บทที่ 5
น้ำเหนือได้แต่ยืนนิ่งเงียบทนดูพฤติกรรมแย่ ๆ ของชายผู้เป็น ที่รัก พูดจาดูหมิ่นดูแคลนมารดาตนเองอย่างไม่น่าให้อภัย ใจ จริงอยากจะโต้กลับ แต่ก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะเอาเรื่องเมื่อคืนมา ประจานให้อับอาย
“ถ้าแกยังไม่เลิกบ้าก็รีบไสหัวออกไปจากไร่ฉันซะ เรียนจบ มาแล้วนี่ ไปสมัครงานที่ไหนเขาก็คงจะรับ ดีกว่าอยู่ที่นี่ขวางหู ขวางตาฉัน…ไอ้ลูกเลว” โอภาสชี้หน้าด่าลูกชายในไส้ด้วย อารมณ์เดือดดาล ตอนแรกเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายเรียนจบเจ้าตัวดีใจ เป็นที่สุด หวังอยากให้กลับมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเหมือนเมื่อก่อน และใช้ความรู้ความสามารถที่เรียนมาช่วยบริหารงานในไร่
“ไม่ให้ตายผมก็ไม่มีทางไปไหน ผมจะอยู่ที่นี่ คอยก่อกวนไม่ ให้พ่อมีความสุข อยากรู้เหมือนกันว่าจะทนได้สักกี่น้ำ” เจ้าตัว แสยะยิ้มราวกับซาตานร้าย ที่พร้อมจะทำลายทุกชีวิตที่ขวางหน้า สายตาคมจ้องมองผ่านหลังบิดาไป ยลโฉมหนุ่มน้อยที่เขาเพิ่งจะ รังแกไปเมื่อคืน แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับหลบตาทันควัน
“ถ้าอย่างนั้นก็ย้ายไปอยู่ในไร่ซะ ไม่ต้องมาอยู่ขวางหูขวางตาให้เห็นในบ้านหลังนี้
“พ่อเลี้ยงใจเย็น ๆ สิคะ”
“ลูกเลว ๆ อย่างนี้มันไม่ควรได้รับความเมตตาจากฉัน ให้ มันไปทำงานใช้แรงในไร่ ดูซิว่าจะทนได้สักกี่น้ำ ถ้าแกสำนึกผิด มาขอโทษวันนั้นฉันถึงจะยอมให้อภัยแก
ในเมื่อลูกชายไม่มีเหตุผลและไม่ยอมเชื่อฟัง เขาจึงอยากดัด นิสัยโดยการส่งไปทำงานและพักอยู่ในไร่กับคนงาน อีกอย่าง เพื่อเป็นการเรียนรู้งานให้รู้แจ้งเห็นจริง เพราะถึงอย่างไรเขาก็ ต้องฝากไร่แห่งนี้ให้ลูกชายบริหารต่ออยู่แล้ว
“ก็ดีเหมือนกัน ผมเองไม่อยากทนเห็นคนพวกนี้ลอยหน้า ลอยตาในบ้านหรอก ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปไม่ต้องคิดว่าผมเป็น ลูกชายก็ได้นะ” พูดจบภาคินก็ปิดประตูใส่หน้าทุกคนทันที
ปัง!
เมื่อประตูถูกปิดลงเจ้าตัวก็เอนหลังแนบชิดประตู ค่อย ๆ นั่ง ลงอย่างช้า ๆ น้ำตาลูกผู้ชายไหลลงมาเป็นทาง นอกจากจะ น้อยใจบิดา ยังคิดถึงมารดาผู้ล่วงลับไปแล้ว หากท่านยังคงมี ชีวิตอยู่เรื่องบ้า ๆ พวกนี้คงไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน
“ผมจะไม่มีทางให้ใครมาแทนที่แม่แน่นอนครับ แม่เลี้ยง ของไร่นี้เป็นของแม่คนเดียวเท่านั้น” กล่าวจบชายหนุ่มก็ก้มหน้า ราวกับชีวิตไร้ที่พึ่งทางใจแล้ว ปล่อยให้น้ำตาไหลหยดลงสู่พื้น อยู่อย่างนั้น
เมื่อถูกลูกชายหัวแก้วหัวแหวนปิดประตูใส่หน้าอย่างไม่ไยดี พ่อเลี้ยงโอกาสก็มานั่งหัวเสียในห้องนั่งเล่น โดยมีน้ำจันทร์คอย เป็นผู้คอยปลอบประโลม ให้อารมณ์เย็นลง ส่วนน้ำเหนือก็ได้แต่ นั่งมองผู้มีพระคุณทั้งสองอย่างเหนื่อยใจ กลับมาคราวนี้ภาคิน เปลี่ยนไปเป็นคนละคน หากจะมีอะไรที่ทำให้เขากลับมาเป็นคน เดิมได้ ก็อยากจะทำเพื่อให้ผู้ใหญ่ทั้งสองได้ใช้ชีวิตคู่อย่าง สบายใจ
“พ่อเลี้ยงจะทําอย่างนั้นจริง ๆ เหรอคะ คุณคินเธอเพิ่งกลับ มาจากเมืองนอก ไปทำงานในไร่ดูท่าจะไม่ไหวนะคะ” เมื่อเห็นว่า สามีใจเย็นลงบ้างแล้วน้ำจันทร์จึงถามย้ำอีกครั้ง เผื่อว่าจะ เปลี่ยนใจสามีได้
“ใจจริงฉันก็ไม่อยากจะทำหรอก แต่มันไม่ยอมฟังอะไรทั้ง นั้น เข้าไปสงบสติอารมณ์ในไร่ก็ดีเหมือนกัน เผื่อว่าจะคิดอะไรได้ บ้าง อีกอย่างฉันก็อยากให้มันเข้าไปเรียนรู้งานด้วย เพราะใน อนาคตไร่นี้ก็ต้องตกเป็นของมันอยู่ดี”
“ฉันว่าพ่อเลี้ยงลองไปพูดคุยปรับความเข้าใจกับคุณคนอีก ครั้งดีไหมคะ เผื่อว่าอารมณ์เย็นลงกันแล้วจะคุยรู้เรื่องกว่านี้
“ฉันไม่อยากคุยกับมันอีกแล้ว อยู่ที่นั่นล่ะดีแล้วจะได้ไม่ต้อง มีปากมีเสียงกัน”
“ถ้าอย่างนั้นฉันจะให้คนไปทำความสะอาดเรือนไม้ท้ายไร่ ก่อนที่คุนคืนจะย้ายเข้าก็แล้วกันนะคะ” เมื่อได้ฟังเหตุผลของสามี เธอก็เห็นด้วย แม้จะโดนดูถูกเหยียดหยามแต่เธอก็ไม่โกรธแม้แต่น้อย และจะพยายามทำดีต่อไป เพื่อหวังว่าในอนาคตภาค นจะยอมรับเธอได้
“ถ้างั้นก็ฝากด้วยละกันนะ ฉันต้องขอโทษแทนเจ้าคนมัน ด้วย ขอเวลาให้มันปรับตัวอีกไม่นานคงจะดีขึ้นกว่านี้” โอภาส กุมมือภรรยาไว้เพื่อให้กำลังใจ จ้องมองดวงหน้าสวยสมวัย ส่ง ยิ้มน้อย ๆ ให้อย่างอ่อนโยน
เมื่อพูดคุยกับสามีแล้วน้ำจันทร์ก็หันไปมองลูกชายสุดที่รัก เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังนั่งเหม่อลอย ราวกับมีเรื่องต้องให้คิดในใจ จึงเอ่ยเรียกเพราะมีอะไรบางอย่างให้ทำ
“เหนือ!
“เหนือ! นั่งเหม่ออะไรอยู่ลูก”
“มะ..มีอะไรครับแม่
น้ำเหนือสะดุ้งเล็กน้อย หันขวับมองไปยังต้นเสียงทันที “เป็นอะไรหรือเปล่าลูก ทำไมถึงได้ดูเหม่อลอยอย่างนั้น
“ไม่มีอะไรครับแม่ ผมก็คิดอะไรเรื่อยเปื่อย แม่มีอะไรให้ผม ทํารึเปล่าครับ”
“แม่วานไปช่วยคุณคินเก็บของหน่อยสิ”
“จ๊ะ! แม่ว่าอะไรนะ” น้ำเหนือทวนถามอีกครั้ง เมื่อครู่มารดา ก็เห็นว่าอีกฝ่ายร้ายกาจมากแค่ไหน ยังจะให้เขาไปช่วยเขาอีกงั้นเหรอ
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ