ตอนที่ 12 ผมหวังให้เราเติบโตไปด้วยกัน
หลิงเล่ทําเหมือนไม่ได้ยิน ไม่มีคำตอบกลับ และไม่มีการเขียน ข้อความใด ๆ
มู่เทียนซึ่งเป็นกังวล เธอเดินนำไปแล้วกลับมาวางมือทั้งสอง ข้างเท้าไว้ที่วางแขนตรงรถเข็น แก้มเธอป่องเล็กน้อยและเอาแต่ จ้องเขา “ฉันกำลังพูดกับคุณอยู่นะ”
จั่ว หยุดเดินและนิ่งไป
ทำเพียงแค่มองภาพตรงหน้าที่มีความรู้สึกบางอย่างที่แพร่ ออกมา ตั้งแต่พบกับคุณหนู คุณชายสี่ก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมา
สายลมที่พัดผ่านทำให้กระโปรงสีฟ้าน้ำทะเลของมู่เทียนชิง เคลื่อนไหว เธอจ้องมองสายตาของหลิงเล่ที่เธอไม่อาจคาดเดา ได้ ความรู้สึกที่โลกนั้นเงียบมากแม้แต่เสียงนกร้องก็ไม่อาจ ได้ยิน ได้ยินเพียงลมหายใจของตัวเองกับหัวใจที่กำลังเต้นเป็น จังหวะ
“ทำไมแบไต๋ออกมาเร็วขนาดนี้ล่ะ?”
คำพูดของหลิงเล่ทำให้มู่เทียนชิงตกตะลึง
เธอลุกขึ้นยืนอย่างคนไม่รู้ตัว มองไปรอบ ๆ เพื่อมั่นใจว่าใน สวนนี้ไม่มีใคร จั่วหวั่นอยู่ไม่ไกลเพื่อดูต้นทางจากนั้นจึงหายใจ เข้าออกแล้วพูดเสียงเบา “แถวนี้ไม่มีใคร แต่ฉันไม่รู้ว่ามีกล้อง ไหม”
“ตรงนี้เป็นจุดบอด” หลิงเลยกมือขึ้นด้วยท่าทีสง่างาม ว เข็นรถไปข้างหน้า ในตอนที่ผ่านมเทียนซึ่งเขาก็พูดว่า “หน้าคุณ แดงหมดแล้ว”
หัวใจของมู่เทียนซึ่งพองโตด้วยความรู้สึกบางอย่าง มองไป รอบ ๆ เป็นครั้งที่สอง เอาแต่หายใจไม่เดินหรือลุกไปไหน แล้วก็ ไม่หันกลับไป น่ารำคาญจริง ๆ เลย!
ทำไมให้ความรู้สึกเหมือนเธอกำลังเจอกับคู่อริของตัวเอง
เดินตามไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับพูดว่า “คุณทำแบบนี้กับคน ที่ช่วยชีวิตคุณได้ยังไง มันหยาบคายเกินไปหรือเปล่า?
หลิงเล่คิดอย่างจริงจัง และพยักหน้าอย่างจริงจัง
มู่เทียนชิงล้างหูเตรียมฟังคำขอโทษจากเขา แต่เขากลับพูด
แค่ “อือ”
รถเข็นยังคงถูกเข็นต่อไป หลิงเล่ไม่แสดงออกอะไร มู่เทียนซิง รู้สึกเหมือนตัวเองจะเป็นบ้าก็เดินไปอีกครั้ง
จั่วหันกลับไปมองมู่เทียนซิงแล้วกลับมาพูดกับหลิงเล่ “คุณชายฉันว่าตอนนี้คุณหนูมดูไม่โอเคเลย
มุมปากของหลิงเล่โค้งอย่างมีนัย พร้อมตอบ “อือ”
จั่วซี “…”
อาหารถูกเสิร์ฟครบแล้ว มู่เทียนซึ่งใช้วิชามารยาทที่เรียนมา อย่างเคร่งครัด เมื่อมื้ออาหารจบลง เธอพาหญิงเลออกมาข้าง นอกด้วยเหตุผลว่าอยากไปดูบ้านในเมืองของหลิงเล่สักครั้ง
เดิมทีมเทียนชิงไปบ้านตระกูลหลิงเพื่อเป็นแขกเท่านั้น หลัง หยวนกล่าวว่ายินดีต้อนรับเธอเสมอ มู่เทียนซึ่งพยักหน้าตอบรับ
แต่กลับคิดในใจ “มันจะไม่มีครั้งหน้าอีกแล้ว!”
พอขึ้นรถ รอยยิ้มบนใบหน้าก็หายไปแล้วพูดกับหน้าต่างรถว่า “เข้าไปในเมืองส่งฉันลงข้างทางก็พอ ฉันจะนั่งแท็กซี่กลับบ้าน
เธอพยายามไม่มองหน้าหลังเล่
การอยู่กับศัตรู เพียงนาทีเดียวก็ยาวนาน
จั่วหนกับ วซีไม่พูดอะไร หลิงเล่เองก็ไม่ยอมเปิดปาก
หูฟังถูกใช้อีกครั้ง คราวนี้ไม่ยอมหลับตาเพราะกลัวว่าจะเลยที่ หมาย พอรถลงมาจากไฮเวย์จนเข้ามาในตัวเมืองก็ยกมือขึ้นตบ กระจก “หยุดรถ ฉันจะลงตรงนี้”
จั่วหนกับจั่วไม่กล้าหันกลับไปที่เบาะหลัง
“หยุดรถ ได้ยินไหม ฉันบอกให้หยุดไง!” ไม่ว่าเทียนซึ่งจะพูด เสียงดังแค่ไหน แต่เจ้าของรถคือหลังเล ถ้าหลิงเล่ไม่พูด ใครจะ กล้าขัดคำสั่ง
ช้เสียงทุ้มต่ำ ในขณะที่มู่เทียนซึ่งกำลังจะเป็นบ้า หลิงเล่ก็ใช้เสี ตัดบทพูดของเธอ “ไม่กลับไปดูที่บ้านแล้วเหรอ?
“อะไร?” เธอไม่รู้เลยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
หลิงเล่จ้องเธอ “เมื่อกี้ที่บ้านตระกูลหญิง คุณพูดเองไม่ใช่เหรอ ว่าอยากไปดูบ้าน ในเมืองของผม
มู่เทียนซิงพูดไม่ออก
เทพเจ้าธอร์ ปลิดชีพผู้ชายคนนี้เสียเถอะ
ดูภาพลักษณ์ที่ไร้เดียงสาของเขาสิ เห็นได้ชัดว่าเป็นหมาป่า
ในคราบแกะซัด ๆ!
เธอพยายามสงบสติและตอบด้วยน้ำเสียงปกติ “คราวหน้า วัน นี้ฉันเหนื่อยแล้ว”
ใบหน้าที่น่ารักจ้องมองเขา สายตาของเธอไร้เดียงสามากกว่า
เขา ความจริงใจเองก็มีมากกว่า
เขาพยักหน้า “ครั้งหน้าก็ได้ งานแต่งจะมีในอีกสามเดือน ผม วางแผนจะรีโนเวทบ้านใหม่ ถ้าคุณไม่อายเรื่องสภาพแวดล้อม ของบ้านที่ต้องอยู่ในอนาคตก็แล้วไป
ในใจมู่เทียนซึ่งเหมือนมีอัลปาก้ากว่าพันตัววิ่งอยู่ข้างใน
หลิงเล่พูดเบา ๆ “ก่อนหน้านี้คุณถามผมว่าพอจะมีที่สะดวกคุย กันไหม แต่ผมว่าคุณน่าจะไม่มีอะไรที่ต้องการคุยแล้ว งั้นก็ขอให้ เรามีความสุขกับการแต่งงานและอยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่าแล้ว กัน”
“เดี๋ยวก่อน!” เธอกำลังจะแบกรับมันไม่ไหวอีกแล้ว ใครเขา อยากอยู่กับเขาไปจนแก่เฒ่ากัน เพื่อประโยชน์ของเราที่จะอยู่ ร่วมกันอย่างมีความสุข พาฉันไปบ้านของคุณ!
“อือ”
เมื่อมเทียนซึ่งได้มาที่บ้านของหลิงเล เธอถึงเข้าใจว่า อูฐที่ ตายไปแล้วยังตัวใหญ่กว่ามา มันหมายความว่ายังไง
ตระกูลหลิงทอดทิ้งลูกชายไว้ในบ้านที่ดีขนาดนี้เลยเหรอ!
หลังคาแหลมกับผนังสีขาวนั่นก็ทำให้เทียนซิงคิดถึงมหา วิหารที่เธอเคยเห็นที่ไอร์แลนด์ แสงดวงอาทิตย์กำลังจะเข้ามาลักษณะที่สะท้อนผนังทำให้เห็น
ความแวววาวของไข่มุกแสดงถึงความลึกลับและศักดิ์สิทธิ์
มองไปรอบ ๆ ก็เจอห้องห้องเดียวตรงกลางชั้นสองที่มีหน้า ต่างบานใหญ่และสูงตั้งแต่พื้นถึงเพดาน ผ้าม่านสีเบจที่ใช้ปกปิด มุมภายในบ้าน หน้าต่างสีขาวที่เหมือนคริสทัลนั้นคือกระจกใสที่ ตัดแปะเป็นชิ้น ๆ ราวกับว่ามันไม่ใช่หน้าต่างแต่เป็นงานศิลปะ บนผนังชิ้นหนึ่ง
ถนนที่ถอดยาวไปจนถึงทางเข้าเป็นเพียงหญ้าสีเขียวกับ ดอกไม้ที่ไม่รู้สายพันธุ์ถูกปลูกเอาไว้ทั้งสองฝั่ง
มีที่จอดรถอยู่ทางซ้ายของสนามสามารถจอดรถ SUV ได้ถึง แปดคันกับทางขวาของสนามที่หญ้าเป็นสนามบาสขนาดเล็ก มีห่วงบาสสูง ๆ นั่นด้วยความสงสัยส่องประกายออกมาจาก สายตาของมู่เทียนชิง
สิ่งที่ล้อมรอบทั้งหมดนี้ไม่ใช่ประตูอิเล็กทรอนิกส์ที่มีการคุ้มกัน ขั้นสูงหรือประตูสีดำสุดเอลเลแก้น มันคือต้นยี่เข่ง ตอนนี้เป็นช่วง ดอกยี่เข่งบาน ดอกยี่เข่งที่ก็เบียดอัดกับกิ่งทำให้กลีบดอกร่วง เหมือนกับหิมะตกหนัก มีกลิ่นที่รอยไปตามลม และกลีบดอกไม้ที่
กระจัดกระจายตลอดทั้งวัน
เธอมองไปยังฉากตรงหน้าของเธอ
ยังไม่ทันได้เข้าบ้าน ฉันก็ตกหลุมรักมันเข้าแล้ว
หลิงเล่ถูกพาไปนั่งที่รถเข็น เขามองด้านข้างของเธอ โดยไม่ ต้องถามก็รู้เลยว่าเธอชอบที่นี่
เขาอยู่กับเธอเงียบ ๆ มองดูเธอเล่นกับฝนกลีบดอกไม้ รอ
อนาคตที่ไม่อาจคาดเดานั่น
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ