ร้ายกาจที่สุด (100%)
น้ำเสียงกระด้างฟังดูวางอำนาจและถือดีที่ดังขึ้นทำให้คนที่ กำลังนั่งเหม่อถือซ้อนค้างถึงกับสะดุ้งน้อยๆ ครั้นได้สติเธอก็เงย หน้าขึ้นไปมองต้นเสียงที่กำลังยืนหัวอยู่ แล้วก็แทบจะอยาก หายตัวไปจากตรงนั้นเสียให้ได้ เมื่อวานเขายังกลั่นแกล้งเธอไม่ พอหรือไง ไอ้เด็กบ้านั่นต้องการอะไรจากเธอกันแน่
“ที่อื่นมีตั้งเยอะแยะทำไมไม่ไปนั่ง
น้ำค่าห้วนๆ ดูไม่ยินดียินร้ายกับการที่มีหนุ่มหล่อมาขอนั่งร่วม โต๊ะทำให้คนมั่นใจในตัวเองสูงถึงกับชะงักเล็กน้อย ขบกราม เข้าหากัน แทบจะออกอาการงุ่นง่านหากไม่ระงับใจเอาไว้ จาก นั้นร่างสูงใหญ่เกินวัยก็เดินอ้อมโต๊ะ แล้วจงใจนั่งลงข้างๆ เธอ อย่างหน้าตาเฉย เห็นดังนั้นคิริมาก็กระเถิบตัวหนี และท่าทาง คล้ายรังเกียจเสียเต็มประดาก็กระตุ้นให้หนุ่มหล่ออยากเอาชนะ ขึ้นมาครามครัน ยิ่งเธอกระเถิบหนีไปตามความยาวของม้านั่ง เขาก็ยิ่งจงใจขยับตามประชิด ที่สุดคิริมาก็ไปจนมุมอยู่ริมม้านั่ง เพราะถ้าเธอขยับอีกเพียงนิดคงได้ร่วงลงไปกองกับพื้นเป็นแน่
“ก็อยากนั่งกับนักเรียนใหม่อย่างเธอ…มีอะไรไหม
หลังจากไล่ต้อนคนไว้ตัวด้วยการขยับเข้าหาจนทั้งคู่นั่งชิด กันท่ามกลางเสียงฮือฮาของสาวๆ ทั้งโรงอาหาร พงษ์สวัสดิ์ ลอยหน้าเข้าใกล้ แล้วเอ่ยยียวนกวนประสาท ความใกล้ชิดชนิด หายใจราดรดซึ่งกันและกันทำให้คิริมาถึงกับผงะด้วยท่าทางตื่นๆ สีหน้าที่ดูมีชีวิตชีวาขึ้นทำให้เขากระตุกมุมปากเล็กน้อย
“งั้นก็เชิญนั่งให้สบายใจไปเลย ฉันอิ่มแล้ว” ขาดค่ร่างบาง ผุดลุกขึ้น
“อิ่มบ้าอะไร เธอเพิ่งไปซื้อข้าวมายังกินไม่ถึงห้าค่เลยด้วยซ้ำ นั่งลงแล้วกินข้าวให้หมดซะ” เสียงแข็งๆ ที่ออกแนวบีบบังคับ ทำให้คิริมาหันขวับไปจ้องหน้าหล่อๆ อย่างเอาเรื่อง
“อย่ามาสั่งฉัน!” เธอกดเสียงต่ำ แล้วพยายามปรับสีหน้าให้ เรียบสนิท การกักเก็บอารมณ์ความรู้สึกด้วยการแสดงความเย็น ชาทำให้พงษ์สวัสดิ์ยิ่งอยากยั่วให้อีกฝ่ายสติแตก
“ทำไม ที่ไม่กล้านั่งลงกินต่อเพราะกลัวฉันล่ะสิ อีโธ่…ป๊อดวะ”
เขาลอยหน้าเลิกคิ้วท้าทาย ท่าทางยียวนกวนประสาทแต่ไม่ ยอมให้สาวเจ้าไปไหนทำให้อีกสามหนุ่มที่เหลือต่างกลั้นยิ้มแทบ ไม่อยู่ ดูก็รู้ว่าไอ้คนฟอร์มจัดกำลังเรียกร้องความสนใจอย่าง เนียนๆ
“ว่าไง…ป๊อดเหรอ”
รอยยิ้มเย้ยทำให้คิริมาทนไม่ไหว กำหมัดและเม้มปากเข้าหา กันขณะมองเขาตาขุ่น ที่สุดก็ต้องจำใจทรุดกายลงนั่ง จากนั้นก็ ก้มหน้าก้มตาจัดการกับอาหารในจานของตัวเองต่อ ท่าทางอ่อน ข้อให้ทำเอามุมปากของคนเอาแต่ใจยกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะหัน ไปเอ่ยขอบคุณเจ้าของร้านที่นำจานข้าวมาส่งให้เขาและเพื่อนๆ
“ไม่ชอบกินผักเหรอ” เห็นเธอเขียผักไปไว้ข้างจานเขาก็เอ่ยถามหน้านิ่งๆ คนที่กำลังจัดการเอาของที่ตนไม่ชอบออกไปจาก กุ้งถึงกับชะงักเล็กน้อย เงยขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างงงๆ
“ถามว่าไม่ชอบกินผักหรือไง” การชวนคุยอย่างเนียนๆ แถม ยังออกอาการเข้าซื้อยากรู้เรื่องของสาวเจ้าเสียเหลือเกินทำให้ คนที่นั่งเงี่ยหูฟังต่างลอบอมยิ้ม
“ยุ่ง!” เธอหันมาสวนกลับห้วนๆ แล้วเขี่ยผักที่เหลือออกจาก ข้าวผัดกุ้งจนหมด แม้กระทั่งเศษเล็กๆ ก็ไม่ให้มีเหลือ และกำลัง จะเอาแตงกวาที่หั่นเป็นแว่นๆ ออก หากว่าเสียงหนึ่งไม่เอ่ยขึ้น เสียก่อน
“เอามานี่มา…”
ขาดค่คนหน้าตายก็ถือวิสาสะตักแตงกวาที่เธอกำลังจะเขีย ไปไว้ข้างจานไปวางบนจานข้าวของตัวเอง การกระทำสุด ประหลาดไม่เพียงทำให้คิริมานิ่งอึ้ง แต่เพื่อนสนิทของพงษ์สวัสดิ์ ก็อึ้งจนพูดไม่ออก เพราะต่างรู้ดีว่าพงษ์สวัสดิ์ก็ไม่ชอบทานผัก เหมือนกัน แถมยังเขียผักไปไว้ข้างจานเหมือนคิริมาอีกต่างหาก
แล้วในวินาทีถัดมาเขาก็ทำให้ทุกคนอึ้งอีกรอบด้วยการตักกุ้ง ตัวโตในจานของตัวเองไปวางบนจานข้าวของคิริมาอย่าง หน้าตาเฉย
“เอ้า…เอานี่ไป”
“แล้วทําไมต้องเอาให้
ท่าทางไว้ตัวแทนที่จะขอบคุณทำให้พงษ์สวัสดิ์นึกหมั่นไส้จนนึกอยากจะกลั่นแกล้งให้ฝ่ายร้องไห้ขี้มูกโป่งเหลือคณา แต่เอาเถอะเธอเรื่องแย่ๆ ถ้าเขาแกล้งอีกคงได้หยุดแน่
แลกกันไง ฉันเอาเธอเธอก็เอากุ้งไป
เจ้าของใบหน้าเรียบเอ่ยปากท่ามกลางสายตาจับผิดของเพื่อนทั้งสาม เห็นนั้น พงษ์สวัสดิ์ก็ตวัดอุ่น ใส่
มองอะไรวะ ไม่เคยเห็นคนหล่อหรือไง”
“เคยก่อน” เผ่าสวนมาเมื่อคนฟอร์มจัดถลึงตา
จากนั้นทุกคนต่างลงจัดการกับอาหารในจานของตัวเอง พูดคุยกวนคำหยาบปากของสี่หนุ่ม คิริมานั่งทานข้าวเงียบโดยมี สายคู่ลอบมองเป็นระยะ จนเธอวางซ้อนส้อม บนจาน คว้าแก้วมาดื่ม พงษ์สวัสดิ์ถึงได้เงยหน้าขึ้น แล้ว เอ่ยถาม
อิ่มแล้ว
“อืม….นักเรียนทั้งโรงเรียนทั้งอิจฉาสาวคว้ากระเป๋าตังค์ที่วางบนโต๊ะ
“เดี่ยวสิ..”
เขาเอ่ยเป็นเชิงรั้งเอาไว้ พร้อมถือวิสาสะคว้าหมับเข้าที่ข้อมือ กลมกลึง ทำเอาคนถูกจู่โจมถึงกับตัวแข็งทื่อ มองมืออีกฝ่ายนึ่ง แล้วน้ำคำที่หลุดออกมาจากปากหนุ่มสุดป๊อปก็ทำเอาทั้งโต๊ะ แทบอ้าปากค้าง ไม่ต่างจากพวกที่อยากเผือกเรื่องของคนอื่นซึ่ง เงี่ยหูฟังและเฝ้ามองเหตุการณ์อยู่
“ให้ไปส่งไหม”
“ทำไมต้องไปส่ง” คนหัวใจเต้นแรงบิดข้อมือออกจากอุ้งมือ ใหญ่ แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา การปิดกั้นตัวเองที่ใครก็ไม่ สามารถเข้าถึงตัวตนที่แท้จริงทำให้เขาอดหมั่นไส้ไม่ได้
“ก็เห็นเธอโดนแกล้งไง เลยคิดว่าอยากให้ไปส่ง
หนุ่มหล่อที่โดนสาวเมินหลายต่อหลายครั้งยักไหล่น้อยๆ พร้อมเอ่ยหน้าตาย ก่อนจะถูกแม่สาวจอมอวดดีมองด้วยสายตา ประมาณว่าเด็กว่ะ และแววรำคาญเล็กๆ ที่ปรากฏผ่านทางสีหน้า ก็ทำให้พงษ์สวัสดิ์ยิ่งอยากตอแยพอๆ กับอยากเอาชนะ เธอเป็น ความเย็นชาที่โคตรท้าทายเป็นบ้า
“หลงตัวเองไปปะ ห้องเรียนฉันอยู่ใกล้แค่นี้ ไปเองได้” วาจา ราบเรียบฟังดูไร้อารมณ์และไม่แยแสต่อไมตรีที่หนุ่มหล่อหยิบยื่น ให้ทำเอาคนมั่นใจในตัวเองสูงแทบไปไม่เป็น
“ถ้าจะอวดดีขนาดนี้ก็ไปเถอะยัยแว่น อ้อ…แล้วก็อย่าลืมล่ะ ว่า เธอติดกุ้งฉันอยู่” เธอจะเดินไปพ้นจากตรงนั้นอยู่แล้ว หากน้ำ เป็นเชิงเตือนในตอนท้ายไม่ดังขึ้นเสียก่อน
“กุ้ง?”
“ใช่ กุ้งสามตัว….ที่ฉันเอาให้เธอกินเมื่อไง ทำเป็นลืมไปได้ เขาเอ่ยหน้าตาย ทำให้คนที่หลงคิดว่าคนกวนประสาทอย่างเขา อย่างน้อยก็ยังมีมุมใจดีมีน้ำใจอยู่บ้างถึงกับอ้าปากหวอ
“แต่นายเป็นคนเอามันให้ฉันเองนะ”
เธอทำปากยื่นเถียงด้วยความลืมตัว ท่าทางน่ารักทำเอาคน มองลอบยิ้มตรงมุมปาก ส่วนสามหนุ่มที่เหลือต่างมองทั้งคู่ด้วย ความแปลกใจ เพื่อนสนิทของพวกเขาและรุ่นพี่นักเรียนใหม่ต่าง กันราวฟ้ากับเหว แต่พอได้ต่อปากต่อคำกันมองรวมๆ แล้วเข้า กันเป็นบ้า เคมีได้จนน่าทึ่งเลยทีเดียว
“แต่เธอก็ไม่ปฏิเสธมันนี่ เพราะฉะนั้นเธอติดกุ้งฉัน วันหลัง เลี้ยงข้าวฉันด้วย” คนที่รอ่านทำตัวเจ้าเลห์ตั้งแต่เด็กทำหน้าตาย ขณะกอดอกสวนกลับอย่างฉะฉาน ตบท้ายด้วยการสรุปเองเสร็จ สรรพ
“เลี้ยงข้าว?”
“อือ…ก็เธอติดหนี้บุญคุณฉัน บุญคุณต้องทดแทนไม่เคย ได้ยินหรือไง” คนขี้เก๊กตีมึนไปเรื่อย อาการแถจนสีข้างแทบ ถลอกทำให้อีกสามหนุ่มต่างอยากระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเต็ม ทน
“แล้วฉันไปได้หรือยัง”
“นี่นาย!” เธอเผลอขึ้นเสียงใส่พร้อมมองหน้าหล่อๆ ทว่ายียวน กวนประสาทด้วยนัยน์ตาวาววับ ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยปากอีกฝ่าย ก็สวนขึ้นเสียก่อน
“เรียกป่าสิ เรียก นาย นี่นาย อยู่ได้”
“นั่นชื่อนายจริงๆ เหรอ” คิริมาทำท่ากังขา ก่อนจะแทบอ้าปาก ค้างเมื่อวาจาแสนเอาแต่ใจหลุดออกมาจากปากหยักของคนที่ ลอยหน้าหาท่ากวนๆ
“ก็จะให้เรียกป่า มีอะไรใหม
“ไม่มี ขี้เกียจมี” ที่สุดเธอก็ถอนหายใจออกมาอย่างยอมจำนน เพราะถ้ามัวแต่ต่อปากต่อคำไม่จบไม่สิ้นเห็นที่เธอจะไม่หลุดพ้น ไปจากตัวก่อกวนเป็นแน่ ซึ่งการยอมลงให้ก็ทำเอามุมปากหยัก กระตุกยิ้มด้วยความพึงพอใจ
“อ้อ…แล้วก็อย่าลืมด้วยล่ะ ว่าเธอติดกุ้งฉันสามตัว ฉะนั้นวัน หลังเธอต้องเลี้ยงข้าวฉัน ถ้าไม่เลี้ยงฉันจะตามไปกินที่บ้านเธอ เขาร่ายยาวย้ำเตือนอีกรอบ ทำเอาคนถูกบีบบังคับถึงกับกำหมัด แน่น
“ไอ้คนหน้าเลือด!” เธอกดเสียงต่ำประณาม แล้วก้าวฉับๆ จากไป ท่ามกลางการตกตะลึงขั้นสุดของคนที่โดนตอกหน้า ครั้น ตั้งสติได้ยัยแว่นตัวแสบก็เดินลิ่วจากไปเสียแล้ว
“เฮ้! อย่าเพิ่งไปสิวะ ด่ากันแล้วจะมาเดินหนีไปง่ายๆ อย่างนี้เห รอ” คนถูกด่าแบบไม่ไว้หน้าผุดลุกขึ้นตะโกนเรียกตามหลัง ก่อน จะคราม “ฮ่ม…ฝากไว้ก่อนเถอะยัยแว่นตัวแสบ!”
จากนั้นก็ทรุดกายลงนั่งด้วยท่าทางกระแทกกระทั้น
“ไอ้คนหน้าเลือด!”
คิมหันต์ทำเสียงเลียนแบบคิริมา ทำเอาคนถูกล้อหันขวับไป หน้าและตวัดตาอุ่นคลั่ก ใส่อย่างเอาเรื่อง ทว่านอกจากจะไม่กริ่ง เกรงแล้ว อีกฝ่ายยังรวมหัวกับอีกสองหนุ่มหัวเราะเยาะเขาเสียง ดังลั่นโรงอาหาร จะไม่ให้พวกเขาได้ไงหนุ่มฮอตสุดของ โรงเรียน โดนสาวดาแบบไม่ไว้หน้า
“เออ…ไอ้ป่า เมื่อกี้เห็นถึงตักผักของเขามากิน ซึ่งก็ไม่ชอบ กินผักไม่ใช่ไงวะ” เมื่อความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวเผ่าก็หันไป จ้องหน้าเพื่อน พร้อมเปิดประเด็นทันควัน
“ก็ใช่ แต่ก็พอกินได้” คนที่กำลังถูกเพื่อนตัวแสบไล่ อ้อมแอ้ม ตอบแบบไม่เต็มเสียงมากนัก ท่าทางดูไม่เป็นตัวของตัวเอง แถม ยังโหนกแก้มแดง อย่างยิ้มๆ หูแดง ทำให้สามหนุ่มต่างลอบมองตากัน
“แล้วทำไมถึงไปแย่งผักจากจานเขาวะ”
“ก็กูพอกินได้ไง ก็เลยเอามากินเอง
“แล้วสละกุ้งสุดโปรดของตัวเองให้เขาเนี่ยนะ” คราวนี้เป็น คุณชายธีรเดชที่ไล่ต้อนไอ้คนปากแข็งให้จนมุม การ การตกอยู่ใน สถานการณ์ถูกรุมทำให้พงษ์สวัสดิ์ออกอาการฮึดฮัด
“ก็เออสิวะ! พวกมึงจะมาเซ้าซื้อะไรนักหนา
เขากระแทกเสียงใส่ไอ้เพื่อนรู้มาก คว้าแก้วน้ำมาดื่มลึกๆ แล้วผุดลุกขึ้น จากนั้นก็เดินล้วงกระเป๋าตรงไปยังห้องเรียน โดยมี สามหนุ่มเดินตามมาติดๆ เสียงกลั้วหัวเราะพร้อมน้ำ ล้อเลียน ทำให้คนหน้าตายหันกลับไปหน้าเพื่อนซี้ทั้งสามอย่างเอาเรื่อง แต่นอกจากจะไม่สะทกสะท้านแล้ว เผ่า คิมหันต์ และธีรเดช ต่าง พากันดัดเสียงเลียนแบบคิริมาประณามเขาว่า “ไอ้คนหน้าเลือด
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ