ตอนที่ 2 ไม่เชื่อ
โจวซูจีน ในวัยสิบแปดปีลมแทบจับเมื่อได้ฟังเรื่องที่เล่ามา
ถึงแม้ว่าท่านบรรพบุรุษเฉิงซวี่แห่งตระกูลเฉิงจะลาออก จากราชสำนักแล้วเนื่องด้วยอาการเจ็บป่วยเมื่อสิบปีที่ก่อน ทว่าลูกศิษย์ ผู้ติดตาม หรือสหายเก่าแก่ก็ยังมีอยู่ทั่วทุกหนแห่ง ทั้งในและนอกราชสำนัก ยังคงมีอิทธิพลหลงเหลืออยู่ นาย ท่านผู้เฒ่าใหญ่เฉิงจิงแห่งตระกูลเฉิงจวนหลักดำรงตำแหน่งจิ๋ว ชิง [1] อีกเพียงหนึ่งขั้นก็จะได้รับมอบตำแหน่งเป็นหัวหน้า ในกรมวัง เฉิงสวีจากตระกูลเฉิงจวนหลัก เฉิงสือจากตระกูล เฉิงจวนรอง เฉิงเจิ้งจากตระกูลเฉิงจวนสาม เฉิงเก้าจากตระกูล เฉิงจวน ล้วนแต่เป็นเมล็ดพันธ์แห่งผู้มีความรู้ สอบผ่านได้ เป็น ซิ่วไฉ [2] แล้ว ทั้งยังมีชื่ออยู่ในกลุ่มผู้ที่ผ่านการคัดเลือก ผู้ใดบ้างที่ไม่ใช่ผู้มีพรสวรรค์โดดเด่นในเวลานี้ จะทำเรื่องที่ ทำให้ชื่อเสียงของตระกูลเสื่อมเสียได้อย่างไร?
นางตกใจอย่างมาก ด้วยกำลังต่อต้านความรู้สึกจนไม่ได้ ปิดปากน้องสาวให้แน่น
หรือตอนหกล้มที่ข้างทะเลสาบเกิดเรื่องผิดปกติขึ้น
ไม่เช่นนั้นแล้ว น้องสาวที่เชื่อฟังและน่ารักมาตลอดนั้นจะ พูดเรื่องไม่เป็นเรื่องขึ้นมาได้อย่างไร โจวซูจินตกใจจนหัวใจเต้นตึกตัก ไม่กล้าแสดงอะไรออก มาทางสีหน้า ไม่เพียงเท่านั้น ยังต้องพูดปลอบโยนน้องสาว ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร เจ้าเพียงฝันร้าย
เท่านั้น!
โจวเสาจิ่นงงงัน
พี่สาวผู้ซึ่งเป็นที่พึ่งและใกล้ชิดนางที่สุดไม่เชื่อนาง ทั้งยัง มาบอกนางอย่างสดใสว่า นางเพียงฝันร้ายไปเท่านั้น!
ความฝันจะเสมือนจริงขนาดนี้ได้อย่างไร
โจวเสาจิ่นไม่เชื่อ
นางรีบเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับชีวิตในตอนนั้นให้พี่สาว ฟัง ทว่าพี่สาวกลับดวงตาแดงก่ำและจับมือของนางไว้ กล่าว อย่างเจ็บปวดว่า “ข้ารู้ ข้ารู้ ที่เจ้าพูดมานั้นถูกต้องทุกอย่าง เพียงแต่ว่าตอนนี้อีกแล้ว เจ้าต้องพักผ่อนแล้ว รอให้ถึงพรุ่งนี้ เช้าก่อน พี่สาวค่อยมาฟังเจ้าเล่า ดีหรือไม่”
เป็นเพียงคำพูดที่ต้องการเอาใจ ปลอบโยนและทำให้ สงบลงเท่านั้น
หัวใจของโจวเสาจีนหนักอึ้ง
นางไม่รู้จะรับมือกับพี่สาวแบบนี้อย่างไร จึงเลี่ยงมองไป
ทางหน้าต่าง
เวลานี้เป็นช่วงพลบค่ำพอดี แสงยามโพล้เพล้ข้อมชาน เรือนจนกลายเป็นสีเหลืองส้มอบอุ่น บ่าวเด็กในจวนหลายคน กำลังเล่นเตะลูกขนไก่ เสียงหัวเราะของพวกนางเสมือนกับ เสียงระฆังเงินที่ดังก้องกังวานอย่างมีชีวิตชีวาอยู่ในลาน ป้าที่ เป็นบ่าวในครัวนั้นยิ้มกว้างขณะกำลังยกสำรับข้าวข้ามมาจาก ตรงกลางลาน บ่าวเด็กๆ เหล่านั้นเกือบจะชนนางเข้า ป้าเจ้าที่ เป็นบ่าวทำความสะอาดเรือนนั้น ไม่รู้ว่าพุ่งออกมาจากที่ใด ทั้ง ดึงแขนเสื้อทั้งเอ็ดเสียงดังใส่บ่าวเด็กเหล่านั้น บ่าวเด็กเหล่านั้น หวาดกลัวได้แต่ก้มหัวโค้งตัวลง รีบกล่าวขอความเมตตาไม่ หยุด ถ้าผู้ใจดี ยืนขวางอยู่ที่ด้านหน้าของเด็กๆ ออกหน้าพูด แทนให้
ต้นองุ่นกำลังผลิใบอ่อน ดอกกุหลาบเลื้อยตรงมุมกำแพง กำลังเบ่งบานราวกับเพลิงราวกับดอกอย่างมีชีวิตชีวา ดอกอหลานดอกใหญ่ขาวเนียนราวหยก ห้อยกระจัดกระจายบนต้นอวหลานต้นสูง
หากว่านี่คือดินแดนแห่งความฝัน แล้วตนเองเล่าจะนับ เป็นตัวอะไร
ในใจของโจวเสาจีนเย็นยะเยือก หรือจะเป็นตนเองที่เข้าใจผิด
ขณะที่มองไปยังพี่สาวที่ถึงแม้จะดูเป็นกังวล แต่ก็ยังเป็น คนที่รอบคอบรัดกุมเฉกเช่นเมื่อก่อน ทันใดนั้นโจวเสาจีนไม่ อาจมั่นใจได้ว่า แท้จริงแล้วตนเองเพียงแค่ฝันร้ายไปอย่างที่พี่ สาวพูด หรือจะเป็นอย่างที่ตนเองคิดว่าเป็นการกลับมามีชีวิต ใหม่อีกครั้ง
โจวซูจีนช่วยจัดหมอนให้น้องสาวด้วยตัวเอง ประคองโจว เสาจีนให้นอนลง กล่าวขึ้นว่า “เด็กดี พี่สาวจะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อน เจ้า เจ้าหลับตาลงแล้วนอนสักตื่น ตื่นขึ้นมาอะไรๆ ก็จะดีขึ้น คำพูดของพี่สาวอาจจะถูกต้องแล้วก็ได้ นางปลอบใจตัวเอง หลับตาลง
สุดท้ายแล้ว ก็ยังไม่เชื่อนาง อารมณ์ของโจวเสาจีนสับสนว้าวุ่น
กลางดึก นางถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยฝันร้าย
พี่สาวที่นอนหลับอยู่ข้างกายนางคลานขึ้นมาในทันที กอด นางเอาไว้ในอ้อมกอดแน่น ตบหลังนางเบาๆ กล่าวเสียงอ่อน โยนว่า “เด็กดี ไม่เป็นไรแล้ว ไม่เป็นไรแล้ว พี่สาวอยู่ข้างๆ เจ้า!”
ร่างกายของโจวเสาจิ๋นเต็มไปด้วยเหงื่อ อยากจะพูดอะไร กับพี่สาวสักหน่อย พอเหลือบตาขึ้น กลับพบว่าในดวงตาของ พี่สาวนั้นมีความกลัวพาดผ่านอยู่เล็กน้อย
อย่างไรแล้วพี่สาวก็เป็นเพียงเด็กสาวอายุสิบแปดปีผู้หนึ่ง นางเพียงผู้เดียวกลับต้องพาน้องสาวที่ยังเด็กนักไปอาศัยอยู่ที่ จวนของผู้อื่น ก็ย่อมต้องมีช่วงเวลาที่ตื่นตระหนก เป็นกังวล และตกใจกลัว!
โจวเสาจีนนิ่งงัน เป็นครั้งแรกที่ตระหนักได้ว่า พี่สาวใน สายตาของตัวเองผู้ซึ่งเข้มแข็งและทำได้ทุกอย่างนั้น อย่างไร แล้วก็เป็นเพียงเด็กสาวธรรมดาผู้หนึ่ง แล้วก็มีช่วงเวลาที่ จําเป็นต้องมีคนมาปกป้องและให้พึ่งพิง
มุมปากของนางสั่นเทา สุดท้ายก็เม้มปากแน่น และไม่พูด อะไร
ตอนเช้าของวันถัดมา โจวซูจีนปล่อยให้โจวเสาจีนอยู่ภายในห้อง ส่วนตนเองนั้นไปที่เรือนของท่านยาย หยินผู้เฒ่ากวน
ไม่นานนัก ข่าวอาการป่วยของโจวเสาจีนก็มาถึงบนเรือน โจวเหนียงจื่อผู้ซึ่งให้การรักษาบรรดาผู้หญิงในตระกูลเฉิงก็ถูก เชิญมาที่จวน เรือนสวนดอกไม้หอมจึงเริ่มตลบอบอวลไปด้วย กลิ่นสมุนไพร ภรรยาของหม่าฟูซานผู้ซึ่งมีหน้าที่ดูแลเรื่อง ต่างๆ ภายในจวนของตระกูลโจวก็รุดหน้ามาเข้าเยี่ยมเช่น เดียวกัน หลังจากที่ได้กระซิบคุยกับโจวซูจีนแล้ว นางก็เดิน ทางอย่างเงียบเชียบเพื่อไปจุดธูปขอพรตามวัดที่อยู่ใจกลาง เมืองจินหลิง ทั้งวัดพุทธและเต๋า ไม่เพียงไปขอน้ำมนต์ ศักดิ์สิทธิ์เพื่อนำมาให้โจวเสาจีน ยังมีกำยานและยันต์กระดาษ มาด้วย
โจวซูจีนให้ภรรยาของหม่าฟูซานค้างคืนที่เรือน กลางดึก พวกนางลุกขึ้นมาเผายันต์กระดาษ
โจวเสาจีนที่ถูกปลุกให้ตื่นด้วยฝันร้ายยืนอยู่ที่ริมหน้าต่าง มองไปที่เปลวไฟตั้งแต่ที่ไฟกำลังลุกโชนจนกระทั่งมันมอดดับ เงียบไปอย่างสงบนิ่ง จากนั้นหมุนตัวกลับขึ้นเตียงแล้วหลับตาลง
เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน?
ทำไมต้องโต้เถียงกับพี่สาวเพราะเรื่องนี้ แล้วทำให้นาง ต้องหวาดกลัวและเป็นกังวล ทำลายความความสัมพันธ์ ระหว่างพี่น้อง
ทว่าทุกครั้งที่ถูกทำให้กลัวเพราะฝันร้ายยามดึกสงัดนั้น นางก็อดไม่ได้ที่จะคิดว่า หากว่าเรื่องราวที่นางประสบมานั้น เป็นเรื่องจริง ตระกูลเฉิงก็อาจจะโดนตรวจสอบ ยึดทรัพย์ และ ถูกลงโทษ ท่านยาย ท่านลุง พี่ชาย หรือแม้แต่บ่าวรับใช้หญิง ชายเหล่านั้นที่เคยให้การรับใช้นาง ทุกคนที่นางรู้จักในตระกูล เฉิง อาจต้องตายทั้งหมด
เช่นนี้แล้วก็ยังจะให้นางแกล้งทำเป็นไม่รู้อะไรเลยอย่างนั้น
หรือ
ความเมตตาของท่านยาย ความรักระหว่างสายเลือดของ พี่สาว ความเอื้ออารีย์ของท่านลุงใหญ่ ทั้งยังท่านป่าใหญ่ พี่ ชายเก้า พี่ชายที่ล้วนดีต่อนาง นางก็จะปล่อยไป ไม่สนใจ อะไรทั้งสิ้นอย่างนั้นหรือ
โจวเสาจีนคิดๆ แล้วก็รู้สึกตื่นตระหนกและหวาดกลัวเป็น อย่างมาก ผวาครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่อาจข่มตาให้หลับลงอีกครั้ง ได้อีก
นางตัดสินใจจะพิสูจน์ความจริงให้กระจ่าง จะหาโอกาส แอบพี่สาวตรวจสอบทุกรายละเอียดของเรื่องนี้
เพียงคิดไม่ถึงว่าการเงียบขรึมของตนเองนั้นไม่อาจทำให้ พี่สาวเบาใจลงได้ เพื่อนางแล้วพี่สาวยังแอบท่านยายไปที่วัด ด้วยตัวเองเพื่อไหว้พระสวดมนต์ขอพรให้นาง หลังจากที่นาง ผ่านความรู้สึกซาบซึ้งใจและเสียใจไปแล้ว ที่ท่วมท้นมากกว่า นั้นกลับเป็นความปิติยินดี
ยังดีที่นางไม่ได้กล่าวยืนกรานต่อหน้าพี่สาวเรื่องการกลับ มามีชีวิตใหม่อีกครั้ง เช่นนั้นแล้วไม่รู้ว่า พี่สาวที่เข้าใจไปแล้ว ว่านางถูกผีร้ายเข้าสิ่งนั้น จะเจ็บปวดใจ เสียใจ เศร้าโศกและ สิ้นหวังเพียงใด
นางอดไม่ได้ถอนหายใจออกมาที่หนึ่ง ทันใดก็คิดแผนได้ แผนหนึ่ง
ในเมื่อนางไม่อยากให้เกิดการโต้แย้งกับพี่สาว และยัง กลัวว่าจะเสียโอกาสที่จะช่วยเหลือตระกูลเฉิง ทำไมไม่แอบ พิสูจน์ให้กระจ่างอยู่เงียบๆ ว่าแท้จริงแล้วตนเองนั้นเพียงฝัน ร้ายไปหรือว่ากลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง
หากว่าสิ่งที่นางรู้มาทั้งหมดนั้นล้วนเกิดขึ้นตามนั้นจริง ก็พิสูจน์ได้ว่านางกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง ใน ทางตรงกันข้าม หากว่าสิ่งที่นางรู้มาทั้งหมดนั้นล้วนไม่เกิดขึ้น ก็เป็นการพิสูจน์ได้แล้วว่านางเพียงฝันร้ายไปเท่านั้นไม่ใช่หรือ
ทันใดนั้นดวงตาของโจวเสาจีนก็สว่างวาบขึ้น
นางในขณะนี้อายุสิบสองปี แล้วนางตอนอายุสิบสองปีนั้น มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้างนะ?
โจวเสาจีนจมดิ่งเข้าสู่ห้วงความคิด
ระดับ ส่วนชื่อ [3] เป็นลำดับที่หก ได้รับคุณวุฒิ ยิ่ง
ช่วงเวลาของเดือนหกนั้น เหมือนกับว่าเพิ่งผ่านการสอบ เชิงเดือนแปด ท่านพ่อได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองของ เป่าติ้ง ถึงแม้จะอยู่ชั้นสี่ ดำรงตำแหน่งเจ้าเมือง ทว่าเมืองเป่า ติ้งนั้นเป็นส่วนหนึ่งของราชสำนักทางเหนือ เป็นทางผ่านเส้น เดียวจากเมืองหลวงมาทางตอนใต้ หากไม่มีข้อผิดพลาดใด เกิดขึ้น ย่อมจะได้รับการเลื่อนขั้นในไม่ช้า ท่านลุงใหญ่เหมียน และท่านยายล้วนดีใจเป็นอย่างมาก…ต่อมาเป็นงานวันเกิด ครบรอบห้าสิบหกปีของท่านยาย มารดาของเฉิงมาคำนับ แสดงความยินดี ขณะอยู่ต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าของตระกูลเฉิง หลายคนนั้น ก็จับมือของนางไว้แล้วกล่าวชมว่านางเป็นคน อ่อนน้อมถ่อมตนและสุภาพเรียบร้อย เป็นเด็กสาวที่ประพฤติตนดียิ่ง เฉิงเจีย ยังล้อเลียนตัวเองว่า ตนเองนั้นอายุน้อยกว่านาง ทว่ากลับ ใจร้อนกว่านาง ตั้งแต่ยังเล็กๆ ก็คิดถึงเรื่องแต่งงานแล้ว
คิดมาถึงเฉิงเจียแล้ว ใบหน้าหนึ่งก็วามผ่านเข้ามาในหัว ของนาง โจวเสาจีนตกใจลุกขึ้นมานั่งในทันที
นางหลงลืมคนคนนี้ และเรื่องนี้ไปได้อย่างไร
วันที่สิบสองเดือน ปีนี้ เป็นวันครบรอบวันมหาวันเกิดปีที่ แปดสิบของท่านบรรพบุรุษเฉิงซวี่แห่งตระกูลเฉิงจวนรอง ตระ กูลเฉิงถือโอกาสนี้จัดงานอย่างยิ่งใหญ่ ไม่เพียงเชิญญาติและ มิตรสหายของตระกูลเฉิงเท่านั้น ยังเชิญสานุศิษย์ ผู้นับถือ ต่างๆ อีกด้วย แม้แต่ผู้นำขุนนางที่อยู่ในราชสำนักที่เมืองหลวง สำนักศึกษาเหวินยวนเตี้ยน ราชเลขากรมขุนนางหยวนเหวย ชางยังมอบหมายให้บุตรชายคนโตส่งของขวัญมามอบให้ด้วย
ครั้งแรกที่เป่าจางปรากฏตัวที่จวนตระกูลเฉิง ก็คือคืน ก่อนวันเกิดของท่านบรรพบุรุษ
โจวเสาจิ๋นสีหน้าเคร่งเครียด บีบมือเข้าด้วยกันแน่นอย่าง อดไม่ได้
อู๋ซิ่ว บิดาของเป่าจาง เข้าดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองจีน หลิง เมื่อเดือนเก้า ปีที่สิบเจ็ด ในรัชสกซื้อเต๋อ จินหลิงนั้นได้ รับการขนานนามว่าว่าเป็น เจียงหนานดินแดนแห่งความ งดงาม จินหลังทวีปแห่งทวยเทพ มีตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ที่ สำคัญอย่างมาก ซิ่วมีพื้นเพมาจากครอบครัวธรรมดา นอกจากพี่ชายของภรรยาที่รับราชการตำแหน่งเอ่ยชื่อจง [4] สังกัดกรมโยธาธิการแล้ว ในราชสำนักล้วนไม่มีผู้มีอำนาจ หนุนหลัง ทว่านับเป็นความโชคดีทำให้ได้รับตำแหน่งเจ้าเมือง แห่งจินหลิงโดยบังเอิญ การดำรงตำแหน่งเป็นผู้ปกครองแห่งจิ นหลังนั้น เหนือหัวเขามีผู้ปกครองที่สืบทอดอำนาจต่อกันมา อย่างไม่เสื่อมคลาย เบื้องล่างเขาก็มีตระกูลขุนนางหรือมหา บัณฑิต ทั้งยังตระกูลผู้มีชื่อเสียงต่างๆ ไหนจะประสบการณ์ไม่ ค่อยดีที่ผ่านมาล้วนไม่ง่ายนัก นึกไปถึงผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา ของเขา ในตำแหน่งเจ้าเมือง นายอำเภอแห่งเจียงหนึ่ง หลิวห มิงจ
ไม่ว่าใครเขาก็ไม่กล้าขัดใจ ไม่ว่าผู้ใดเขาก็ไม่กล้าปฏิเสธ สถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวยช่างยากลำบากนัก
เพื่อคงตำแหน่งเจ้าเมืองไว้ หลังผ่านพ้นวันตรุษจีนแล้ว สองสามีภรรยาตระกูลเริ่มเข้าออกจวนตระกูลใหญ่ต่างๆ ของ จินหลิงบ่อยครั้งขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นแล้ว มารดาเลี้ยงของเป่า จางซึ่งเป็นหญิงจากตระกูลกวน ด้วยอยากเข้าถึงตระกูลเฉิง หลังจากที่ถามไถ่จนทราบว่าฮูหยินผู้เฒ่ากวนแซ่เดียวกับนาง แล้ว ก็สร้างทางเชื่อมให้ตัวเองโดยการเรียกฮูหยินผู้เฒ่ากวน ว่า “ท่านป้า” แล้วก็เริ่มไปมาหาสู่กับจวนตระกูลเฉิงสาย
ตอนที่ฮูหยินพาเป่าจางมาเป็นแขกที่จวนนั้น ท่านยาย ยังให้นางและพี่สาวออกมาต้อนรับแขก
คำนวณเวลาแล้ว น่าจะเป็นช่วงเวลานี้
โจวเสาจิ๋นกัดริมฝีปาก ตะโกนเสียงสูง “ชื่อเสียง เมื่อคืนเป็นอีกครึ่งค่อนคืนที่ไม่ได้นอน ชื่อเสียงที่พิงหลับ อยู่ที่เสาประตูห้องโถงนั้น พอได้ยินเสียงร้องเรียกก็รีบวิ่งเข้า มาในทันที
“คุณหนูรอง ท่านตื่นแล้ว!” นางดึงผ้าม่านเตียงขึ้นอย่าง อ่อนโยนพลางกล่าว “ข้าช่วยท่านล้างหน้าแต่งตัวนะเจ้าคะ? วันนี้ในครัวทำปุ๋ยจึงเกา [5] กับสื่อจีนโต้วเลา [6] ที่ท่าน ชอบที่สุดด้วยเจ้าค่ะ ข้าให้พวกบ่าวนำอาหารเช้าขึ้นโต๊ะเลยนะเจ้า คะ?”
โจวเสาจีนทำหูทวนลม กล่าวขึ้น “วันนี้เป็นวันที่เท่าใด ชื่อเสียงงุนงงเล็กน้อย รีบกล่าว “วันนี้เป็นวันที่ยี่สิบสี่เดือน สามเจ้าค่ะ”
กล่าวได้ว่า ห่างจากวันเกิดของท่านบรรพบุรุษอีกยี่สิบวัน ทว่าวันที่เป่าจางมาเป็นแขกของจวนวันที่เท่าไหร่นั้น โจ วเสาจีนกลับจำไม่ได้เลยสักนิด
นางจำได้เพียงว่าเป่าจางนั้นมีรูปร่างสูงปานกลาง ใบหน้ากลม ผิวขาวเนียนละเอียด ดวงตาโต คิ้วโก่ง ตรง หว่างคิ้วมีปานแดงขนาดใหญ่เท่าเมล็ดข้าว ยามหัวเราะมี ความสงวนท่าที่ค่อนข้างมาก ทว่ายามที่มองผู้คนนั้นสายตา กลับหรี่ลงเล็กน้อย ทำให้แค่มองก็รู้สึกได้ว่านางไม่ใช่คน ประเภทที่รู้จักแต่เชื่อฟังคำสั่งแต่เป็นคนไม่รู้จักปรับตัวและ ยืดหยุ่น
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่โจวเสาจีนได้พบเจอคนที่มีปานแดง อยู่ตรงระหว่างคิ้ว ให้ความรู้สึกประหลาดใจยิ่ง ยามที่ผู้ใหญ่ พูดคุยกันนั้น นางเบิกตาโต พินิจไปทางเป่าจางอยู่เนืองๆ
เป็นไปได้ว่าเพราะรู้สึกได้ถึงสายตาของนาง เป่าจางจึง หันหน้ามาทางนางและยิ้มบางๆ ให้ พูดกับนางด้วยน้ำเสียง อบอุ่น กระทั่งถึงเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่าง ยังส่งบ๊ะจ่างที่ห่อด้วย ตัวเองมาให้ ปักถุงหอม [7] ให้นางกับพี่สาวเป็นของขวัญ ด้วย
ในไม่ช้า พวกนางก็เริ่มไปมาหาสู่กัน
นางรู้สึกว่าอู๋เป่าจางเป็นคนที่ไม่เลวทีเดียว จึงแนะนำ เป่าจางให้รู้จักกับเฉิงเจีย
หลังจากนั้นเป่าจางก็เริ่มเข้าออกจวนสาม และยิ่งได้รับ ความโปรดปรานจากท่านย่าใหญ่เจ๋งของจวนสอง มีชื่อเสียง ว่าเป็นหญิงสาวที่เพียบพร้อมด้วยความสามารถและคุณธรรม มีที่ยืนที่มั่นคงท่ามกลางหญิงสาวในวงสังคม
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ