ร้ายกาจที่สุด (30%)
ตอน ม.5 เทอม 1
ขึ้นปีการศึกษาใหม่คิริมาก็ได้ย้ายโรงเรียนสมใจ โรงเรียน ใหม่และสังคมใหม่ทำให้คนที่เพิ่งย้ายมาต้องปรับตัวพอสมควร หากแต่ไม่ยากเกินความสามารถ จะแย่หน่อยก็ตรงที่เธอไม่มี เพื่อนเท่าไร ไม่ค่อยมีใครอยากคุยกับเธอ ด้วยความที่เธอเป็น คนพูดน้อยทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าหา จะมีก็แต่ตุ๊ดยักษ์ประจำ ห้องอย่างศุภชัยหรือเอวาที่เดินเข้ามาพูดคุยกับเธอ คอยช่วย เหลือในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ จนในที่สุดทั้งคู่ก็กลายเป็นเพื่อนสนิท กันในระยะเวลาเพียงไม่นาน และอีกฝ่ายก็ทำให้คิริมารู้ว่าโลกนี้ ไม่โหดร้ายจนเกินไป อย่างน้อยก็ยังมีชายใจหญิงอย่างศุภชัย คอยอยู่เคียงข้างในวันที่เธอไม่เหลือใคร คอยปลอบใจในวันที่ เธออ่อนแอจนมีน้ำตา
ทุกอย่างมันกำลังจะเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ อยู่แล้ว หากว่าในช่วงพัก เที่ยงของวันหนึ่งจะไม่มีใครคนบางคนเดินเข้ามาผลักอกเธอใน จังหวะที่กำลังจะก้าวเข้าห้องน้ำ พอเงยหน้าขึ้นก็ปรากฏว่าเป็น พิริยา ยังไม่ทันจะได้จับต้นชนปลายอีกฝ่ายก็ชี้หน้าด่าเธอเสียง ดังลั่น ว่าแม่ของเธอทำให้พ่อของอีกฝ่ายตาย ทำเอานักเรียน ใหม่ที่คิดว่าจะย้ายมาเจอสิ่งแวดล้อมที่ดีกว่าเดิมถึงกับแทบ ปล่อยโฮออกมา เสียงตะโกนด่าทอของพิริยาทำให้เด็กนักเรียน ต่างพากันเดินมามุงดู บ้างซุบซิบ บ้างมองเธอเหมือนเป็นตัว ประหลาด บ้างส่งสายตารังเกียจมาให้
ด้วยความที่ลูกของพ่ออีกคนอย่างพิริยาเป็นสาวป๊อปประจํา โรงเรียนทำให้ทุกคนต่างให้ความสนใจ บางคนตัดสินว่าแม่ของ เธอผิดก็ถึงกับด่ากราด และพากันรุมประณามต่างๆ นานา ซึ่ง ถ้อยคำเหล่านั้นล้วนกระแทกใจคนที่ยังเจ็บปวดกับการสูญเสีย อันแสนสะเทือนใจไม่สร่างซา ทั้งที่การตายของพ่อกับแม่ไม่ได้มี สาเหตุมาจากเธอ และมันก็ไม่ใช่ความผิดของเธอ แต่ทุกคนก็ มองเธออย่างรังเกียจ ไม่อยากเข้าใกล้
เธออยากจะบอกให้ตัวเองเข้มแข็ง บอกตัวเองให้กล้าที่จะ ตะโกนใส่หน้าทุกคนว่าอย่ามายุ่งเรื่องส่วนตัวของเธอ แค่พ่อกับ แม่เธอจากไปในเวลาเดียวกันมันก็เจ็บปวดและหนักหนาสาหัส มากพอแล้ว ทำไมทุกคนต้องเอาเรื่องการตายของพวกท่านมา ซ้ำเติมให้แผลในใจเธอกลัดหนองไปมากกว่าเดิม ทำไมทุกคน ถึงได้ใจร้ายกับเธอนัก อยากจะไล่ตะเพิดทุกคนไปให้ไกลๆ แต่ นั่นก็เป็นเพียงแค่ความคิด เพราะการถูกรุมพร้อมกันหลายๆ คน ทำให้คิริมายืนนิ่งเหมือนช็อกและหาทางออกไม่เจอ ริมฝีปากสั่น ระริกเม้มเข้าหากัน มือทั้งสองข้างเป็นหมัดจนเส้นเลือด บริเวณหลังมือปูดโปน น้ำตาคลอเบ้า ส่วนหูก็ได้ยินเสียง ประณามอันเลวร้ายไม่หยุดหย่อน
“แม่ของยัยนั่นเป็นคนประเภทไหนถึงได้ฆ่าพ่อของพิมมี่ ตัว เองแย่งพ่อไปจากแม่พิมมี่ แล้วฆ่าเขาตายเนี่ยนะ คนอะไรประ สาทจริงๆ ตายคนเดียวไม่พอยังลากคนอื่นไปตายด้วย
“ก็คงเลือดเย็นทั้งแม่และลูกนั่นแหละ เพราะยัยจืดนั่นก็อยู่ใน เหตุการณ์แต่ไม่ร้องไห้ซักแอะ
“เห็นคนแทงกันตายต่อหน้าต่อตาแล้วไม่รู้สึกอะไรเนี่ยนะ คน อะไรเลือดเย็นจนน่าขนลุก
“นั่นสิ ไม่รู้ที่ย้ายมาเนี่ยเพราะนางไปแทงใครตายมาหรือ
เปล่า”
“ทางที่ดีอย่าไปเข้าใกล้เลยคนแบบนั้น
น้ำค่บาดหัวใจยังคงดังอื้ออึงอยู่ในหู หัวใจดวงน้อยถูกรุม กระหน่ำซ้ำเติมจากคนที่ตัดสินคนอื่นแค่ภายนอกทั้งที่ไม่รู้ตื้นลึก หนาบางอะไรเลย คำพูดทำนองว่าแม่ของเธอคือคนที่แย่งพ่อมา จากแม่ของพิริยา ทั้งที่แม่ของเธอคือเมียหลวง ส่วนแม่ของพิริยา คือเมียน้อย คือคนที่เข้ามาแทรกกลางทำให้ครอบครัวเธอร้าว อาน
ซึ่งถ้อยคำประณามแม่ที่ไร้ซึ่งความเป็นจริงนั้นก็ทำให้คิริมา เกือบทนไม่ไหวเพราะรับไม่ได้ แต่ต้องกล้ำกลืนฝืนทนความ เจ็บปวดเอาไว้ อยากจะหนีไปจากตรงนั้นแต่ขาเจ้ากรรมกลับก้าว ไม่ออก เธอคิดผิดอย่างมหันต์ที่ย้ายมาเรียนที่นี่ ปัญหาเดิมตาม มาหลอกหลอนทำให้คิริมายืนตัวแข็งทื่ออยู่ท่ามกลางวงล้อม ของพริยากับเพื่อน และเธอคงจะโดนอีกฝ่ายเล่นงานจนเผลอ แสดงความอ่อนแอออกมา หากเพื่อนเพียงหนึ่งเดียวที่ใครต่อ ใครต่างเรียกว่าอีตุ๊ดยักษ์ไม่เดินฝ่าวงล้อมเข้ามาปกป้อง และด่า กราดจนทุกคนแตกกระเจิง
ตั้งแต่นั้นมาคิริมาก็รู้ซึ้งว่าการย้ายโรงเรียนไม่ได้ช่วยอะไรเลย มันไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ถูกจุด เรื่องที่พ่อกับแม่ของเธอแทงกันตายต่อหน้ากลายเป็นประเด็นซุบซิบนินทาไปทั่วทั้งโรงเรียน และ นั่นก็ทำให้สังคมของเธอแคบลงเรื่อยๆ จนน่าใจหาย แต่พ่อกับ แม่ของเธอฆ่ากันตายต่อหน้าสังคมก็ไม่มีที่ยืนสำหรับผู้สูญเสีย เช่นเธออย่างนั้นหรือ แค่เธอไม่ร้องไห้ฟูมฟายให้ใครเห็นทุกคนก็ ตัดสินว่าเธอเป็นคนเลือดเย็นไร้หัวใจอย่างนั้นหรือ เธอทำผิด อะไร หรือว่าเธอควรตายๆ ไปเสียดีไหม นั่นคือคำถามที่ผุดขึ้น มาในหัวทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้น แต่จิตใต้สำนึกส่วนดี จะคอยย้ำเตือนว่า เธอจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป ชีวิตเธอยังคงต้อง ก้าวต่อไป ถึงแม้ไร้พ่อและแม่เธอก็ต้องอยู่ให้ได้ด้วยตัวเอง
ทุกครั้งที่โดนพิริยาตามก่อกวนคิริมาจะพยายามนิ่งเฉย ทำ เป็นหูทวนลม หากทนไม่ไหวจริงๆ ก็จะตอบโต้ไปบ้างด้วยคำพูด ในแบบผู้ใหญ่เกินตัว เธอไม่นิยมใช้ความรุนแรงหรือตบตีใน แบบที่นักเรียนหญิงชอบทำกัน เพราะไม่อยากมีปัญหาจนถูกฝ่าย ปกครองเรียกไปพบ อีกทั้งไม่อยากถูกอาจารย์เพ่งเล็งว่าเพิ่งย้าย มาใหม่ก็ก่อเรื่องทะเลาะวิวาท เลยเลือกที่จะเงียบเข้าไว้ แต่นั่น กลับยิ่งทำให้อีกฝ่ายเจ็บใจและนึกหมั่นไส้ที่เธอทำเหมือนคนไร้ ความรู้สึก จึงตามราวีไม่เลิก และวันนี้ก็คงเป็นอีกวันแห่งความ ซวยของเธอเพราะศุภชัยดันลาป่วยเสีย
อยู่ๆ หัวหน้าห้องและเพื่อนซี้ก็เดินมานั่งลงที่ม้านั่งในฝั่งตรง กันข้ามกับเธอ คิริมาทำเพียงเลิกคิ้วเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ เพราะสองสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้าไม่เคยพูดกับเธอตั้งแต่เธอย้ายมา เรียนที่นี่ ก่อนจะเริ่มรู้ถึงจุดประสงค์ของการมาของทัมองตากัน แล้วยิ้มตรงมุมปาก ก่อนที่เธอจะนิ่งงันในเสี้ยววินาทีที่ หัวหน้าห้องเอ่ยคำอันแสนกระแทกใจออกมา
“นี่ครีม วันแม่ที่จะถึงแม่เธอจะมาหรือเปล่า”
“เอ่อ…” ยังไม่ทันที่คนโดนสะกิดแผลใจจะได้ขยับริมฝีปาก หนักอึ้งตอบโต้ เสียงแหลมเล็กฟังดูน่ารำคาญของผู้ที่ยืนกอดอก อยู่ข้างหลังก็ดังแทรกขึ้น
“ใบเตยลืมไปแล้วหรือไง ว่ายัยเนี่ยไม่มีแม่” ผู้มาใหม่ซึ่งเป็น คนเคยสอบได้คะแนนสูงสุดของห้องแต่ต้องมาพ่ายแพ้ให้แก่ศิริ มาในกลางภาคน้องใบหน้าซีดเซียวอย่างเยาะหยัน
“นั่นสิ ฉันลืมไปเลย ว่าเธอไม่มีแม่นี่นา” คนที่ตั้งใจเข้ามาหา เรื่องก่อกวนนักเรียนใหม่ของห้องกอดอกสาดน้ำค่าแทงใจดำ คนฟัง แล้วยิ้มเยาะอย่างสะใจเมื่อเห็นเธอตาแดงๆ
“ฉันมีแม่!” คิริมาเชิดหน้าตอบโต้เสียงแข็งๆ ทั้งที่น้ำตาเจียน จะหยดแหมะอยู่รอมร่อ พยายามจะไม่แสดงความอ่อนแอให้อีก ฝ่ายได้ใจ แต่มันช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน ถึงแม้แม่จะจากไป เกือบจะครบหนึ่งปีในอีกไม่กี่วันข้างหน้าแต่เธอก็ยังคงอาลัย อาวรณ์ท่านไม่เสื่อมคลาย เธอยังคิดถึงและโหยหาอ้อมกอดของ แม่ คนมีแม่ไม่เข้าใจหรอกว่า ในวันแม่คนที่ขาดแม่มันรู้สึก อ้างว้างและเจ็บปวดหัวใจมากแค่ไหน
“เธอไม่มีแม่!”
“ฉันมีแม่! ฉันมีแม่พวกเธอได้ยินไหม!!
“เธอไม่มีแม่! แม่เธอตายแล้ว! ยัยเด็กไม่มีแม่!
สามสาวประสานเสียงตะโกนใส่หน้าคนที่ตกเป็นแกะของ โรงเรียน คิริมาท่าเพียงกำหมัดแน่นๆ เม้มริมฝีปากสั่นระริก เข้าหากันอย่างพยายามจะข่มกลั้นอารมณ์เอาไว้ ก่อนจะหันหลัง วิ่งหนีไปแบบไร้ทิศทาง ที่สุดเธอก็มาหยุดลงที่ดาดฟ้า สถานที่ ต้องห้ามสำหรับเด็กนักเรียนทุกคนแต่ไม่รู้ว่าใครมาแอบเปิด ประตูค้างเอาไว้ ร่างบอบบางกว่าสั่นเทาเดินไปนั่งลงที่ข้างผนัง ดาดฟ้าอย่างหมดแรง ทันใดนั้นความเจ็บปวดเสียใจที่กักเก็บไว้ ก็พลันพรั่งพรูออกมาเป็นหยาดน้ำตาไหลพรากอาบแก้ม พร้อม กับเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นดังลั่น
“ฮึก…ฮือ…ฉันมีแม่…ฉันมีแม่…ฮือ…
เสียงร้องไห้ที่แว่วเข้าหูทำให้คนที่นอนหนุนแขนเหม่อมอง ท้องฟ้าสีหม่นถึงกับสะดุ้งเฮือกเพราะคิดว่าที่ได้ยินนั้นคือเสียง ทว่าครั้นลุกขึ้นแล้วเห็นใครบางคนนั่งก้มหน้ากอดเข่าร้องไห้อยู่ อีกมุมหนึ่งของกำแพงดาดฟ้า เขาก็ทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอด้วย ความรําคาญปนหงุดหงิดงุ่นง่าน
บัดซบ! เขาเกลียดเสียงร้องไห้ และไม่ชอบน้ำตาผู้หญิง
อุตส่าห์หนีขึ้นมาพักผ่อนหย่อนใจในคาบเรียนที่อาจารย์ไม่ เข้าสอนแต่ยังมิวายมีคนมาทำให้ความสงบสุขของเขาพังทลาย ครั้นเสียงร้องไห้บาดหูยังไม่หยุดหย่อน คนที่ถูกรบกวนเวลานอน ในตอนบ่ายก็กลอกตาขึ้นฟ้า นับหนึ่งจนถึงสิบในใจแล้วปรากฏ ว่าอีกฝ่ายยังไม่หยุดปล่อยโฮเขาจึงหมดสิ้นความอดทน
*หยุดแหกปาก! แล้วไสหัวไปซะ!”
เจ้าถิ่นตวาตกร้าวไล่ตะเพิด แต่ดูเหมือนว่าคนที่ยังตกอยู่ใน ห้วงความเศร้าเสียใจอย่างแสนสาหัสจะไม่สนอะไรทั้งสิ้น แถม ยังร้องไห้เสียงดังกว่าเดิม
“โว้ย! บอกให้หุบปากไงวะ!”
คราวนี้น้ำเสียงกราดเกรี้ยวเจ้าอารมณ์ตวาดลั่นทำเอาคนที่ก้ม หน้าก้มตาร้องไห้เป็นเผาเต่าชะงักไปชั่วอึดใจ ก่อนจะสะอื้นฮัก แล้วปล่อยโฮออกมาอีกครา
“อีก…ฮือ…ไม่ต้องมาห้าม…คนเสียใจก็ต้องร้องไห้…ฮือ…
“จะไม่หยุดใช่ไหม”
คําตอบที่ได้รับคือเสียงร้องไห้หนักกว่าเดิม
“ได้…”
ทันใดนั้นหนุ่มหล่อจอมเย็นชาแต่ป๊อปสุดๆ ของโรงเรียนก็ จัดการถอดถุงเท้าของตัวเองออกหนึ่งข้าง มัดเป็นก้อนกลมๆ แล้วปาใส่หัวคนที่กำลังนั่งซบหน้าลงกับเข่าร้องไห้สะอึกสะอื้น เหมือนจะขาดใจตาย
ตุ้บ!
“แหกปากร้องไห้อยู่ได้! คนจะนอน…รำคาญ!”
“รําคาญก็ปิดหูสิ”
หลังจากคลำหัวตัวเองบ่อยๆ แล้วมองถุงเท้าที่ตกกระเด็นห่าง ออกไปเล็กน้อย คนที่กำลังอยู่ในอารมณ์เศร้าเสียใจก็เริ่มแปร เปลี่ยนเป็นโมโหแทน
นี่เล่นเอาถุงเท้าปาหัวกันเลยเหรอ มันจะมากเกินไปแล้วนะ! “อ้าว…ยัยนี่วอนโดนตีว่ะ”
ขาดคำเจ้าของถุงเท้าปริศนาก็ผุดลุกขึ้น แล้วเดินลากขายก ไหล่ด้วยท่าทางกร่างๆ ไปหาคนที่เอาแต่ก้มหน้าเช็ดน้ำตาอย่าง เอาเรื่อง
“เมื่อกี้เธอพูดว่าไงนะ”
เสียงเข้มๆ ของคนที่ยืนหัวอยู่ทำให้ศิริมาเม้มปากแน่น แทนที่จะเงยหน้าขึ้นมาเอ่ยตอบโต้เธอกลับต่อต้านด้วยการเลือก ที่จะก้มหน้าปิดปากเงียบ และนั่นก็ทำให้อีกฝ่ายหงุดหงิดหนัก กว่าเดิม
“ว่าไง…ซ่าหรือไงเรา
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ