บทที่ 2 เรื่องราวของนางเงือก
บทที่ 2 เรื่องราวของนางเงือก
“ผู้หญิงชั่วปล่อยข้านะ! เจ็บนะ ช่วยด้วยช่วยข้าด้วย! ภรรยาชั่วฆ่าคนแล้ว! ”
เมื่อเห็นว่าเสียงของจูนเจ๋วดังขึ้นเรื่อยๆ นั่งเย่ขยับมุม ปาก แล้วปิดปากเขา
และพูดว่า “หุบปาก ถ้าเสียงดังอีกข้าจะลากเจ้าไปให้ อาหารสุนัข”
“วู้ว! บ้านข้าไม่มีสุนัข! ” จูนเจ๋วโต้กลับ
วั่งเย่รู้สึกปวดหัว นางอยากบีบคอเจ้าหมอนี่จนแหลกไป
ซะเลย
นั่งเก๋เพิ่มแรงในมือเข้าไปอีก ทันใดนั้นจูนเจ๋วเจ็บจน ร้องไห้ แต่ปากของเขาก็ถูกปิดเอาไว้ นอกจากเสียงร้อง แล้วเขาแทบจะไม่สามารถพูดได้เลย
“พูด! ทำไมไม่นอนดีๆ”
“ฮือ…..เพราะหลิงเอ๋อบอกข้าว่าหากข้าแต่งงานกับ ภรรยาแล้ว ข้าจะสามารถนอนกอดภรรยาได้” จูนเจ๋วพูดด้วยเสียงร้องไห้ และน้ำเสียงที่น้อยใจ
“ข้านอนหลับไม่ชอบให้ใครมาสัมผัส อยู่ทางโน้นแต่โดย ดี ห้ามขยับห้ามพูดและห้ามแตะต้องข้า ”
“แต่ปกติแล้วมีแต่ข้าที่นอนในห้องนี้ และตอนนี้ก็มีเจ้า เพิ่มขึ้นมาอีกคน ไม่กอดเจ้านอนข้ากลัว” จูนเจ๋วพูดด้วย น้ำเสียงที่น้อยใจ
วิ่งเก๋ได้ยินเช่นนั้นก็ทำตาเล็กที่อันตรายออกมา ภาย ใต้แสงสว่างของพระจันทร์ ม่านตาของนางได้ส่องแสงที่ กังวลออกมา จูนเจ๋วเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาใน ใจ แล้วหดคอไม่กล้าขยับ
เช้าวันรุ่งขึ้นของวันที่สอง เสียงประตูด้านนอกห้องได้ดัง ขึ้น นั่งเย่ลืมหา แล้วลุกขึ้นเปิดประตูห้อง
“ท่านอ๋องพระชายา พวกข้ามารับใช้ทำความสะอาด แล้ว” คนรับใช้กล่าว
วิ่งเก๋มองพวกนางแว๊บเดียว แล้วรับที่ล้างหน้ามาจากนั้น ก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ข้าทำเอง พวกเจ้าดูแลคน ข้างในเถอะ”
คนรับใช้เมื่อเห็นเช่นนั้นก็พยักหน้า แล้วค่อยๆเดินเข้าไป ในห้อง เมื่อพวกนางเห็นสถานการณ์ในห้องทําให้พวกนางตกใจกันเป็นอย่างมาก
“ท่านอ๋อง! ท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหม! ใครเป็นคนมัด ท่าน? ”
ในตอนนี้จูนเจ๋วถูกมัดทั้งตัวแล้วถูกโยนไว้บนเตียง ข้อ มือและแขนถูกมัดจนมีรอยช้ำ น้ำตายังคงไหลอยู่บน ใบหน้า สภาพดูแล้วน่าสงสารมาก เมื่อเห็นคนรับใช้เดิน เข้ามา
จูนเจ๋วก็ตะโกนว่า “ภรรยาชั่วคนนั้น! เขามัดข้าแล้วไม่ ยอมให้ข้าพูด! ทำข้าเจ็บไปหมด”
พวกคนรับใช้เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจ ได้ยินว่าหรงวิ่งเก๋ นิสัยอ่อนโยน รังแกง่ายไม่ใช่เหรอ? แม้ว่านางจะไม่ชอบ ท่านอ๋อง แต่ก็ไม่น่าจะมีความกล้าพอ ที่จะทำอะไรที่ไร้ มารยาทเช่นนี้ได้
วิ่งเย่นั่งอยู่ห้องโถงหลักนางได้ยินเสียงที่ตะโกนอยู่ข้าง ในได้อย่างชัดเจน แต่นางก็ไม่สนใจ สามีคนนี้แค่เป็นสามี ในนามของนางเท่านั้น พฤติกรรมของเขานั้นนางไม่สนใจ เลย ถ้าอยู่ดีๆแล้วไม่เข้ายุ่ง นางจะไม่สนใจการมีตัวตน อยู่ของเขาเลย แต่ถ้าชายคนนั้นมีพฤติกรรมแปลกๆ ก็ อย่ามาโทษความไร้ปรานีของนางเลย
จูนเจ๋วอยู่ในห้องร้องไห้ไปบ่นไป ปกติเขาก็หน้าตาดีอยู่แล้ว คนรับใช้ในตำหนักรับใช้เขามาตั้งแต่เด็ก ดังนั้น พวกนางเลยภักดีต่อเขามาก ตอนที่เห็นเขาถูกกลั่นแกล้ง สาวรับใช้ทุกข์ใจเป็นอย่างมาก หนึ่งในสาวรับใช้ทนเห็น แบบนี้ไม่ได้ เลยรีบเดินไปตรงหน้ารั่งเย่ที่อยู่ห้องโถงหลัก
“พระชายา! ในเมื่อท่านได้สมรสกับอ๋องโยวของพวก ข้า ท่านก็เป็นภรรยาของท่านอ๋อง แม้ว่าในใจของท่าน จะมีผู้อื่นแล้ว ท่านก็ควรที่จะเคารพผู้ที่เป็นสามีของท่าน ท่านอ๋องของพวกข้ามีน้ำใจ ไม่สนใจเรื่องราวที่ผ่านมา ของท่านกับอ๋องหลิง และก็ไม่ได้หวังให้ท่านเป็นภรรยา อ่อนน้อมถ่อมตน แต่แค่หวังให้ท่านปฏิบัติตัวดีๆต่อท่าน อ๋อง อย่างน้อยท่านก็ไม่ควรที่จะทำเรื่องที่ไร้มารยาทเช่น นี้! ”
สาวรับใช้อึบเดียวพูดมาไม่น้อย สาวรับใช้อีกคนที่อยู่ ข้างๆถึงจะไม่ได้เข้ามาช่วยแต่สายตาของนางก็บอกว่า เห็นด้วย นั่งเย่เหลือบมองพวกนาง ด้วยใบหน้าที่นิ่งเฉย แล้วพูดด้วยเสียงเบาๆว่า “พูดจบแล้ว”
คนรับใช้ตกใจ รีบพยักหน้า
วิ่งเก๋เงยหน้าขึ้นมองดูพวกนาง “เจ้าเป็นพระชายาหรือ ข้าเป็นพระชายากัน? ”
“เออ…… สาวรับใช้หยุดชะงัก นางเป็นแค่สาวรับใช้ความจริงแล้วคำพูดพวกนี้นางไม่ควรพูดออกมาเลย แต่ จะปล่อยให้ท่านอ๋องถูกกลั่นแกล้งอยู่อย่างนี้ก็ไม่ได้
“ตอนนี้ข้าได้แต่งงานแล้วเข้ามาอยู่ในตำหนักอ๋องโยว ข้าก็เป็นนายของพวกเจ้า คนรับใช้กล่าวหานายเป็นกฎ ของตำหนักอ๋องโยวของพวกเจ้างั้นหรือ” วิ่งเก๋พูดด้วยน้ำ เสียงที่เฉยชา ดวงตาที่มืดมิดมองไม่เห็นอารมณ์ใดๆ เมื่อ สาวรับใช้เห็นเช่นนั้นก็เหงื่อแตกไปทั้งตัว นางนั้นราวกับมี พลังจิตที่รุนแรง จนทำให้พวกนางไม่กล้ามอง
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครพูด นั่งเย่ก็ไม่มีความหมายที่จะอยู่ ต่อ ถึงแม้ว่านางอยากที่จะใช้ชีวิตที่สงบสุข แต่ตัวตนของ ร่างกายนี้มันช่างยุ่งยากจริงๆ คนตระกูลหรงก็ไม่ชอบ นางอย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้ว่านางจะแต่งงานแล้ว แต่ใน อนาคตข้างหน้าก็อาจมีปัญหาเข้ามาอย่างแน่นอน และ อ๋องหลิงกลับคนมีอำนาจพวกนั้นอีก พวกเขาเกรงกลัว ตำหนักอ๋องโยว พวกเขาต้องเคลื่อนไหวตอนจูนเจ๋วกำลัง โง่อยู่แน่ๆ และตอนนี้นางกับจูนเจ๋วก็เป็นตั๊กแตนในเส้น ด้ายเดียวกัน มีหลายเรื่องต้องวางแผนไว้ล่วงหน้า
แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือร่างกายของนาง หรงวิ่งเย่อยู่ในตำหนักก็ไม่มีใครรักใคร่ ร่างกายก็ผอม กว่าคนปกติทั่วไป ทั้งๆที่อายุสิบห้า แต่กลับคล้ายเด็กอายุ สิบสามสิบสี่ปี เดินสองสามก้าวก็เหนื่อย แรงของนางนั้น ก็น้อยจนทำให้คนโกรธชี้ขึ้นหน้าหากตอนนี้นางกำลังตก อยู่ในอันตราย แค่พลังที่จะปกป้องตัวเองก็ไม่มีเลย
ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือการฝึกฝนร่างกาย และเพลงยุทธ
วั่งเย่เดินวนรอบๆตำหนักอ๋องโยว สถานที่แห่งนี้ใหญ่ และดูหรูหรากว่าที่นางคิด เลยหาคนรับใช้ทำท่อนไม้ให้ วั่งเย่วิ่งลั่นรอบตำหนัก การฝึกเพลงยุทธวางไว้ก่อน แต่ การฝึกฝนประสิทธิภาพของร่างกายนั้นน้อยไม่ได้
วั่งเย่วิ่งอยู่รอบตำหนักแบบนี้อยู่สองชั่วโมง เมื่อนางหยุด ลงก็เที่ยงแล้ว และช่วงนี้ก็เป็นฤดูร้อนด้วย อากาศที่ร้อน ระอุส่องลงมาที่วิ่งเก๋ นางรู้สึกเวียนหัวและคลื่นไส้ ทำให้ หน้าของนางขาวซีดเหมือนกับกระดาษ
“คนรับใช้ เอาน้ำให้ข้าหนึ่งแก้ว” วิ่งเก๋เรียกด้วยเสียงเย็น
ชา
คนรับใช้ที่อยู่ข้างๆเมื่อเห็นเช่นนั้นตกใจเป็นอย่างมาก รีบวิ่งไปยกน้ำชามาให้นั่งเก๋ “พระชายาพักหน่อยเถิด ท่านวิ่งมาสองชั่วโมงแล้ว ร่างกายของท่านจะทนรับไว้ได้ อย่างไร”
เมื่อพูดจบ คนรับใช้ก็ไปยกเก้าอี้มา วิ่งเก๋มองนาง แล้ว ดื่มชาไปหนึ่งคำ เขาก็ขมวดคิ้วทันที
น้ำมีรสชาติเค็มจนขมคอ เมื่อริมเข้าปากยังมีรสเผ็ด ตอนนี้นางเหนื่อยมาก และอากาศก็ร้อนระอุ ดื่มชาแก้วนี้ ไปได้อ้วกนานแน่ วิ่งเก๋จ้องมองไปที่สาวรับใช้ เห็นนาง ม อย่างชอบใจ ไม่เพียงแต่นางเท่านั้น สาวรับใช้ไม่น้อยห ลบอยู่ในมุมแล้วเฝ้าดูนางอย่างระมัดระวัง
วั่งเย่ขยับมุมปากขึ้น แล้วจากนั้นก็ดื่มชาในถ้วยจนหมด แล้วมองไปที่เก้าอี้ไม้ที่อยู่ตรงหน้า นางยกเท้าขึ้นมาแตะ เก้าอี้เบาๆ ทันใดนั้นเก้าอี้ไม้ได้กระจายเป็นเสี่ยงๆ สาวรับ ใช้เมื่อเห็นเช่นนั้นก็ตกใจ ได้แต่ก้มหน้าแล้วไม่พูดอะไร
วั่งเย่ไม่ได้สนใจอะไร แค่เงยหน้าขึ้นมองดูจูนเจ๋วที่กำลัง รับลมเย็นอยู่ ทันใดนั้นดวงตาของนางก็ได้ปรากฏรอยยิ้ม ที่มีอะไรซ่อนอยู่ข้างใน
“จูนเจ๋ว มานี้” นั่งเย่โบกมือไปมา จูนเจ๋วเห็นแล้วก็ตกใจ และก็เดินมาแต่โดยดี
“อะไร!
“ข้าเล่าเรื่องให้ฟังเอาไหม” วิ่งเก๋พูดด้วยน้ำเสียงอ่อน
โยน
“อืม เรื่องราวพวกนั้นข้าฟังมาหมดแล้ว มันไม่มีอะไร ใหม่ๆเลย” จูนเจ๋ายกคางขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ
วิ่งเย่เมื่อเห็นเช่นนั้นก็ยิ่งได้ใจ แล้วคล้องไหล่ของเขา เบาๆ พูดว่า “วางใจได้เลย” เรื่องราวนี้เจ้าไม่เคยฟังมา ก่อนแน่
“จริงเหรอ? เจ้าเล่ามาสิ”
เมื่อเห็นจูนเจ๋วตื่นเต้น คนรับใช้ที่อยู่รอบๆก็มุมกันเข้ามา ดู นั่งเย่ยิ้มแล้วยิ้ม แล้วพูดอย่างช้าๆว่า “ข้าจะเล่าเรื่องราว ของนางเงือกให้เจ้าฟัง เมื่อนานมาแล้ว……..
ผ่านไปสิบนาที
“อือๆ นางเงือกน้อยที่น่าสงสาร ชายคนนั้นทำกับนาง อย่างนี้ได้ยังไงกัน น่าสงสารจริงๆ”
เรื่องเล่าของวังเย่เล่าได้ซาบซึ้งมาก ทั้งโรแมนติคและ มหัศจรรย์ จูนเจ๋วไม่เคยได้ยินเรื่องราวเหล่านี้มาก่อน เลยทำให้ซาบซึ้งมาก จนในตอนนี้น้ำตาก็ยังไหลจนไม่ หยุด
วั่งเย่เมื่อเห็นเช่นนั้นก็ปลอบใจเขา ด้วยวิธีการตบไหล่ เบาๆ แล้วพูดว่า “อย่าเสียใจไปเลย นางเงือกน้อยไม่ ได้ตาย นางถูกข้าช่วยไว้ เมื่อวานพวกข้าแต่งงานกันใช่ ไหม? นางเงือกน้อยรู้เรื่องปั๊บก็รีบมาร่วมงานแต่งงาน ของพวกข้าทันทีเลย แต่ว่านางนั้นต้องใช้ชีวิตอยู่ในน้ำ ดังนั้นข้าเลยนำนางมาไว้ในบ่อบัวในตำหนักของพวกข้า”
จูนเจ๋วได้ยินเช่นนั้นก็ตื่นเต้นจนตาโต ส่วนใบหน้าของ เขาก็ตื่นเต้นมากเช่นกัน
“จริงเหรอ? ว่านางเงือกอยู่ในตำหนักของพวกข้า? ”
“แน่นอน ตอนนี้นางกำลังแหวกว่ายอยู่ในบ่อน้ำ แต่นาง ขี้อายไปหน่อย ปกติแล้วนางจะซ่อนตัวตลอด ดังนั้นคน รอบข้างเลยมองไม่เห็นนาง
เมื่อคนรับใช้ที่อยู่ข้างๆได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจ เมื่อวาน พวกเขามัวแต่ยุ่งกับงานในตำหนักแต่ก็ไม่เห็นมีนางเงือก เลย? แขกที่มาเมื่อวานก็กลับไปหมดแล้วใช้ไหม?
“งั้นเจ้าเรียกนางเงือกออกมาหน่อยได้ไหม ข้ามีของ ขวัญมากมายที่จะมอบให้นาง”
นั่งเก๋ทําตาอันน้อยนิด แล้วยิ้มด้วยความสดใส “ในเมื่อ เจ้าต้องการให้ของขวัญ เพื่อแสดงความจริงใจของเจ้า งั้นเจ้าก็ควรที่จะไปหานางด้วยตนเอง เจ้าจะสามารถเจอ นางได้ในที่บ่อ ต้องหาดีๆนะ เพราะนางจะซ่อนตัวเพราะ นางขี้อาย”
“ได้! ข้าจะไปตอนนี้! ”
พวกคนรับใช้ “.….…….
คนรับใช้ยังไม่ทันได้ห้าม จูนเจ๋วก็วิ่งไปที่บ่อบัว บ่อน้ำนี้ ถึงจะไม่ได้ลึกมาก แต่ก็สามารถทำให้คนจมน้ำตายได้
ตูม-
“ท่านอ๋อง! เร็วช่วยด้วย! ท่านอ๋องตกน้ำ!
ทันใดนั้นคนรับใช้ในตำหนักอ๋องโยวรีบเข้ามา บ่อบัว ถูกล้อมรอบเป็นวงกลม วิ่งเก๋อยู่ด้านนอกมองดูพวกเข้า แล้วเก็บรอยยิ้มเดินกลับไปที่ห้อง และไปพักผ่อนอย่าง สบายใจ
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ