บทที่ 14 งานครื้นเครงในวังหลวงเรื่องผิดถูก เยอะไปหมด
บทที่ 14 งานครื้นเครงในวังหลวงเรื่องผิดถูกเยอะไป หมด
ผ่านไปไม่นาน พวกเขาก็เข้าไปในวังแล้ว บนถนนเต็ม ไปด้วยการสัญจรของรถม้าขุนนางทั้งหลาย วิ่งเย่แง้ม ม่านขึ้นมองไปด้านนอก กำแพงวังที่สูงโอบล้อมฟ้าทั้งสี่ ด้าน นกกระจิบกระจอกมากมายยืนอยู่บนชายคา ได้ยิน เสียงร้องที่ไพเราะเพราะพิ้งดังเข้ามาที่ข้างหู อีกทั้งยังมี กลิ่นหอมสดชื่นล่องลอยอยู่ในอากาศเต็มไปหมด ราวกับ ว่ามีดอกไม้บานสะพรั่งอยู่ที่ไหนสักแห่ง
ทั้งสองคนลงรถม้า ขันทีน้อยคนหนึ่งก็เดินมาต้องรับ
ทันที
“อ๋องโยว พระชายาอ๋องโยว ข้าน้อยจะนำทางพวกท่าน ไปยังสวนดอกไม้เองพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้ยังวันอยู่เลย ขุนนาง ทั้งหลายล้วนชมดอกไม้อยู่ที่สวนดอกไม้ ฮ่องเต้เสร็จกิจ จากการประชุมขุนนางแล้วก็คงจะมาสมทบ พอถึงเวลา อันสมควรก็จะไปรับประทานอาหารที่ตำหนักไท่เหอ พร้อมกัน
วั่งเย็พยักหน้าเบาๆ ก็เดินตามขันทีน้อยไป ตลอดทาง มองดูทิวทัศน์ในวัง ในใจอดที่จะทอดถอนใจไม่ได้ ต้อง เข้าวังมาเห็นกับตาตัวเองถึงจะรู้ถึงความกว้างขวางยิ่งใหญ่ของวังหลวง กำแพงสีแดงหลังคาสีเขียว แสงแดด สาดส่องลงมายิ่งทำให้ดูงดงาม
ผ่านไปไม่นานพวกเขาก็ถึงสวนดอกไม้ยู่ ดอกไม้ ณ ตอนนั้นช่างบานได้อย่างงดงามยิ่งนัก บนทางเดินเต็มไป ด้วยกลิ่นหอมฟุ้งจมูกไปหมด วิ่งเย่เงยหน้ามองไป เห็น ศาลาที่อยู่ไม่ไกลนักมีท่านชายท่านหญิงไม่น้อยรวมตัว กันอยู่ตรงนั้น ผู้คนพูดคุยกันด้วยรอยยิ้ม ดูแล้วช่างสงบ ยิ่งนัก
“นําหนักอ๋องโยวมาถึงแล้ว……
บันทีน้อยประกาศขึ้น จู่ๆ ทั้งหมดก็สงบลง สายตาของ ผู้คนจ้องมา แววตาทั้งหลายเต็มไปด้วยการซุบซิบนินทา นั่งเก๋พาจูนเจ๋วเดินมานั่งลงตรงที่ที่เย็นสบายที่หนึ่ง ไม่ สนใจสายตาของผู้คนรอบๆ แม้แต่นิด จูนเจ๋วก็เหมือนว่า จะชินมานานแล้ว ได้แต่นั่งอย่างเงียบๆ บนใบหน้าไม่ได้มี ความไม่พอใจแม้แต่น้อย
“เจ้าคนชั่วทำไมถึงอยู่ที่นี่ได้”
ในช่วงที่ทั่วทิศกำลังเงียบสงบอยู่นั้น มีเสียงที่ไม่เป็น มิตรเท่าใดนักดังขึ้นมา ผู้คนต่างตะลึงกันไปตามๆ กัน มองตามเสียงนั้นไป ก็เห็นหญิงสาวที่ใส่ชุดกระโปรงผ้า บางๆ สีชมพูคนหนึ่งเดินมาอย่างโมโห วึ่งเก๋เท้าคางแล้ว เงยหน้าขึ้น สบสายตาเข้ากับคนผู้นั้นพอดี
“ทรงวิ่งเย่ วันนี้เป็นงานครื้นเครงของในวัง เจ้ามาที่นี่ใน ฐานะอะไร ไม่กลัวว่าจะทำให้พื้นที่ของในวังสกปรกเปอะ เปื้อน ทหาร รีบมาเอานางลากออกไปซะ”
คนที่พูดจาพ่อยๆ ยืนอยู่ด้านหน้านั่งเย่ในตอนนั้นก็คือห รงวิ่งชีวคุณหนูคนรองของตระกูลหรง ข้างกายยังมีสาว ใช้สองคนของตระกูลหรงติดตามมาด้วย วันนี้คิดว่าน่า จะมากันครบ วิ่งเย่ค่อยๆ ยกริมฝีปากขึ้น ปรายตาปรากฏ รอยยิ้มที่มีนัยไม่ชัดเจนนัก
เสียงของหรง งวดังมาก อย่างน้อยคนที่อยู่รอบๆ นั้น ก็คงจะได้ยินกันทุกคน สายตาถูกรวบรวมกันมาที่จุดจุด เดียวอย่างทันที หรงวิ่งอึมองดูน้องสาวของตัวเอง ในใจ แอบด่าว่าเป็นพวกโง่เขลาอยู่ รีบเดินขึ้นมาลากนาง
“น้องรอง นี่คือวังหลวง อย่าเสียมารยาท” หรงวิ่งอีพูด อย่างเย็นชา
“ข้ารู้ดีว่าที่นี่คือวังหลวง ก็เพราะเช่นนี้ถึงจะต้องลากนาง สารเลวผู้นี้ออกไปซะ คนอย่างนางเช่นนี้หรือสมควรที่จะ เข้าวัง พูดออกไปคงจะน่าขำตายเลย” หรงวึ่งชีวเท้าเอว พูดด้วยความโมโห พอนึกถึงเมื่อก่อนที่ถูกคนผู้นี้เตะให้ ตกไปในสระน้ำก็โกรธขึ้นมา อาศัยแค่แต่งเข้าไปตำหนัก อ๋องโยวก็กล้าที่จะกำเริบเสิบสานกับนางขนาดนี้ ไม่ดูสาร รูปตัวเองเลย
ทรงวิ่งอีเห็นคนผู้นี้เก็บอาการไม่อยู่ก็ห้ามไม่ให้อารมณ์ เสียไม่ได้ คนรอบๆ ล้วนจ้องมองอยู่นางก็ไม่กล้าทำอะไร ที่ฉูดฉาดเกินไป อีกทั้งทรงวึ่งชีวก็ไม่สนใจอะไรพวกนี้อยู่ แล้ว ในสายตาของนางตอนนี้มีแต่วิ่งเก๋ที่อยู่ข้างหน้านาง เท่านั้น หากไม่ใช่ว่าที่นี่เป็นวังหลวง นางก็คงโผเข้าไปฉีก หนังของนางออกมาเป็นชิ้นๆ แน่
วั่งเย่เงยหน้ามองไปอย่างสบายๆ บนใบหน้าไม่มีความ โกรธเลยแม้แต่น้อย พูดว่า “คุณหนูรองตระกูลหรงท่าทาง ชวนทะเลาะหาเรื่องใหญ่โต ข้าดุๆ ไปแล้วไม่เหมือนคุณ หนูของตระกูลแม่ทัพเลย ก็เหมือนกับพวกองค์หญิงในวัง ไม่มีผิด คิดว่าแม่ทัพหรงคงจะเลี้ยงดูเจ้าเฉกเช่นองค์หญิง น่ะสิ”
“เหอะ ท่านพ่อรักทะนุถนอมข้า แน่นอนว่าข้าไม่เหมือน กับเจ้าอยู่แล้ว คนโง่เขลาอย่างเจ้าเช่นนี้ใครจะเอาเจ้าอยู่ ในสายตากัน” หรงวิ่งชีวพูดด้วยความหยิ่ง
วั่งเย่หรี่ตาลงพร้อมกับหัวเราะเบาๆ หนึ่งเสียง ถอด สายตาไปที่ร่างของทรงวิ่งอีที่อยู่ด้านหลัง พูดขึ้นว่า “คุณ หนูใหญ่ตระกูลหรงเป็นคนที่เข้าใจมารยาทเป็นอย่างดี ข้าขอถามหน่อยว่ามีคนด่าว่าผู้ที่เป็นญาติของฮ่องเต้ควร จะต้องลงโทษอย่างไรดี
หรงวิ่งอีได้ฟังก็อึ้งไปครู่หนึ่ง ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “น้อง สี่ ยังไงเจ้าก็เป็นคนตระกูลหรงของพวกเรา พี่น้องตระกูล เดียวกัน พูดซะห่างเหินกันเช่นนี้ทำไม”
“พี่น้องตระกูลเดียวกันหรือ พี่น้องตระกูลท่านไม่ว่า อย่างไรก็เรียกท่านว่าพวกคนชั้นต่ำสารเลว หากตระกูล หรงเป็นเช่นนี้ทั้งหมด วันหลังข้าก็คงจะต้องใช้วาจาเช่น นี้ตอบโต้ท่านพี่ทุกท่าน ก็ไม่มีอะไรต้องไม่คุ้นเคยกันแล้ว ล่ะ”
หรงวึ่งชีวได้ฟังก็โมโหมาก ด่าฝ่ายตรงข้ามว่า “หรงวิ่งเก๋ เจ้าช่างกล้านัก เชื่อหรือไม่ข้าจะฉีกปากของเจ้าให้ขาด จากกันซะตอนนี้เลย”
“ก่อนถึงตอนนั้นข้าฉีกปากของเจ้าออกก่อนดีกว่าไหม
ทันใดนั้น จูนเจ๋วที่เดิมทีนั่งเงียบอยู่ด้านข้างลุกขึ้นมา เขายืนอยู่ข้างหน้าวิ่งเก๋ด้วยใบหน้าที่เฉยชา ดวงตาคู่นั้น เย็นชาจนถึงขีดสุด ผู้คนได้ยินเสียงแล้วต่างพากันสั่นเทา พวกเขาลืมอ่องโยวท่านนี้ไปเสียสนิทเลย แต่อ๋องโยวเสีย สติไปแล้วไม่ใช่หรือ
หรง งวก็ตกใจขึ้นทันที แต่เมื่อก่อนเคยได้ยินท่านพ่อ บอกว่า คนผู้นี้เสียสติไปแล้ว ไม่เป็นโล้เป็นพายอยู่แล้ว จู่ๆ ทำไมถึงมีความกล้าขึ้นมา จึงพูดขึ้นว่า “อ๋องโยว น้อง สี่ของข้าเสียมารยาทแล้ว ข้าซึ่งเป็นพี่สาวต้องออกแรง อบรมนางสักหน่อย ก็จะไม่ให้เสื่อมเสียชื่อเสียงตระกูลห รงในระหว่างที่อยู่ที่ตำหนักอ๋องโยว ท่านนั่งพักสักหน่อย เถอะ”
จูนเจ๋วได้ฟัง สีหน้าก็เข้มขึ้นทันที ดวงตาที่เย็นชาอึมครึม จ้องมองคนที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่วางสายตา หรงวิ่งชีว เห็นว่าฝ่ายตรงข้ามไม่พูดอันใด ยิ่งได้ใจใหญ่ ที่ท่านพ่อ พูดไว้ไม่มีผิดเพี้ยน ผู้นี้ก็เป็นพวกเสียสติ รู้แค่ว่ายืนอยู่ ตรงนี้อย่างโง่ๆ ไม่ได้มีอะไรน่ากลัวเลยสักนิด
หลังจากนั้นยังไม่ทันที่จะให้หรงวึ่งชีวดีใจได้นาน จูนเจ๋ว ยกมือขึ้นมาทันที ตบไปที่หน้าของฝ่ายตรงข้ามอย่างโหด ร้าย
เสียตบหน้าดังขึ้นเต็มรูหู ผู้คนโดยรอบเข้าสู่ภวังค์ความ เงียบที่ประหลาดใจในทันที ทุกคนเบิกตาค้างมองภาพ ตรงหน้า พวกเขากำลังสงสัยว่าตนเองกำลังฝันไปหรือ เปล่า อ๋องโยวตีหรงวงชีวแล้วหรือ
แม้ว่าจูนเจ๋วจะเสียสติ แต่วรยุทธ์ของเขาสูงส่งมาก รากฐานของร่างนั้นยังอยู่ ฝ่ามือเมื่อครู่เขาแค่ออกแรง อย่างเต็มที่ ใบหน้าของหรงวิ่งชีวถูกตบคนเบี้ยว ความเจ็บ ปวดเป็นรอยสีแดงๆ อยู่บนแก้ม หลังจากนั้นนางก็ยังเหม่อ ตะลึงอยู่ตรงนั้น ยังไม่ได้ดึงสติกลับมา
จูนเจ๋วมองนางอย่างเย็นชา ปรายตาปรากฏแสงแห่ง ความดูถูกและรังเกียจออกมา พูดขึ้นว่า “ใครอนุญาตให้ เจ้าว่าเมียของข้า เมียข้าไม่ตีผู้หญิง แต่ข้าตี หากเจ้ายังจะดุด่าเมียข้าอีก ข้าจะจัดการให้เจ้าเปลือยเปล่าแล้ว โยนทิ้งในสระน้ำให้ปลากินซะ”
พอคำพูดนี้พูดออกไป ผู้คนต่างพากันเนื้อตัวสั่นเทา ยัง ไงหรงวิ่งชีวก็เป็นลูกสาวของตระกูลท่านแม่ทัพ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ไม่เคยได้รับความไม่ยุติธรรมเช่นนี้เลย ถูกคน ตบหน้าไม่พูด ยังจะถูกข่มขู่เช่นนี้อีก สีหน้าของนางก็ แดงขึ้นในทันใด ก็ไม่รู้ว่าเพราะอับอายหรือไม่ นางจับที่ ใบหน้าของตัวเอง ถูกตีจนบวมไปครึ่งหน้าเลย หรงวึ่งชีว มองเขาด้วยน้ำตาที่ไหลออกมา ในใจอัดอั้นไว้ด้วยความ ไม่ได้รับความเป็นธรรมที่พูดไม่ออก
วั่งเย่เงยหน้ามองหลังของจูนเจ๋ว ก็ตกใจไปเล็กน้อย นาง ก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าคนผู้นี้จะตีคนต่อหน้าสาธารณชน เพื่อนาง แต่มองเห็นสภาพอับอายที่ไม่ได้รับความเป็นธร รมของหรงวิ่งชีวนั้นแล้ว ก็รู้สึกว่าไม่เลวทีเดียว
“พวกเจ้าทําอะไรกัน
ทันใดนั้น เสียงของอ๋องหลิงดังมาจากด้านข้าง ผู้คนมอง ตามเสียงนั้นไป เห็นเขากับอ๋องสองสามคนกำลังเดินมา ทางนี้ อ๋องหลิงมองวิ่งเก๋และจูนเจ๋วครู่หนึ่ง และมองไปที่ หรงวิ่ง วที่ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตา สีหน้าหนักใจขึ้นมา ทันใด
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ