รอยยิ้มอบอุ่นของพ่อประธานซาต

บทที่ 16 พี่น้องแฝดชายหญิง



บทที่ 16 พี่น้องแฝดชายหญิง

บทที่ 16 พี่น้องแฝดชายหญิง

ฉินเสี่ยวเสี่ยวจากไปไม่นาน สังเจ๋อก็มาถึง เขานึกว่า ฉินเฟยยังนอนอยู่ แต่กลับพบว่าเขากําลังนั่งกอดหัวเข่า นัยน์ตาเซื่องซึมเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ท่าทาง โดดเดี่ยวเดียวดาย

ฉินเฟยที่เป็นแบบนี้ทำให้สังเจ๋อรู้สึกไม่สบายใจเป็น อย่างมาก ฝ่ามือที่กำหมัดแน่น แน่นเสียจนเล็บจิกเข้าที่ เนื้อหนัง ทําให้มองเห็นเลือดสีแดงสด มออกมา

“เฟยเฟยตื่นเมื่อไหร่น่ะ เสี่ยวเสี่ยวอยู่ที่นี่ค่อยดูแลเธอ ไม่ใช่เหรอ เขาไปไหนแล้วล่ะ ” สังเจ๋อพยายามควบคุม อารมณ์ตัวเองไว้ บนใบหน้ามีเพียงรอยยิ้มที่สดใสอ่อน โยนราวกับลมในฤดูใบไม้ผลิ

ฉินเฟยรู้ว่าเป็นสังเจ๋อ แต่ว่าเธอไม่ได้เงยหน้าไปมองเขา แม้แต่ลำตัวยังไม่ขยับเขยื้อนเลยสักนิด

“เฟยเฟย ฉันกำลังถามเธออยู่นะ? สังเจ๋อเดินมานั่งข้างๆ เตียงเธออย่างช่วยไม่ได้ และสบตากับเขา”

“เธอไปแล้ว”
“ไปแล้ว?” สังเจ๋อค่อยๆขมวดคิ้วเข้าหากัน “พวกเธอ ทะเลาะกันหรือ?”

“เธอวางใจได้ ตอนนี้ฉันก็แค่คนป่วยคนหนึ่ง ทําอะไร เสี่ยวเสี่ยวของเธอไม่ได้หรอก” ฉินเฟยพูดอย่างไร้ อารมณ์ความรู้สึก พูดจาเหน็บแนม

“เฟยเฟย ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น” สังเจ๋อตอน ที่ต้องเจรจาต่อรองกับคนอื่นสามารถตอบโต้ได้อย่าง คล่องแคล่ว แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าฉุนเฟย เธอมักจะทำให้เขา หมดคำพูด

มีบางเรื่อง บางคำพูด ที่เขาไม่ได้ให้ฉินเฟยรู้ทั้งหมด ซึ่ง การปิดบังแบบนี้ แน่นอนว่าจะเป็นการผลักฉินเฟย ให้ยิ่ง อยู่ยิ่งห่างออกไป แต่ก็ช่างมันเถอะ เฟยเฟยของเขาควร จะอยู่อย่างอิสระและมีความสุข ความทุกข์ที่เหลือให้เขา แบกรับไว้แทนเธอเอง

ฉินเฟยไม่รู้ความลำบากใจของสังเจ๋อ ยิ้มอย่างเฉยชา และถามอย่างดูถูก “ไม่ได้หมายความแบบนี้ แล้วเธอ หมายความว่าอะไร?”

ยังไม่รอให้ส่งเจ๋อพูดจบประโยค ฉินเฟยก็โบกมือไล่ อย่างหงุดหงิด “ช่างเถอะช่างเถอะ เธอไปเถอะ รีบไปหาว่าที่คู่หมั้นของเธอซะ อย่าอยู่ที่นี่ทำให้ฉันอารมณ์ไม่ดี”

“งั้นเธอก็พักผ่อนดีๆนะ มีเรื่องอะไรก็เรียกพยาบาลมา ช่วย พรุ่งนี้ฉันจะแวะมาเยี่ยมเธอใหม่

ส่งเจ๋อขมวดคิ้วแน่น ลุกขึ้นยืน เดินจากไปด้วยฝีเท้าที่ หนักหน่วง

หลังจากที่สังเจ๋อจากไป ฉินเฟยเรียกหมอมา เธอ สอบถามเรื่องสุขภาพของตัวเองและลูกในท้อง หมอจ่าย ยาบำรุงครรภ์ให้เธอ และกำชับเธอว่าช่วงระหว่างที่ตั้ง ครรภ์ควรจะมีจิตใจที่อารมณ์ดี อย่ากังวลมากจนเกินไป กินข้าวนอนพักให้ดี และที่สำคัญคือต้องออกกำลังกาย ด้วย

เนื่องด้วยปัญหาสุขภาพของแม่ มีช่วงหนึ่งที่ฉินเฟยต้อง ใช้ชีวิตอยู่ในโรงพยาบาลเป็นเวลานานมาก ทำให้เมื่อโต เป็นผู้ใหญ่เธอมีความรู้สึกต่อต้านโรงพยาบาลและกลัว อาชีพแพทย์ แต่ว่าครั้งนี้เธอกลับตั้งใจฟังทุกคำพูดที่หมอ พูด กลัวว่าจะพลาดประเด็นสำคัญอะไรไป

ตอนนี้เธอไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวแล้ว เธอจะไม่รักตัวเองไม่ ได้แล้ว ถือเสียว่าทำเพื่อลูกที่อยู่ในท้อง

เวลาผ่านไปเร็วมาก พระอาทิตย์ที่ขึ้นและลงผลัด เปลี่ยนกันไป เช้าวันใหม่ที่เริ่มขึ้นแสงแดดเจิดจ้าไปทั่วผืนนภา

วันที่สอง สังเจ๋อไม่ได้มา แต่ฉินเสี่ยวเสี่ยวมาแทน

“ทําไมเธอมาอีกแล้ว?” ฉินเฟยไม่อยากเห็นผู้หญิงที่ชอบ เล่นละครตบตาเสแสร้งคนนี้เลย

“ฉันรู้นะว่าเธออยากให้พี่สังเจ๋อมาเยี่ยม แต่ว่าเขาติด ภารกิจด่วนจากทางบริษัท เขาจึงรีบเดินทางไปที่บริษัท

และเขาไม่มาแล้ว”

“เขาจะมาหรือไม่ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉัน?”

“เขากับเธอไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกัน เธอรู้แบบนี้ ก็ดีแล้ว” ฉินเสี่ยวเสี่ยวโยนทะเบียนเล่มหนึ่งไปที่ฉินเฟย ถือว่าเป็นการเอาคืนเรื่องที่เธอโยนส้มใส่เธอเมื่อวาน “อัน นี้คือทะเบียนบ้านของเธอที่คนเดียว”

“นี่..….….….. ฉันเฟยไม่รู้ว่าใช่แบบที่เธอเข้าใจหรือไม่ มองไป ที่ฉินเสี่ยวเสี่ยวอย่างมึนงง

ฉินเสี่ยวเสี่ยวพูดไปด้วย สังเกตสีหน้าของฉินเฟยไป ด้วย “การที่เธอคลอดลูกจะต้องขัดใจหลินโยว์หลินอย่าง แน่นอน ถ้าหากตระกูลฉินไม่ตัดขาดความสัมพันธ์กับเธอ จะต้องได้รับผลกระทบจากเธอ ทั้งนี้เพื่อธุรกิจของตระกูล ฉิน คุณพ่อจำเป็นต้องอดกลั้นตัดขาดความสัมพันธ์กับเธอ หวังว่าเธอจะไม่โกรธพ่อนะ”

ฉินเฟยถึงแม้จะหมดหวังในตัวฉินชื่อ แต่ว่าเมื่อได้ยิน แบบนี้ในใจก็อดใจไม่ได้ที่จะเจ็บปวด ที่เธอมีสถานะ เป็นถึงคุณหนูใหญ่ตระกูลฉิน ก็เพียงแค่ต้องการยืนยัน สถานะแม่ของเธอเท่านั้น สิ่งที่เธอควรทำก็ทำไปหมดแล้ว ในเมื่อฉินชื่อหมดความอาลัยเช่นนี้ เธอก็ไม่มีอะไรที่ต้อง อาลัยอาวรณ์อีก เชื่อว่าคุณแม่จะต้องเข้าใจความลำบาก ใจของเธอ

ยิ่งไปกว่านั้นมีเพียงการตัดขาดความสัมพันธ์ ถึงจะ สามารถทําให้ลูกในท้องเป็นของเธอคนเดียว และเธอถึง จะสามารถคลอดเด็กคนนี้ออกมาอย่างปลอดภัย

ฉินเฟยไม่โกรธแต่กลับยิ้ม “นี่นะเหรอคือวิธีที่เธอช่วย ฉันคิดที่จะทําให้เด็กคลอดออกมาอย่างราบรื่น?

“คำพูดขอบคุณก็ไม่ต้องแล้ว ยังไงพวกเราก็เป็นพี่น้อง กัน”

“ฉินเสี่ยวเสี่ยวแผนการเธอดีนะ การที่ฉันตัดความ สัมพันธ์กับตระกูลฉิน ผลประโยชน์สูงสุดก็ต้องตกไปที่ เธอ ตระกูลฉินเป็นของเธอแล้ว ส่งเจ๋อจะต้องผิดหวังใน ตัวฉันมากที่ฉันยืนยันจะคลอดเด็กคนนี้ให้ได้ การผิดหวัง ในตัวฉัน เธอถึงจะมีความหวังล่ะสิ ” ฉินเฟยย่อมรู้ดีอยู่ แล้วว่าเธอแอบคิดแผนการอะไรอยู่ในใจ
แต่ว่าเธอไม่ได้สนใจมรดกของตระกูลฉินอยู่แล้ว และ ตอนนี้เธอก็ไม่สนใจผู้ชายที่ไม่ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของ เธอ ในเมื่อฉินเสี่ยวเสียวอยากได้ก็เอาไปเลย ความหวัง ที่ใหญ่ที่สุดของฉันเฟยในตอนนี้คือการกำเนิดชีวิตน้อยๆ ที่อยู่ในท้องออกมาอย่างปลอดภัยและแข็งแรง จากนั้นมี เขาอยู่เคียงข้างเธอ และเธอจะไม่เหงาอีกต่อไป สำหรับ พ่อของลูก ถึงเวลานั้นค่อยว่ากัน

“ฉินเฟยทั้งหมดนี่เป็นเพราะเธอบีบบังคับฉัน นับจากวัน นี้ไปเธอกับตระกูลฉินไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องอีก อย่าได้คิด แอบอ้างชื่อเสียงของตระกูลฉินในการทำเรื่องไม่ดีล่ะ เธอก็ทำตัวเองดีๆละกัน” เป็นคำเตือนที่ไร้เยื่อใย ฉิน เสี่ยวเสี่ยวจากไปโดยไม่หันกลับมา ใบหน้าแสดงรอยยิ้ม อย่างมีชัยเสมอ

นี่นับว่าเป็นครั้งแรกที่ชนะอย่างสวยงามในการปะทะ วาจาระหว่างฉินเฟยกับ ฉินเสี่ยวเสี่ยว

ห้องผู้ป่วยที่กว้างใหญ่ เหลือเพียงฉินเฟยคนเดียว เธอ มองไปที่เล่มทะเบียนบ้านที่มีเพียงชื่อเธออยู่โดดๆคน เดียว เหมือนกับสัมผัสได้ถึงชีวิตน้อยๆที่กำลังปลอบใจ เธอ

เหมือนเขากำลังพูดว่า คุณแม่รอหนูอีกไม่กี่เดือน มาอยู่เป็นเพื่อนแม่นะ แบบนี้แม่จะได้ไม่เหงาไง
ลูกรัก แม่มีเพียงหนูแล้วนะ

ฉันเฟยกลั้นน้าตาที่ไหลดั่งนํ้าฝนไว้ไม่อยู่

เจ็ดปีผ่านไป เมืองH ฝนตกหยิมๆติดต่อกันเป็นเดือน ถนนหนทางรวมถึงอาคารสิ่งก่อสร้างข้างทางล้วนเปียก ชุ่มไปด้วยน้ำฝน อารมณ์ความรู้สึกของคนที่เดินบนถนน ก็หดหู่ตกต่ำตามไปด้วย

ฉินเฟยเก็บร่มและตั้งใจสะบัดหยดน้ำฝนที่ติดอยู่บนร่ม ออก คว้ากุญแจไขประตูหมุนครึ่งรอบ เสียงปลดล็อคด้ง ขึ้น ประตูถูกเปิดออก เธอถอดรองเท้าไปด้วยและตะโกน เรียกไปทางห้องโถงใหญ่ “ลูกจ๋า คุณแม่ที่สวยที่สุดของ ลูกๆกลับมาแล้วจ้า”

“แม่รับลูกตัวเองไม่ทัน ดูเหมือนยังจะดีใจอีกนะ ” ฉิน โม่สวมใส่รองเท้าหมีที่ฉินเฟยซื้อให้ใหม่ เดินออกมาจาก ห้องโถง สีหน้าดูแข็งๆแสดงชัดว่าไม่สบอารมณ์

ฉินโม่ขมวดคิ้วหน่อยๆ ขนตาที่งอนยาวราวกับผีเสื้อที่ กำลังกางปีกบิน นัยน์ตาคมเข้มกับใบหน้าเย็นชา ทุกครั้ง ที่ฉินเฟยมองเขามักจะให้ความรู้สึกที่ว่าเหมือนเคยรู้จัก กันมาก่อน เขาเหมือนกับคนๆหนึ่งในรูปแบบคัดย่อ แต่ว่า เธอนึกยังไงก็นึกไม่ออกว่าเป็นใคร

“ขอโทษนะ แม่ไม่ได้ตั้งใจที่จะไม่รักษาสัญญานะ “สีหน้าที่เต็มไปด้วยการขอโทษของฉินเฟยมองไปที่ฉินโม่ เธอให้สัญญาว่าวันนี้หลังเลิกเรียนจะไปรับพวกเขา และ ยังบอกกับพวกเขาว่าอย่าวิ่งเล่นไปที่ไหนไกล แต่กลับ คาดไม่ถึงตอนใกล้เลิกงานหัวหน้ามอบหมายงานด่วนให้ เธอกะทันหัน กว่าเธอจะทำเสร็จก็ไม่ทันเสียแล้ว เธอจึง ให้เพื่อนบ้านช่วยรับพวกเขาสองพี่น้องกลับมาด้วย

“นั้นแสดงว่าแม่มีเจตนาไม่รักษาคำพูด” ฉินโม่ไม่หลงกล และทําปากปุยใส่

ฉินเฟยสวมใส่รองเท้าเสร็จแล้วเดินไปหา ยื่นมือไปอุ้ม ฉินโม่ขึ้นมาทันที จนไม่ทันระวังทำเอวเกือบเคล็ด

เธอลืมคิดไปว่าโมโม่มีอายุหกขวบแล้ว เขาไม่ใช่เด็ก น้อยกินนมเหมือนแต่ก่อน โตขึ้นจนเธออุ้มไม่ไหวแล้ว ฉิน เฟยค่อยๆวางฉินโม่ลงที่พื้น

เธออธิบายอย่างละเอียด “โมโม่ ระหว่างคนกับคนต้อง มีความเชื่อใจต่อกัน เดิมทีแม่จะไปรับพวกหนูนะ แต่ว่า เจ้านายแม่สั่งงานกะกันหันแบบเยอะมาก บอกว่าพรุ่งนี้จะ ต้องต้อนรับบุคคลสำคัญท่านหนึ่ง วันนี้จึงต้องเตรียมการ ให้เสร็จ ดังนั้นแม่จึงไปรับลูกไม่ทัน

“โอเคเชื่อแม่ก็ได้ แต่ว่าผมก็ยังไม่ดีใจเหมือนเดิม” เสียง อ่อนใสๆของฉินโม่ที่แฝงด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ผมรู้สึกว่าแม่ยังมีคำพูดที่พูดไม่หมด พูดให้หมดเลยนะ”

“ลูกแม่ ฉลาดที่สุดเลย…” ฉินเฟยเดิมที่แค่คิดจะพูดเก รื่นหน่อยๆ แต่ว่าโดนฉินโม่พูดขัดเสียก่อน “แม่ ผมกับเชิง เชิง ไม่ใช่เด็กเด็กแล้วนะ แม่พูดมาตรงๆเถอะ เรื่องร้าย แรงอะไรก็ตามพวกผมรับได้อยู่แล้ว ในเมื่อตั้งแต่เล็กแม่ก็ ยุ่งอยู่กับงานตลอด ความรักที่มีต่อพวกผมมันน้อยเต็มที ”

ฉินเฟยไร้คำพูด อะไรกันที่เรียกว่าตั้งแต่เล็ก ตอนนี้พวก เธอเพิ่งจะหกขวบเองนะ แล้วอะไรกันที่เรียกว่าเรื่องร้าย แรงอะไรก็ตาม ลูกกำลังสร้างเรื่องโศกนาฏกรรมอยู่หรือ?

“แม่แค่อยากพูดว่าบางที บางทีนับจากวันพรุ่งนี้เป็นต้น ไปแม่จะยุ่งมากเลย เบื้องต้นประเมินได้ว่าประมาณสิบ วัน” ฉินเฟยทำท่าเลขสิบ มองไปที่ทูนหัวน้อยของเธอ อย่างระมัดระวัง

เธอเป็นแม่คนที่น่าอับอายเสียจริงๆ มีเรื่องอีกมากมาย ที่ยังต้องให้ลูกชายช่วย มีเรื่องมากมายที่ต้องให้ลูกชาย คอยตักเตือน และที่สำคัญกว่านั้นคือมีเรื่องมากมายที่ ต้องให้ลูกชายเห็นชอบก่อน เธอถึงจะวางใจแล้วลงมือทำ

แล้วใครใช้ให้ตอนที่ฉินโม่โกรธ ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะกลัวล่ะ ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรที่ทําให้เด็กอายุหกขวบ คนนี้มีท่าทางทางอารมณ์ที่เย็นยะเยือกแบบนี้ได้

ฉินโม่ที่ได้ยินคำพูดของฉินเฟยทำปากมุ่ยจนจะทะลุไป หัวด้านหลังอยู่แล้ว เซลล์ในร่างกายร้องตะโกนไม่เห็น ด้วย “แม่ไม่เชื่อฟังอีกแล้ว บอกว่าให้ทํางานน้อยๆหน่อย ผมโตแล้วจะดูแลแม่กับน้องเอง”

ถึงแม้จะรู้ว่าคำพูดของเด็กมันไร้เดียงสา แต่ว่าทุกครั้งที่ ได้ยินฉินโม่พูดแบบนี้ เธอก็ รู้สึกซาบซึ้งใจอย่างห้ามไม่ ได้ การที่ต้องเลี้ยงดูลูกสองคนจนเติบโต เธอลำบากจริงๆ แหละ แต่ว่าทุกครั้งที่มองเห็นใบหน้ายิ้มแย้มของพวกเขา ทั้งสอง ร่างกายเธอก็เต็มไปด้วยพลังอีกครั้ง

“โม่โม่ แม่รู้ว่าหนูเห็นบริษัทโฆษณาหลายแห่งติดต่อมา หาแม่ ถึงแม้จะเป็นแค่การถ่ายโฆษณาเสื้อผ้าเด็ก แต่แม่ ไม่อยากให้หนูออกไปหาเงินตั้งแต่อายุยังน้อยๆแบบนี้ แม่ มีมือมีเท้าสามารถเลี้ยงดูหนูกับน้องได้ อีกทั้งการที่แม่ เลี้ยงดูลูกก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วไม่ใช่หรือ? พวกหนูแค่ ตั้งใจเรียนดีๆก็พอแล้ว” ฉินเฟยตบที่ไหล่น้อยๆของเขา พร้อมยิ้มตาหยีให้

ฉินเฟยจูงมือฉินโม่แล้วเดินเข้าไปข้างในและพูดกับเขา ว่า “แม่เคยพูดตั้งหลายครั้งแล้ว ว่าลูกมีใบหน้าที่หล่อ ขนาดนี้ ควรจะยิ้มให้มากๆเหมือนกับน้องสาวนะ ลูกเป็น เพียงเด็กคนหนึ่ง แต่กลับเหมือนผู้เฒ่าที่เต็มไปด้วยสีหน้า เคร่งขรึม ได้ยินเพื่อนบ้านเล่าว่าลูกทำให้เด็กผู้หญิงคนหนึ่งตกใจกลัวจนร้องไห้ ซึ่งมันจะส่งผลต่อ สายสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนบ้านได้นะ อีกหน่อยถ้าแม่ต้อง รบกวนให้เพื่อนบ้านช่วยรับพวกหนูกลับมาก็จะไม่มีใคร ช่วยเหลือแล้ว

ฉินเฟยคิดว่าการพูดแบบนี้คือการพูดอธิบายอย่างมีเหตุ มีผล ฉินโม่น่าจะฟังเข้าใจ แล้ว

“แม่เอาผมกับน้องไปฝากเลี้ยงที่บ้านเพื่อนบ้านเลยจะดี กว่า ในเมื่อในระยะยาวยังมีแผนที่จะให้คนอื่นช่วยรับส่ง หลังเลิกเรียน” ฉินโม่ ตีแผนของฉินเฟยแตกอย่างรวดเร็ว

“แม่คะ เด็กผู้หญิงคนนนั้นไม่ได้ร้องไห้เพราะกลัวนะคะ เธอชอบมากอดไม่โม่ อีกทั้งกอดแล้วไม่ยอมปล่อยด้วย โมโม่ทําเพื่อสายสัมพันธ์เพื่อนบ้านตามที่แม่บอก ก็เลย ไม่ได้ลงไม้ลงมือ แต่ว่าเธอยังไปจูบโม่โม่อีก ทีนี้โม่โม่ทน ไม่ได้แล้วก็เลยผลักเธอออกไป เธอก็เลยร้องไห้ค่ะ ” ฉิน เชิงที่เพิ่งตื่นนอนมีอาการงัวเงียและเดินออกมาจากห้อง นอน ผมหยิกๆ ดวงตากลมโตดั่งผลองุ่น เปล่งประกาย แวววาว กระโปรงเจ้าหญิงสีชมพูที่ช่วยขับผิวของเธอให้ ดูขาวน้ำนมมากขึ้น รอยยิ้มสดใสบนใบหน้าราวกับดอก ทานตะวันหนึ่งดอกที่เคลื่อนที่ได้

เด็กผู้หญิงที่เดินออกมาจากห้องนอนคือน้องสาวฝาแฝด ของฉินโม่ ตอนนั้นฉินเฟยตั้งครรภ์ลูกสองคน ฉินเซิงเกิด หลังฉินโม่หนึ่งนาที ก็มีช่วงหนึ่งที่สองพี่น้องมักจะถกเถียงกันว่าใครใหญ่กว่ากัน จนสุดท้ายฉินเฟยถึง ขั้นต้องแยกพวกเขาออกจากกันเพื่ออบรมสั่งสอน ทั้งสอง ถึงจะยอมสงบลง

สาเหตุที่ฉินเฟยตั้งชื่อลูกทั้งสองแบบนี้ คือตั้งใจให้ลูกใช้ นามสกุลของเธอและใช้ชื่อของพ่อ แต่ว่าเธอไม่รู้ว่าพ่อ ของเด็ก ออะไร เขาคนนั้นสําหรับเธอแล้วก็คือคนแปลก หน้าคนหนึ่ง ก็เลยยอมรับไปเลยว่าพ่อของลูกชื่อโม่เชิง

ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่มาของชื่อฉินโม่ และ ฉันเชิง


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ