ตอนที่ 3 นางชนะแล้ว
ตอนที่ 3 นางชนะแล้ว
ตอนที่ทั้งสองคนกำลังพูดอยู่นั้นแม่บ้านหลิวก็เดินเข้ามา ประตูลานบ้าน นางพาสาวใช้ สอง คนตามมาด้วย ทั้งสามคน ล้วนมีสีหน้าเบิกบานใจ “คุณหนูสี่ตื่นแล้วรึ ช่างบังเอิญซะจริง นายท่านญาติโดยการสมรสได้มาสู่ขอ ตอนนี้กำลังรออยู่ห้อง รับแขก”
หลินซีนเยียนเหยียดยิ้มที่มุมปาก ไม่ได้ตอบแม่บ้านหลิวกลับ สักคำ เพียงก้าวเท้าเดินออกไปที่ห้องรับแขกอย่างช้า ๆ
“คุณหนู รอก่อนเจ้าค่ะ วันนี้หิมะตกหนัก ให้ข้ากางร่มให้ ท่าน”เสี่ยวอรี่รีบเดินตามมา
หลินซีนเยียนหยุดฝีเท้า เงยหน้ามองหิมะที่กำลังลอยอยู่ นางอันร่มกระดาษเคลือบน้ำมันที่เสี่ยวอวี่กางให้ออก ช่าง
เถอะ ไม่ต้องกางแล้ว หิมะไม่ได้เย็นสักเท่าไร
แม้หิมะจะเย็นก็เทียบกับหัวใจที่เป็นน้ำแข็งของนางตอนนี้ไม่
ได้
วันนี้นางสวมชุดยาวสีชมพูดอกท้อที่เป็นมงคล คลุมเสื้อคลุม ขนสัตว์ที่เอามาจากอ๋องอู่เสวียนเมื่อคืน เงาร่างเล็กที่เดินอยู่ ท่ามกลางหิมะโปรยปรายช่างดูเปล่าเปลี่ยวใจ
เสี่ยวอวี่มองดูสีหน้าที่สงบนิ่งของนาง จึงอดไม่ได้ที่จะโศก เศร้า นางทิ้งร่มกระดาษเคลือบน้ำมันแล้วเดินตามหลังไป
“คุณหนูสี่มาแล้ว รีบมาพบท่านเสนาบดีเฉินเร็วเข้า วันนี้ท่าน เสนาบดีเฉินมาสู่ขอด้วยตนเอง ”
เมื่อนางฮูหยินของจวนแม่ทัพเห็นหลินซีนเยียนปรากฏที่หน้า ประตู ก็รีบลุกขึ้นมาต้อนรับนางอย่างอบอุ่น สายตาเต็มไป ความเมตตามองมา ทำให้หลินซีนเยียนแทบจะตัวสั่นไม่หยุด
หลินซีนเยียนยังคงยืนอยู่ไม่ได้เดินเข้ามา เพียงเงยหน้ามอง บุรุษที่นั่งบนเก้าอี้ตำแหน่งประมุข หลินโสงฉี แม่ทัพคุ้มกัน เมืองอวิ๋น เป็นท่านพ่อของนางเพียงแค่ในนาม
“นี่คือคุณหนูสี่ของตระกูลหลิน อย่ายืนที่หน้าประตูเลย หิมะ ตกหนัก รีบเข้ามาข้างในก่อน”ชายชราที่นั่งอยู่ทางด้านซ้าย มือของหลินโสงฉี ที่ดูแล้วจะอายุมากกว่าหลินโสงฉีอยู่หลาย ส่วน
หลินซีนเยียนมีสีหน้าเรียบเฉย สามารถรู้สึกถึงความ ปรารถนาที่ส่งออกมาจากสายตาของเสนาบดีเฉินอย่างเด่น ชัด
ความปรารถนาเช่นนี้ นางเห็นมาเยอะแล้ว ตั้งแต่ที่นางเริ่ม โตเป็นผู้ใหญ่ บุรุษแต่ละคนที่มองนางล้วนส่งสายตามาแบบนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ร่างกายที่ปรากฏส่วนนูนส่วนเว้าได้อย่างชัดเจน ทุกครั้งที่นางอาบน้ำก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึก ปลาบปลื้ม
“ท่านเสนาบดีเฉินพูดเช่นนี้แล้ว ทำไมเจ้าถึงยังยืนอยู่ตรง นั้น”หลินโสงฉีเห็นว่านางยังคงยืนอยู่ไม่ได้เดินเข้ามา สีหน้าก็ เคร่งขรึมลง
บรรยากาศดูอึมครึมอย่างมาก หลินซีนเยียนยิ้มบาง ๆ แล้ว ยกกระโปรงขึ้นและเดินเข้าไปในห้องรับแขก ทุกจังหวะใน การเดินก้าวเท้าล้วนสง่าผ่าเผย
นางเดินผ่านเฉินฮูหยินและเดินตรงไปข้างหน้าของเสนาบดี เฉิน จากนั้นก็ยิ้มอย่างอ่อนหวานให้โดยที่ไม่ได้พูดอะไร เพียง จับแขนเสื้อขึ้นอย่างช้า ๆ ข้อมือเนียนขาวใสปรากฏออกมา
บนข้อมือที่เนียนนุ่มนั้นไม่มีร่องรอยของจุดแต้มแต่อย่างใด แต่ทำให้คนที่มองรู้สึกตกตะลึงอย่างมาก
ในสังคมที่ชายเป็นใหญ่ ตอนที่ลูกสาวเกิดก็มีการแต้มโส่วกง ซา ฉะนั้นสตรีที่ยังไม่ออกเรือน ล้วนมีโส่วกงซาเช่นนั้นจึง ไม่ให้ลูกสาวออกจากห้องเพราะว่ามีจุดแต้มโส่วกงซานี่
-โส่วกงซา การแต้มจุดแดงบนชีพจรมือขวาของทารกหญิง แรกเกิดเพื่อแสดงเครื่องหมายของหญิงสาวพรหมจรรย์
บนข้อมือที่เนียนนุ่มของหลินซีนเยียน จุดแต้มโส่วกงซาหาย
ไปแล้ว!
“เจ้า! “เฉินฮูหยินรีบเดินเข้าไปจับข้อมือของนางสํารวจไป มาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ไม่พบจุดแต้มของโล่วกงซาสักรอย
เสนาบดีเฉินเริ่มรักษาหน้าไว้ไม่อยู่ จึงลุกขึ้นและประสานมือ ค่านับหลินโสงฉี อยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ไม่ได้เปิด ปากพูด สุดท้ายก็สะบัดแขนเสื้อและเดินออกไป
“อับอายขายหน้าที่สุด! คลุกเข่าลงเดี๋ยวนี้! “หลินโสงฉี โกรธจัดยกมือขึ้นมาตบหน้าหลินซีนเยียนอย่างเหลืออด
เขาเป็นขุนศึก แรงตบเพียงหนึ่งครั้งก็มีรอยมือแดง 5 นิ้วก็ ปรากฏบนใบหน้าของหลินซีนเยียนทันที
“ขายข้าให้กับตาแก่ใกล้จะตาย ข้ายังเอาหน้าไว้ทำไม ”
หลินซีนเยียนแสยะยิ้ม แล้วบ้วนเลือดที่อยู่ปากออกมา พลางยกมือขึ้นเช็ดรอยเลือดที่อยู่มุมปาก นางจ้องมองที่ ใบหน้าที่บูดเบี้ยวของหลินโสงฉีอย่างไม่กระพริบตา
นางอยากจดจำใบหน้านี้ได้ นอกจากเพื่อความบริสุทธิ์ที่ ตนเองเสียไปแล้ว ยังเพื่อลูกสาวที่ถูกเขาฆ่าตายในเมื่อหลาย ปีก่อน
หลินโสง โกรธจนพูดอะไรไม่ออก เฉินฮูหยินรีบเดินเข้ามา “เด็กบ้า เจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร พวกเราเป็นคนใน จวนแม่ทัพ ยังจะต้องขายลูกสาวเพื่อกินอีกรึ ข้ากับพ่อของ เจ้าล้วนมีเจตนาดีที่จะหาคู่ครองที่ดีให้กับเจ้า เจ้าไม่เข้าใจ แล้วยังมากล่าวว่าพวกเราเช่นนี้ได้อย่างไร
“คู่ครองที่ดี “หลินซีนเยียนแสยะยิ้ม “พี่สามอายุมากกว่าข้า 2 ปี ตอนนี้นางยังไม่ได้ออกเรือน หากคู่ครองดีเช่นนี้ ทำไมไม่ ให้พี่สามไปแต่งกับเขาเล่า ”
ฐานะของซินเอ๋อหาได้เปรียบกับฐานะต่ำต้อยอย่างเจ้าที่ เป็นลูกเมียน้อยได้ “โยงเรื่องมาที่ลูกสาวของตนเอง ในที่สุด เฉินฮูหยินก็เริ่มโมโหขึ้นมา
ใช่สิ นางเป็นลูกของเมียน้อยที่ต่ำต้อย เช่นนั้นแล้วชีวิตของ นางก็ไม่ใช่ของนาง แต่เป็นเพียงการะที่หลงเหลือไว้หลังจากที่ แม่ทัพฉินได้เสพสุขแล้ว
หลินซีนเยียนส่งเสียงหัวเราะเบา ๆ ใบหน้าที่ซีดขาว มีรอย ยิ้มที่สดใส ภาพนั้นช่างสวยงามอย่างน่าเวทนายิ่งนัก
หลินโสงฉีเกิดบันดาลโทสะ มือยื่นไปที่ชั้นเก็บดาบ และชัก ดาบยาวออกมาจากฝัก เพียงแค่ลงดาบครั้งเดียวก็สามารถ ปลิดชีพของลูกสาวที่ไม่รักดีคนนี้ได้!
“ท่านอยากจะฆ่าข้าเลยรึ ทำไมถึงไม่ถามหาคนที่พราก พรหมจรรย์ของข้าไป” หลินซีนเยียนดึงเสื้อคลุมที่สวมใส่บนตัวออกและโยนไปทางเขาทันที
เสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกที่หาพบได้ยาก โดยเฉพาะขนสีดำ สนิทเช่นนี้ด้วยแล้ว
ข่าวลือที่ว่าฮ่องเต้องค์ก่อนเคยพระราชทานเสื้อคลุมหนึ่งตัว ให้กับอ๋องอู่เสวียน เป็นเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกสีดำสนิทอย่าง ตัวนี้ ด้วยนิสัยที่เจ้าเล่ห์และโหดเหี้ยมของอ๋องอู่เสวียนแล้ว สิ่งของที่เป็นของเขาทั้งหมดล้วนไม่อนุญาตให้ผู้อื่นแตะต้อง เด็ดขาด
เช่นนั้นแล้ว เหล่าผู้ทรงอิทธิพลในเมืองเฟิงซีเพื่อที่จะหลีก เลี่ยงการปะทะกับเขา ช่วง 10 ปีที่ผ่านมานี้ไม่มีใครกล้าสวม ใส่เสื้อคลุมสุนัขจิ้งจอกอีกเลย
“อ๋อง อ๋องอู่เสวียน…”หลินโสงฉีจับเสื้อคลุมตัวนั้น สีหน้า เคร่งขรึม
เฉินฮูหยินได้ยินชื่อของอู่เสวียนเพียงไม่กี่คำก็ตกตะลึงอย่าง มาก พลันมองไปที่สายตาของหลินซีนเยียนในช่วงขณะหนึ่งก็ เริ่มหวาดผวา
อ๋องอู่เสวียนมีอำนาจมากจนสามารถทำให้ฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ก็ต้องเกรงใจให้ หลินโสงฉีเป็นแค่แม่ทัพคุ้มกันเมือง ไม่อาจ เผชิญหน้ากับอ๋องอู่เสวียนได้โดยตรง เพียงอ๋องอู่เสวียนเดิน ย้ำเท้ามาก็ยากที่จะเป็นไปได้แล้ว
“ช่างเถอะ!” หลินโสงฉีโยนดาบยาวทิ้ง โบกมือให้เฉินฮู หยินที่อยู่ข้างกายและกำชับ”หาคนส่งนางไปนอกเมือง ชาตินี้ อย่าให้นางกลับมาที่จวนของข้าได้
คำพูดคำเดียว ให้กำหนดชีวิตความเป็นความตายของหลิน ซีนเยียนไปแล้ว
ในโลกของจักรพรรดิและบุรุษเป็นใหญ่ สตรีเป็นเพียงส่วน ประกอบเล็ก ๆ
ในช่วงเวลานี้ นอกประตูนั้น หิมะยิ่งตกยิ่งหนัก
แต่ไม่มีใครเห็น หลินซีนเยียนที่กำลังก้มหน้าอยู่ มุมปากมี รอยยิ้มที่พึงพอใจ
นาง เดิมพันชนะแล้ว!
นางใช้วิธีเสี่ยงๆ สูญเสียพรหมจรรย์ แถมยังเกือบเสียชีวิต ไป ก็แค่เพื่ออยากจะไปจากลงทุนจวนแม่ทัพที่ขังนางอยู่ใน กรงมา 3 ปี
หน้าประตูเมือง ทหารม้ากว่าร้อยนายเดินเข้าล้อมรถม้าคัน ใหญ่หรูหราคันหนึ่ง เดินออกจากเมืองไปช้าๆ ทหารคุ้มกัน เมืองที่ขนานอยู่สองด้านถอยหลังออกอย่างให้ความเคารพ ไม่มีใครกล้าปริปากถามออกไปสักคน
พอออกจากประตูเมือง เสียงที่เกียจคร้านก็ดังมาจากในรถม้า “จินมู่ หาสตรีผู้นั้นเจอหรือยัง”
จินมู่ที่ขี่ม้าสีดำตัวใหญ่รู้สึกชินชา” กราบทูลท่านอ๋อง หอ โคมเขียวที่เมืองอวิ๋นได้ไปหาทั่วแล้ว ไม่พบร่องรอยของนาง ส่วนแม่เล้าที่หอชุนเยว่ทนการรับโทษไม่ไหวจึงสิ้นใจอยู่คุก แล้วขอรับ
“หายตัวไปได้อย่างไร เจ้าว่า แบบนี้มันเรียกว่ารุกแล้วถอย ไปหรือว่าจะนางคลั่งไคล้ในตัวข้าจริง” เสียงของโม่จื่อฟงฟัง แล้วยากเกินคาดเดาอารมณ์ได้
จินม่รู้สึกอึดอัด ไม่กล้าตอบกลับ เมื่อวานเขาวิจารณ์สตรีผู้ นั้นไปแค่ประโยคเดียว เกือบถูกท่านอ๋องส่งไปชายแดน ตอน นี้หากเอ่ยถึงสตรีผู้นั้นอีก ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่กล้าพูดตาม อำเภอใจได้อีก
โม่จื่อฟงเหมือนรู้ความคิดของเขา จึงพูดดังขึ้น “จินมู่ สตรีผู้นั้นเป็นแค่ของเล่นเท่านั้น เจ้าติดตามข้ามาหลายปี เจ้า คิดว่าเพื่อของเล่นชิ้นหนึ่ง ข้าจะส่งลูกน้องตนเองไปชายแดน เลย”
“ไม่ขอรับ”จินมู่รู้สึกโล่งใจ แต่ปัญหาที่เขาหยิบยกมาก็ยังไม่ กล้าตอบตามอำเภอใจอีกแล้ว
คนในรถม้าเห็นว่าจินมู่ที่ไม่ได้ตอบกลับอะไรอีก ไม่ได้โกรธ กลับพูดอย่างสนใจ “แต่ว่า ข้าไม่เจอของเล่นแบบนี้มานาน แล้ว เช่นนั้นให้เวลาเจ้าหนึ่งเดือนพาตัวนางมาพบข้ามิเช่นนั้นเจ้าเตรียมตัวไปแทนหลังสียที่ชายแดนตอนเหนือใต้
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ