เงาแค้นอสุรา

บทที่ 1 : หญิงสาวตาบอด



บทที่ 1 : หญิงสาวตาบอด

บทที่ 1

แก้วกัลยา ลืมตาตื่น…

โลกของเธอก็ยังคงมิดมิตเช่นเดิม

กลิ่นฉุนชวนพะอืดพะอมลอยแตะจมูกพร้อมกับความรู้สึกปวดระบมไป ทั่วทั้งตัว หญิงสาวพยายามขยับกาย หากแต่ความปวดร้าวก็ยังตามเล่น งานจนจำต้องยอมแพ้แล้วนอนอยู่นิ่งๆแทน เธอได้ยินเสียงคนคุยกันอยู่ไม่ ใกล้ไม่ไกล

“ขอโทษนะคะ” เสียงเล็กเอ่ยแผ่วเบา ทว่าหยุดความเคลื่อนไหวของทุก คนในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ

“แก้ว! หนูพื้นแล้วเหรอลูก” เสียงหนึ่งร้องเรียก เธอจําเสียงของแม่ครูได้ ทันที แม้มองไม่เห็นแต่ร่างบางก็สัมผัสอ้อมกอดอันอบอุ่นของแม่ครูได้ ท่านกำลังกอดเธอไปพร้อมๆกับร้องไห้

“ขวัญเอยขวัญมานะลูกแม่

“แม่ครูคะ…” เธอเค้นเสียงออกมาอย่างยากลำบาก “แก้ว… ตอนนี้แก้ว อยู่ที่ไหนคะ”

“โรงพยาบาลจะลูก ตอนนี้หนูอยู่ที่โรงพยาบาล” แม่ครูพยายามกลั้น เสียงสะอื้น ทว่าก็ทำได้ยากยิ่ง มือเหี่ยวย่นลูบศีรษะหญิงสาวที่รักไม่ต่าง จากลูกแท้ๆ

“ทำไมแก้วถึง…

แก้วกัลยาพยายามนึกว่าเหตุใดเธอจึงมาอยู่ที่โรงพยาบาลด้วยอาการปวดร้าวทั่วทั้งตัวเช่นนี้ ความทรงจำค่อยๆหลั่งไหลเข้ามาคล้าย กระแสน้ำหลาก แม้มืดมิด… แต่เสียงของมันชัดเจน

เธอกําลังหนี…..

เธอจําได้ว่าตัวเองถูก ‘เพลิงพิศ” เพื่อนสาวจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เดียวกันปล่อยทิ้งไว้ที่ไหนสักที แล้วก็มีผู้ชาย… เหมือนจะมากันหลายคน พูดข่มขู่เธอ พวกมันต้องการจะทำร้าย…

เธอวิ่งหนี กรีดร้องขอความช่วยเหลือ ทว่าไม่มีใครได้ยิน และเพราะเป็น เพียงคนพิการตาบอด เธอไม่อาจช่วยเหลือตัวเองได้ จึงได้แต่คลำทางสะ เปะสะปะ ล้มลุกคลุกคลานไปตามเส้นทางมืดมิดที่ตัวเองก็มองไม่เห็น พวก มันส่งเสียงหัวเราะราวกับว่าเธอเป็นแค่ตัวตลก มองดูเหยื่อที่กำลังดิ้นรน หาทางรอด พวกมันรู้

ทางรอดสําหรับเธอไม่มี

ไม่มีตั้งแต่แรก

คืนนี้เธอต้องเป็นเหยื่อให้สัตว์ร้ายผู้หิวโหย

แล้วแสงไฟสว่างจ้าลำหนึ่งก็สาดเข้ามาที่ดวงตาอันมืดมิด แสงสว่าง… เป็นสิ่งเดียวที่เธอปรารถนามาทั้งชีวิต แต่มันต้องไม่ใช่แสงสว่างที่มาพร้อม กับเสียงกรีดร้องของใครบางคน เธอสั่นสะท้านไปทั้งตัวก่อนทั้งร่างจะถูก กระแทกอย่างแรง เธอรู้สึกเหมือนลอยคว้างอยู่กลางอากาศเพียงเสี้ยว นาทีกลับหล่นกระแทกพื้น

โครม!
ความทรงจำของเธอสิ้นสุดไปพร้อมๆ กับเสียงกระแทกของอะไรสักอย่าง ดังสนั่นหวั่นไหว ร่างบางตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว หยดน้ำใสๆไหลริน จากดวงตาไร้แวว ความทรงจำที่ย้อนกลับมาช่างโหดร้ายเหลือเกิน และ มันคงจะตามหลอกหลอนเธอไปทั้งชีวิต

“ฮึก… แม่ครูคะ แก้วกลัว” แก้วกัลยาตัวสั่นเหมือนลูกนกน้อย สองแขน โอบกอดที่พึ่งพิงเพียงหนึ่งเดียวไว้

“มี… มีคนพยายามจะทำร้ายแก้ว พวกมันจะข่มขืนแก้ว”

แม่ครูรู้สึกราวกับลมหายใจขาดห้วง

“หนูว่าอะไรนะลูก”

“แก้ววิ่งหนีพวกนั้น ฮึก… มีไฟจากไหนไม่รู้สาดเข้ามาในตา แก้วได้ยิน เสียงคนร้อง แล้วก็มีเสียงดังตูม” เธอเล่าไปเสียงสั่นไป “แม่ครูคะ แก้วไม่ ได้… แก้วไม่ได้ทำให้ใครเจ็บใช่มั้ยคะแม่”

คนฟังใจสะท้าน ตกใจกับเหตุการณ์เบื้องหลังจนพาให้ทั้งห้องเงียบกริบ แก้วกัลยาคงไม่รู้ตัวว่าขณะที่เธอเล่า มีตำรวจสองนายยืนฟังอยู่ หนึ่งในนั้น คือเตชิต เขาก้มหน้ามองพื้นราวกับไม่อยากเห็นภาพอันน่าสลดตรงหน้า

เธอเป็นแค่หญิงสาวตาบอด ทำไมถึงได้โชคร้ายเพียงนี้

“แม่ครูครับ ผมขออนุญาตสอบปากคำคุณแก้วนะครับ” สารวัตรหนุ่ม เอ่ยในที่สุด แม่ครูที่กำลังออกไม่อาจทำอะไรได้นอกจากยกตำแหน่งที่นั่ง ข้างเตียงให้ตรวจ

“สอบปากค่า…” ร่างบางทวนค่า
“คุณเป็นตำรวจเหรอคะ”

“ครับ”

คำตอบนั้นทำให้ใจเธอแทบสลาย น้ำตาไหลออกจากดวงตาคู่สวยที่ไม่ ฉายแววใดๆ เสียงกรีดร้องของผู้หญิงคนหนึ่งยังดังก้องในหัว

“คุณตรวจคะ แก้วไม่ได้…ทำให้ใครเดือดร้อนใช่มั้ยคะ”

น้ำเสียงนั้นยังคงมีความหวังแม้จะริบหรี่ แต่เตชิตก็ขยี้ทำลายความหวัง นั้นด้วยประโยคเรียบๆ

“อุบัติเหตุครั้งนี้มีผู้เสียชีวิตครับ” เขาได้ยินเสียงครางในลำคอที่แทบจะ กลายเป็นเสียงกรีดร้อง “ผมจำเป็นต้องสอบปากคำคุณแก้วเพื่อนำไปใช้ พิจารณารูปคดี ขอความร่วมมือด้วยนะครับ

มันเป็นประโยคเดิมๆที่เขาต้องพูดกับผู้ต้องหาหรือผู้เกี่ยวข้อง แต่ครั้งนี้ กลับทําใจพูดลำบากเหลือเกิน โดยเฉพาะเมื่อเห็นดวงตาไร้แววที่หลั่ง น้ำตาออกมาอย่างน่าสงสารคู่นั้น

แก้วกัลยายกมือปิดหน้า เธอร้องไห้จนตัวหอบโยน ชั่วชีวิตของเธออยู่ ในความมืดมาโดยตลอด แต่คราวนี้… ราวกับว่าชีวิตของเธอนั้นดำดิ่งเกิน กว่าความมืดมิดในดวงตาเสียแล้ว

ร่างสูงมองดูกลุ่มควันสีดำที่ลอยอ้อยอิ่งสูงขึ้นไปในอากาศ

นางฟ้าของเขากลับสู่สรวงสวรรค์แล้ว…
น้ำตาลูกผู้ชายไหลอาบแก้ม ความเจ็บปวดแทรกซึมทุกอณูผิว กัดกิน หัวใจแสนเย็นชาหยาบกระด้างจนมันอ่อนแอไม่ต่างจากก้อนเนื้อซ้ำๆที่ พร้อมหยุดทำงานได้ทุกเมื่อ ช่างทรมาน… ร้าวลึก… ยิ่งมารู้ว่านาฏณิชาไม่ ได้จากไปเพียงคนเดียว แต่ลูกของเขาที่ยังไม่ทันได้มีโอกาสลืมตาดูโลกก็ จากไปด้วย หัวใจของอสุราหนุ่มก็ยิ่งบอบช้ำ ความเศร้าโศกอยู่กับเขาเป็น นานนับตั้งแต่การจากไปของดวงใจทั้งสอง เวลาทุกวินาทีที่ล่วงผ่านคือ เขียวร้ายที่คอยขย้ำ ซ้ำเติมความเจ็บปวดให้คนที่ถูกทิ้งให้อยู่บนใบโลกนี้ เพียงคนเดียว

เพราะผู้หญิงคนนั้น!

ดวงตาคู่แกร่งมองดูคู่กรณีที่นั่งอยู่บนรถเข็น

ร่างแบบบางที่ดูอ่อนแอคล้ายกระเบื้องเคลือบที่พร้อมแตกสลายได้ทุก เมื่อหากสัมผัส กำลังยกมือไหว้ว่าที่แม่ยายของเขาที่ร้องไห้แทบขาดใจมา ตั้งแต่รู้ข่าวการจากไปของนาฏณิชา หญิงวัยกลางคนถลาจะเข้าไปทำร้าย หญิงสาว ทว่าก็ถูกญาติคนอื่นๆ ห้ามเอาไว้เสียก่อน แต่ก็ไม่มีใครสามารถ ห้ามปรามคำพูดที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นได้

“แกทำให้ลูกฉันตาย! แกมันนังฆาตกร!!!!”

“ฮึก… แก้วขอโทษค่ะ แก้วขอโทษ” แก้วกัลยาพนมมือไหว้ตามทิศทาง ที่ได้ยินเสียงก่นด่า น้ำตาไหลอาบเต็มสองแก้ม เธอเองก็เป็นอีกคนที่ ร้องไห้ไม่หยุดตั้งแต่รู้ว่าตัวเองเป็นสาเหตุที่ทำให้สองชีวิตต้องจบสิ้นไป

“ขอโทษแล้วมันหายมั้ย!? ลูกสาวฉันจะกลับมามั้ย ฮือ แก เพราะแกคน เดียว! อีฆาตกร!”
แรงห้ามของญาติๆไม่อาจสู้ความโกรธเกรี้ยวของคนเป็นแม่ได้ เธอ สะบัดแขนจนหลุดจากการควบคุม ก่อนจะใช้เท้าถีบรถเข็นคันเล็กที่ เจ้าของร่างบอบบางนั่งอยู่

โครม!

รถเข็นถูกถีบจนคว่ำ ยังผลให้คนที่โดยสารอยู่บนนั้นล้มกระแทกพื้นไป ด้วย เสียงกรีดร้องของแม่ครูและความเจ็บแสบที่ลำตัวซีกขวาทำให้แก้ว กัลยาพอนึกสภาพอันน่าสมเพชของตัวเองออก ทว่าเธอไม่ปริปากบ่น ไม่ โกรธที่มารดาของนา ณิชาจะทำกับตัวเองเช่นนี้ นี่ยังน้อยไปด้วยถ้า เทียบกับสิ่งที่อีกฝ่ายสูญเสีย

“คุณอาครับ ใจเย็นๆก่อนครับ” สารวัตรหนุ่มร้องห้ามก่อนที่ญาติผู้ใหญ่ ที่เขาเคารพจะเข้าทำร้ายแก้วกัลยาอีกครั้ง

“ใจเย็นอะไร!?! ลูกอาตายทั้งคนนะเต ลูกอา… อาเลี้ยงมากับมือ ฮือ…

เพียงแค่นึกถึงรอยยิ้มสดใสกับใบหน้าที่เหมือนครอบครองความสุขทุก

อย่างบนโลกไว้แต่เพียงผู้เดียวของนาฏณิชา หัวใจคนเป็นแม่ก็เจ็บเราๆ

คล้ายถูกมือที่มองไม่เห็นบีบเค้นทำลาย

“ถ้าแกตาบอดทำไมไม่รู้จักอยู่เฉยๆ จะออกมาเพ่นพ่านทำให้คนดีๆเค้า ตายทําไม!”

คำพูดนั้นคล้ายคมมีดกรีดลงกลางหัวใจดวงน้อย

เธอตาบอด…

เพราะเธอตาบอดถึงไม่ทันได้ระวัง เดินทะเล่อทะล่าไปบนถนนจนทำให้ นาฏณิชาต้องหักรถหลบ หญิงสาวจมอยู่กับความรู้สึกผิด
เกลียด…

เธอเกลียดตัวเองที่เกิดมาไม่ครบสมประกอบ เกลียดที่ความพิกลพิการ ของเธอไปคร่าชีวิตผู้อื่น หากย้อนเวลากลับไปได้ เธออยากแลกชีวิตที่แสน ไร้ค่านี้กับนาฏณิชาและขอเป็นคนที่จากไปซะเอง บางทีนาฏชาอาจจะยัง อยู่ เด็กน้อยคนนั้นอาจจะได้ลืมตาดูโลก มันคงไม่จบที่ความเศร้าสลดเช่น

“ความจริงคนที่ต้องตายควรจะเป็นแก! ทำไมแกไม่ตาย ทำไมแกต้อง เกิดมา!? เกิดมาก็รกโลก เกิดมาแล้วมาทำลูกฉันตายทำไม!?!!! ฮือ…”

เสียงคร่ำครวญดังก้องไปทั่วบริเวณวัด ราพณ์มองดูกลุ่มควันที่เป็นดัง สัญลักษณ์แห่งความสูญเสียเป็นครั้งสุดท้าย มือหนาเช็ดน้ำตาอย่างลวกๆ ดวงตาของอสุรากลับมาทอแววร้ายกาจดังเดิม

จบแล้ว

สำหรับความตั้งใจที่จะให้อภัยและมีเมตตาต่อคนทั้งโลกอย่างที่นาฏ ชาเคยขอไว้ ผลของการเป็นคนดีของนาฏณิชาทำให้เธอต้องด่วนจากไป ทั้งที่ยังไม่ถึงวัยอันควร ความจริงคนรักของเขาจะไม่หักรถหลบและชนเด็ก สาวคนนั้นเลยก็ย่อมทำได้ แต่เธอกลับไม่ทำเพราะเธอเป็นคนดีเกินกว่าจะ ยอมฆ่าใครเพื่อรักษาชีวิต

แต่สำหรับเขานั้นไม่ใช่

เขาไม่ใช่คนดีขนาดนั้น ประสบการณ์สอนเขาให้เอาตัวเองให้รอด เพราะโลกนี้ไม่เคยปรานีผู้ที่อ่อนแอเหมือนกับที่มันไม่เคยปรานีคนที่มี จิตใจดี คนดีจะถูกกระทำจากสิ่งที่ชั่วร้ายยิ่งกว่า ดังนั้นเขาจึงต้องร้าย ร้ายกาจให้ยิ่งกว่าใครทุกคนเพื่อไม่ ให้ตัวเองต้องเป็นเหยื่อ ส่วนคนที่สร้างรอยแผลให้เขา…

มันจะต้องชดใช้

ชดใช้ด้วยทุกลมหายใจที่มี

เขาสูญเสีย…

มันจะต้องสูญเสียมากกว่านับพันเท่า

“คุณยักษ์ครับ เมื่อคืนท่านรอสเวลแจ้งมาว่าให้คุณกลับอเมริกาด่วน ท่านว่าเหมืองกำลังมีปัญหา” วริศ” เลขาหนุ่มผู้เป็นถึงอดีตนาวิกโยธิน ของกองทัพสหรัฐฯรายงานเจ้านายที่ดูเหมือนจะกลับสู่โลกแห่งความเป็น จริงแล้ว

“เรื่อง?” ร่างสูงเอ่ยถามเสียงเรียบขณะกำลังก้าวขึ้นรถยุโรปคนสวยที่ จอดรอ มือหนาขยับปลดเน็คไท เกะกะออกจากคอ

“สิทธิพลเมืองน่ะครับ

*รายละเอียดละ

“ตอนนี้พวกนักสิทธิฯฝั่งใต้ยื่นเรื่องกับสภา คัดค้านเรื่องที่เหมืองเข้าถึง ข้อมูลการใช้จ่ายของประชาชนได้อย่างอิสระ เราไม่รู้ว่าสภาจะเห็นดีเห็น งามด้วยมั้ย ท่านก็เลยอยากให้คุณกลับไปก่อนครับ”

ราพณ์พยักหน้ารับรู้ เขานั่งประจำที่เบาะหลังก่อนจะหยิบแม็คบุ๊คเครื่อง บางออกมา นิ้วเรียวรัวบนแป้นคีย์บอร์ด หน้าต่างโปรแกรมมากมายถูก เปิดขึ้นมา ดวงตาคมให้ความสนใจกับบรรดาตัวเลขที่เรียงยาวเป็นพรี เต็มจอ เขาคัดลอกข้อความบางส่วน ใส่หน่วยความจําสํารอง

“ภาคอยู่ไหน” เขาถามถึงเลขาอีกคนที่ไม่ได้อยู่ด้วย “ไปทําเรื่องบินกลับอเมริกา ให้คุณอยู่ครับ”

“บอกหมอนั่น ให้ไปเฝ้าเด็กคนนั้น ส่วนนายกลับอเมริกากับฉัน

เกิดความเงียบขึ้นมาชั่วขณะ วริศที่นั่งประจำตำแหน่งคนขับไม่กล้าหัน ไปมองสีหน้าของคนที่นั่งเบาะหลัง แต่เขาก็เดาได้ว่ามันคงฉาบทาไปด้วย ความเย็นชาทว่าร้ายกาจเหมือนเดิม

ไม่สิ อาจจะร้ายกว่าเดิมด้วยซ้ำ

“คุณจะทําแบบนั้นจริงๆเหรอครับ”

“นายมีหน้าที่ทำตามคำสั่งของฉัน ฉันไม่อนุญาตให้ตั้งคำถาม” น้ำเสียง ประกาศิตดูดุดันยิ่งกว่าเก่า แม้เขาจะทำงานรับใช้เจ้านายหนุ่มคนนี้มากว่า ห้าปีแล้ว เห็นความเด็ดขาดเลือดเย็นของราพณ์มาหรือก็หลายหน แต่คงมี ครั้งนี้กระมังที่ทำให้เขารู้สึกเสียวสันหลังวาบเมื่อได้ยินเสียงเยียบเย็นของ คนเป็นนาย

“แต่ผมว่าคุณณิดง.….

“อย่ามาคิดแทน!” ร่างสูงตวาดเสียงกร้าว แววตาดุร้ายจ้องมองผ่าน กระจกมองหลัง อดีตทหารหนุ่มลอบกลืนน้ำลาย

“ขอโทษครับ แล้วผมจะบอกภาคให้ตามนี้

ดวงตาสีนิลมองภาพหญิงสาวตาบอดที่ร้องไห้คร่ำครวญเป็นครั้ง สุดท้ายก่อนที่มันจะหายไปจากสายตาเมื่อรถค่อยๆเคลื่อนตัวออกจากบริเวณวัด ใบหน้าหล่อเหลาดูไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ หากแต่สายตากลับมีร่องรอยของความแค้นประทับอยู่เต็มเปี่ยม

“แล้วฉันจะกลับมา”

“ผมคุยกับทางอัยการที่รับผิดชอบคดีแล้ว น่าจะไม่มีปัญหาอะไรครับ ตาม

กฎหมายแล้วคุณแก้วไม่ผิดนะครับ อีกทั้งคุณยังเป็นผู้พิการอีกด้วย แบบนี้ยิ่งเอาผิดไม่ได้เข้าไปอีก” เตชิตเอ่ยบอกหญิงสาวที่นั่งนิ่งคล้ายเป็น ตุ๊กตากระเบื้องไร้ชีวิต ดวงตาไร้แววของเธอทอดมองออกไปอย่างไร้จุด หมาย

“ขอบคุณจริงๆค่ะคุณตำรวจ” ร่างบางกระทุ่มมือไหว้

“ส่วนเรื่องคดีพยายามทําร้ายร่างกาย ผมต้องขอบอกก่อนว่าหลักฐาน อ่อนมากครับ เกรงว่าคดีนั้นก็อาจจะหลุดเหมือนกัน”

“แก้วเข้าใจค่ะ คุณตำรวจไม่ต้องคิดมากไปนะคะ” เธอว่าพร้อมกับ ระบายยิ้ม แม้ไม่เห็นสีหน้าลำบากใจของนายตำรวจหนุ่ม แต่หญิงสาวก็ สัมผัสได้ว่าเขาคงเจ็บใจอยู่ไม่น้อยที่ไม่สามารถลากตัวคนผิดมาลงโทษได้

รอยยิ้มนั้นทำเอาคนมองใจสั่น เพราะตาบอด แก้วกัลยาคงไม่รู้ตัวเลย กระมังว่าตัวเองเป็นผู้หญิงที่สวยมาก สวยจนทำให้คนจิตใจมั่นคงอย่าง เขากลายเป็นเพียงเด็กหนุ่มขี้ขลาดที่กำลังเขินอายเมื่ออยู่ต่อหน้าหญิงงาม เตชิต นศีรษะไล่ความคิดไร้สาระ

เธอเป็นผู้เสียหาย ท่องไว้ได้เต
“ผมจะบอกให้แผนกสืบสวนพยายามสืบพยานบุคคลนะครับ บางทีอาจ จะมีคนเร่ร่อนแถวนั้นเห็น ถ้าคุณแก้วนึกอะไรออกเพิ่ม ขอให้รีบแจ้งผมนะ ครับ ไม่ว่าจะเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม ทุกอย่างล้วนเป็นประโยชน์กับคดี หมด”

“ค่ะ ถ้าแก้วนึกออกจะรีบบอกคุณตำรวจเลยค่ะ” ถึงจะตอบไปแบบนั้น แต่แก้วกัลยาหมดหวังที่จะเอาผิดคนชั่วแล้ว ที่สำคัญเรื่องมันอาจจะสาวไป ถึงเพลิงพิศ คนที่ทิ้งเธอไว้กลางทางจนเจอกับเหตุการณ์ร้าย ซึ่งบัดนี้เจ้าตัว ยังคงหนีหายเข้ากลีบเมฆ

“เอ่อ คุณตำรวจคะ” ร่างบางเอ่ยเรียก น้ำเสียงติดจะกล้าๆกลัวๆ

“ครับ?”

“คุณมีรถส่วนตัวใช่มั้ยคะ”

“ก็…ครับ ทำไมเหรอครับ?”

“คุณพาแก้วไปที่ที่นึงได้มั้ยคะ แก้วอยากจะจ้างแท็กซี่ไป แต่กลัวว่าจะไป ไม่ถูก” รอยยิ้มเกรงอกเกรงใจกับใบหน้าแดงระเรือด้วยความขัดเขินของ เธอน่าเอ็นดูจนเขาปฏิเสธไม่ลง

“ก็ได้อยู่หรอก ผมเลิกงานพอดี ว่าแต่คุณแก้วอยากไปไหนครับ

“แก้วอยากไปเยี่ยมคุณน่ะค่ะ”

แก้วกัลยายืนอยู่หน้าเจดีย์ที่บรรจุอัฐิของคนที่เธอคร่าชีวิตไป หญิงสาว ทรุดตัวลงกับพื้น ยกมือก้มกราบสถานที่เบื้องหน้า หยาดน้ำตามากมาย เอ่อล้นดวงตาคู่สวย ความรู้สึกผิดบาปยังคงประทับแน่นในใจไม่มีวันเสื่อมคลาย

“คุณณิคะ แก้วขอโทษ” เอ่ยบอกเสียงสั่นพร่า สองมือยังคงประนมค้าง ไว้ที่พื้น ร้องขอการอภัยจากผู้ล่วงลับ

“แก้วไม่ได้ตั้งใจ ฮึก… คุณณียกโทษให้แก้วนะคะ

ภาพเบื้องหน้าช่างดูน่าสลดหดหูเหลือเกิน แม้จะไม่ได้รับโทษทาง กฎหมาย แต่จิตใจของแก้วกัลยาคงทรมานยิ่งกว่าตายทั้งเป็น เตชิตเดิน เลี่ยงออกมา เขาปล่อยให้หญิงสาวจอมจมอยู่กับความคิดของตัวเอง หาก แต่เสียงร้องไห้กับเสียงพร่ำขอโทษของเธอยังคงลอยตามลม แว่วมาให้ ได้ยินเป็นระยะ

ความรู้สึกสั่นเบาๆที่กระเป๋ากางเกงทำให้สารวัตรหนุ่มต้องล้วงมือหยิบ โทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู ดวงตาคมเบิกกว้างเมื่อเห็นว่าคนที่โทรเข้ามาเป็น ใคร เตชิตรีบเดินออกมาให้ห่างจากจุดที่แก้วกัลยาอยู่ เขาไม่อยากให้ ปลายสายได้ยินเสียงของเธอแม้สักนิด

“เออ ว่าไง?” ร่างสูงบังคับเสียงให้เป็นปกติ หากแต่ทำได้ยากยิ่งเมื่อคน ที่อยู่ในสายคือเพื่อนรักที่หายหน้าหายตาไปหลายเดือนนับตั้งแต่งานศพ ของนาฏณิชา

“แกอยู่ไหน”

ขนลุก

มันเป็นความรู้สึกขนลุกแปลกๆเมื่อได้ยินเสียงเยียบเย็นของราพณ์ มัน อธิบายไม่ถูก แต่รู้สึกคล้ายกับว่าเขากำลังถูกเจ้าตัวจ้องมองจากที่ไหนซัก

“ฉันก็… เอ่อ ฉันอยู่สน. กำลังจะกลับบ้าน” เขาโกหกคำโต มือขึ้นเหงื่อไปหมดเพราะตื่นเต้นจัด

“เหรอ”

เกิดกระแสความเงียบ…

ความกดดันทําให้สารวัตรหนุ่มอยากจะตัดสายทิ้งนัก เขาเคยอยู่ประจำ แผนกสืบสวนสอบสวน ออกปะทะกับคนร้ายหรือก็หลายครั้ง แต่ไม่มี ปฏิบัติการครั้งไหนเลยที่จะทำให้เขาตื่นเต้น หวาดกลัวและสั่นเป็นเจ้าเข้า ได้เท่ากับการคุยกับราพณ์แค่ไม่กี่ประโยค

“แกกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่” เตชิตเปลี่ยนเรื่อง ทำลายความเงียบที่ก่อตัว

“เมื่อกี้ เครื่องลงปุ๊บก็ก็โทรหาแกเลย ฉันอยากรู้เรื่องคดี

“แกต้องเข้าใจนะไอ้ยักษ์…

“ฉันไม่อยากได้ยิน!” เสียงตวาดทําเอาคนใจแข็งเผลอสะดุ้งโหยงเกือบ ปล่อยมือถือร่วงพื้น ปลายสายหายใจหอบรุนแรงคล้ายอารมณ์ที่กักเก็บไว้ ระเบิดออก

“แกบอกฉันว่าฆาตกรนั่นมันอยู่ในคุก”

“คุณแก้วเขาไม่ผิด ทุกอย่างมันเป็นอุบัติเหตุ

“แกจะบอกว่าแม่นั่นทําลูกเมียฉันตายแล้วยังลอยนวลหน้าด้านๆแบบนี้ เหรอ”

“แต่เค้าไม่ได้ตั้งใจ แกจะเอาอะไรกับเด็กตาบอดวะ” คราวนี้เป็นเตชิต บ้างที่ขึ้นเสียง ความกลัวที่มีต่อราพณ์ลดลงกว่าครึ่ง ตอนนี้เขารู้สึกอยาก จะปกป้องหญิงสาวที่ดูบอบบางไร้ทางสู้คนนั้นมากกว่า

“ฉันไม่สน!!! แกเป็นเพื่อนฉันนะไอ้เต แกทำอะไรไม่ได้เลยเหรอ ฉันทน ไม่ได้ ฉันทนเห็นคนที่ทำให้ตาย ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขไม่ได้!

ประโยคอันแข็งกร้าวของเพื่อนสนิททำให้เดซิตถอนหายใจ เขาไม่คิด

ว่าที่แก้วกัลยาเป็นอยู่ตอนนี้จะใกล้เคียงกับคำว่าความสุขเลยสักนิด

“แล้วแกรู้ได้ไงวะว่าเค้ามีความสุข บางทีเค้าอาจจะทุกข์กว่าที่แกคิด ก็ได้”

“แกเข้าข้างแม่นั่นเหรอ ทั้งๆที่มันทำให้ตาย?” ปลายสายถามเสียง โหวงเหวง กระตุกความรู้สึกผิดให้เอ่อทะลักในใจ เขาเองก็รู้จักกับนาฏ ชามานานพอๆกับที่ราพณ์รู้จัก แม้ไม่ผูกพันกันเท่าคนรักของเจ้าตัว แต่ นาฏณิชาก็คือเพื่อนคนสำคัญที่เขาไม่อยากสูญเสีย เขายอมรับว่าทีแรก เขาโกรธ โกรธคนที่พรากเพื่อนที่แสนดีอย่างนาฏณิชาไป แต่พอเห็นสภาพ อันน่าสังเวชของแก้วกัลยาแล้ว เขาโกรธไม่ลง…

แต่นั่นไม่ใช่สําหรับราพณ์

ชายผู้ซึ่งมีชีวิตเพื่อความโกรธและการแก้แค้น

“ฉันแค่พูดตามความจริง” เตชิตเอ่ยเสียงเบาหวิว “แกเลิกคิดเรื่องนี้ เถอะ ถึงจะแค้นยังไงฉันก็ทำอะไรให้แกไม่ได้

“ไอ้เต!!!”

“แกจะด่าฉันยังไงก็ช่าง แต่ฉันไม่มีวันรังแกประชาชนหรอก และตัวแกก็ เถอะ กลับไทยมาเพื่ออะไร อย่าได้ลืมจุดประสงค์ของแก
ปลายสายเงียบไปเมื่อเขาพูดถึงเรื่องราวในอดีต เสียงร้องไห้ของแก้ว กัลยก็เงียบหายไปด้วย ไม่มีแม้เสียงแว่วให้ได้ยิน สารวัตรหนุ่มคิดว่าเธอ คงร้องไห้จนพอใจแล้ว หรือไม่ก็คงร้องจนหมดแรงนั่นแหละ ร่างสูงหันกลับ มาสนใจคนที่อยู่ในสาย

“ไปแล้ว เขาไปสบายแล้ว อย่าทำให้คนตายตายไม่สงบเลยว่ะไอ้ยักษ์ ฉันขอ”

เตชิตไม่รู้ว่าเพื่อนรักจะเข้าใจที่ตนพูดหรือเปล่า เพราะในความคิดของ เขา ราพณ์คือชายที่โหดร้ายเลือดเย็นสมชื่อราชาแห่งยักษ์

ในวงการธุรกิจเขาคืออสุราร้ายที่ครอบครองอาณาจักรข้อมูล ทรัพย์สิน อันทรงพลังและมีมูลค่ามหาศาลที่สุดในยุคปัจจุบัน เหมืองข้อมูลของ ราพณ์ในอเมริกาถือเป็นบริษัทเหมืองข้อมูลที่ใหญ่ที่สุดที่รวบรวมข้อมูล ส่วนบุคคล ข้อมูลสาธารณะ เบอร์โทรศัพท์ ที่อยู่ ทะเบียนรถ ประวัติเครดิต และรายได้ ข้อมูลใบอนุญาตต่างๆ ประวัติการเดินทาง ประวัติความพึง พอใจ แม้กระทั่งบันทึกของรัฐบาลกับสถิติประชากรของชาวอเมริกันและ ประเทศอื่นกว่าร้อยสามสิบประเทศก็ล้วนอยู่ในการครอบครองของเขาทั้ง สิ้น เตชิตไม่รู้รายระเอียดเกี่ยวกับงานของราพณ์มากนัก แต่เพียงว่า ราพณ์จะขายข้อมูลที่ตนรวบรวมไว้ให้กับบริษัทอื่นๆที่ต้องการใช้ข้อมูล เหล่านี้ในการวางแผนการตลาด นั่นคืออาชีพที่สร้างกำไรมหาศาลจน ทำให้เพื่อนของเขาติดอันดับเศรษฐีในอเมริกาไปโดยปริยาย

หากแต่เตชิตคงประมาทชายผู้นั้นมากเกินไป เมื่อเขากลับมายังหน้า เจดีย์ที่ทิ้งแก้วกัลยาไว้ กลับพบเพียงความว่างเปล่า เธอหายตัวไปแล้ว เหลือเพียงดอกไม้ ที่เจ้าตัวถือมาเคารพคน คาย มันถูกขยี้ลงกับพื้นอย่างไร้ความปรานี ร่างสูงใจหายวาบ เขาเดาได้ ทันทีว่าคนที่ทำคือใคร

จะเป็นใครเสียอีก

ถ้าไม่ใช่อสุราตนนั้น!


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ