บทที่ 5 ความเศร้าใจ
เขารีบกินข้าวที่อยู่ในจาน และเดินตามเธอออกมา จากโรงอาหาร
“กินเสร็จแล้วหรอ ไปกันเถอะ” เถอะพูดจาอย่างนิ่ม นวล แต่เอาแต่เดินก้มหน้ามองพื้น
“ทำไมหรอ ตอนนี้ไม่เหลือความกล้าที่จะมองหน้าผม
เลยหรอ”
“ใครว่าละ” เธอตอบและมองไปที่เขา แต่สายตาของ เขามันร้อนแรงมาก ราวกับว่าเหมือนโดนลวก จึงรีบดึง สายตากลับมา
ตอนแรกก็อยากจะแกล้งเธออีก แต่ว่าอาจจะทำให้ เธอเป็นทุกข์ได้ งั้นก็ช่างเถอะ
“ผู้จัดการเหอ บริษัทนี้มีปัญหาอะไรทางธุรกิจหรือ เปล่า ได้ข่าวมาว่ากำลังจะถูกซื้อกิจการต่อ
เมื่อเขาเปลี่ยนหัวข้อสนทนา เธอก็มีมาดเอาจริงเอาจัง ขึ้นมา ในใจเธอรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น แต่ก็ยังมีความ รู้สึกเศร้าใจปะปนอยู่
“เรื่องนี้มันพูดยากนะ เดี๋ยวอีกหน่อยมาอยู่ที่นี่นาน แล้วเดี๋ยวนายก็จะรู้เอง”
หลังจากนั้นทั้งสองคนก็พูดคุยกันถึงเรื่องงาน เวลาช่วงบ่ายก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ถึงแม้ว่าจะไม่เกี่ยวกับเรื่องของผู้หญิงผู้ชายแต่ตอน ที่ทำงานกับเขา เหอมั้นซินรู้สึกดีมากรู้สึกดีอย่างไม่มี สาเหตุ
บางที่น่าอาจจะเป็นความเศร้าโศกของผู้หญิงที่โดด เดี่ยว ในใจเอาแต่โหยหา แต่กลับไม่มีความกล้าที่จะทำ อะไร
“พรุ่งนี้เจอกัน” เธอพูดและยิ้มก่อนที่จะเดินออกไป
ตอนนั้นเธอยังคิดไม่ถึงว่า ก่อนจะถึงพรุ่งนี้พวกเขาก็ เจอหน้ากัน แถมยังเป็นการพบเจอที่ไม่ธรรมดาอีกด้วย พอออกมาจากบริษัท ฝนก็ตกลงมา โชคดีที่ตกไม่
หนัก
เธอเอารถมอเตอร์ไซค์ออกมาจากโรงจอดรถ ขี่กลับ บ้านด้วยความเร็วที่สุด
ทุกวันหลังเลิกงาน เธอก็จะรีบกลับบ้านแบบนี้ตลอด ถ้าหากเจอรถติดเธอก็จะใจร้อนดังไฟเผา เพราะว่ามี คนที่รอให้เธอกลับไปทำอาหารอยู่ที่บ้าน
ยังไปไม่ถึงไหน ฝนก็ยิ่งตกหนักขึ้นหนักขึ้น ที่แย่กว่า นั้นก็คือ เธอพบว่ารถของเธอมันช้าลงช้าลงและในที่สุด รถก็หยุด
แย่แล้ว รถแบตหมด
ช่วยไม่ได้ทำได้แค่ลงมาจากรถและเข็นรถ ฝนที่ ตกหนักก็ทำให้เธอเปียกโชกในเวลาไม่นาน
ไม่มีเวลามาสนใจว่าตัวของเธอจะหนาวแค่ไหน เธอ คิดแค่ว่าอยากจะกลับถึงบ้านเร็วๆ เข็นรถและกึ่งเดินกึ่ง วิ่งมุ่งหน้ากลับบ้าน
ปกติขี่รถจากบ้านถึงบริษัทจะใช้เวลาประมาณสี่สิบ นาทีและเดินอีกสี่สิบนาที ตอนนี้เปลี่ยนเป็นเดินและเป็น รถกว่าจะถึงบ้านน่าจะประมาณชั่วโมงครึ่ง
เธอเป็นห่วงว่าคนในครอบครัวจะรอนานเธอเลยหยิบ โทรศัพท์ขึ้นมาโทรกลับบ้าน แม่ยายรับโทรศัพท์แล้ว บ่นว่าทำไมไม่ชาร์ตแบตให้เต็มทำนองนั้นก่อนที่จะวาง
เธอยังคงเข็นรถและท่ามกลางสายฝนที่หนาวเหน็บ สายตาของเธอพร่ามัว ขาที่ช้าๆ ของเธอดูเหมือนว่า กำลังจะหมดแรง
ดู๋หยุนฮุยขับรถมาและมองเห็นเหอมั้นซินเข็นรถจาก ไกลๆ อย่าพูดถึงว่ามันจะเปลืองแรงขนาดไหนเลย
ผู้หญิงคนนี้ทำไมไม่รู้จักรักตัวเองบ้าง หนาวขนาดนี้ ถึงเป็นผู้ชายแต่ตากฝนขนาดนี้ก็คงจะทนไม่ไหว
เขาเอารถจอดเข้าข้างทาง และถือร่มลงไปหนึ่งคันและรีบวิ่งไปหาเธอ
“ผู้จัดการเหอ ทำไมมาเดินตากฝนแบบนี้ รถแบตหมด หรอ” เขากางร่มให้เธอและถาม
จู่ๆ บนหัวเธอก็ไม่มีฝนตกใส่ เธอเงยหน้าขึ้นมาเห็น เขาถือร่มอยู่และมองมาที่เธออย่างเอาใจใส่
จู่ๆ เธอก็รู้สึกเศร้าใจขึ้นมา อีกนิดเดียวน้ำตาเธอเกือบ จะไหลออกมา
สามีของเธอก็อยู่ที่บ้าน และรู้ว่ารถของเธอแบตหมด และกำลังเดินจากฝนอยู่ คิดไม่ถึงว่าจะไม่โทรกลับมา ถามเธอเลย
แม่ยายนอกจากจะตำหนิแล้วก็ไม่มีท่าทีว่าเป็นห่วง เธอเลยสักนิด นี่หรอคือคนที่เธอรักและคิดถึงอยู่ทุกวัน แต่ว่าเคยมีใครสักคนเคยสนใจว่าเธอมีความสุขหรือว่า เธอกำลังทุกข์ใจบ้างมั้ย
มองดูน้ำฝนที่ไหลลงมาจากผมของเธอ ปากของเธอ หนาวจนกลายเป็นสีม่วง เสื้อผ้าเปียกจนแนบชิดติดกับ ตัว
แต่เธอรู้สึกอับจนมากจริงๆ ทั้งหน้าทั้งตัวรู้สึกอับจน จริงๆ มองเห็นเขามา ตาของเธอก็ค่อยๆ แดงขึ้นมา
ทำไมถึงได้มีคนที่น่าสงสารขนาดนี้นะ ขณะนั้นเขา อยากจะดึงผู้หญิงที่น่าสงสารคนนี้เข้ามาในอ้อมกอดและบอกกับเธอว่าอย่ากลัวไปเลย เขามาแล้ว
ความคิดนี้ทำให้เขารู้สึกว่ามันไม่ค่อยเป็นปกติ ไม่ใช่สิ มันแปลกประหลาดเลยละ
“ที่ที่ผมอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ไปที่ของผมแล้วผมจะช่วย คิดว่าจะชาร์ตแบตยังไงดี แบบนี้เดี๋ยวก็ป่วยพอดี”
ลึกๆ แล้วเธอไม่อยากจะทำให้เขายุ่งยาก แต่เขาดู จริงจังมาก และถ้ายังเข็นรถแบบนี้ต่อไปมันคงไม่น่า ใช่วิธีที่ดี ท้องฟ้าก็มืดลงๆ เดี๋ยวไปถึงที่เปลี่ยวมันคงจะ อันตรายมากๆ
“ไม่เป็นไร ไม่รบกวนดีกว่า ฉันไปคนเดียวได้ ดู เหมือนว่าเขาจะเห็นความกังวลของเธอ เขาเลยพูดขึ้น ว่า
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ