้ว เขาก็มองไม่เห็นใครอื่นนอกไปจากหลินเชื่ออีกแล้ว

พวกเขาไม่กล้าพอที่จะปฏิเสธตระกูลเฉิง แม้ว่าบุตรชาย ของฝ่ายโน้นจะปัญญาอ่อน แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ร่ำรวย ให้ หลินเชื่อแต่งเข้าไปยังบ้านตระกูลนั้นก็น่าจะนับได้ว่ายุติธรรมกับแกอยู่พอสมควร

เสียงแม่บ้านร้องบอกมาจากด้านนอก “นายท่านคะ คุณผู้ หญิงคะ คุณหนูสามกลับมาแล้วค่ะ”

แม่บ้านหันมาบอกกับหลินเชื่อว่า “นายท่านและคุณผู้หญิง กำลังรอคุณอยู่ด้านในค่ะ วันนี้คุณหนูใหญ่กำลังหารือเรื่องงาน หมั้นของเธอ พี่เขยของคุณก็เลยอยู่ที่นี่ด้วยค่ะ”

หลินเซ่อมองดูแม่บ้านด้วยสีหน้าประหลาดใจ “ฉันชิงอยู่ที่

นี่เหรอ”

แม่บ้านตอบว่า “ใช่ค่ะ เขาเพิ่งมาถึงก่อนหน้าคุณไม่นาน

นี่เอง”

ด้วยความประหลาดใจระคนยินดี หลินเซอวิ่งเข้าไปใน บ้านเพียงเพื่อที่จะต้องรีบหยุดอย่างกะทันหัน

ข้างในนั้น ฉันชิงและหลินลี่กำลังยืนเคียงกันอยู่ในโถง ทางเดิน พวกเขายืนคลอเคลียอิงแอบแนบชิด ริมฝีปากแทบจะ สัมผัสกัน คงไม่เหมาะที่จะเข้าไปขัดจังหวะ หลินเชื่อจึงยืนนิ่งงัน อยู่อย่างนั้น เธอลืมกระทั่งว่าตัวเองควรจะถอยออกไป

จนในที่สุดเมื่อเธอตัดสินใจที่จะหมุนตัวออกมา เธอก็รู้สึก ถึงแรงตบฉาดใหญ่เข้าที่ใบหน้า หนักหน่วงเสียจนแทบจะส่ง ให้เธอลงไปกองอยู่บนพื้น แก้มของเธอแสบร้อน หันไฉ่องคว้า ตัวเธอแล้วลากถูลู่ถูกังเข้าไปในห้อง

หลังจากปิดประตูลง หันไม่อิงก็หันมาจ้องตาถมึงทึงใส่หลินเชื่อ เธอชี้นิ้วใส่หน้าแล้วพูดว่า “แกมันนังโสเภณีไร้ ยางอาย เขยแกนะ แกคิดว่าฉันไม่รู้เหรอว่าแกกำลังคิดอะไรอยู่ นั่นมัน หน้าด้านหน้าทนที่สุด กล้าดียังไงจะไปยั่วยวนเขา

หลินเชื่อยืนนิ่ง ยกมือขึ้นกุมแก้มที่ร้อนแดง เธอยิ้มเยาะๆ ให้หันไม่อิงแล้วตอบว่า “คุณแม่เลี้ยงคะ ถ้าฉันอยากจะยั่วเขา จริงๆ ละก็ ฉันคงจะไม่มาเอาแต่ยืนดูอยู่ตรงนั้นหรอกค่ะ”


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ