ตอนที่ 67-5 เหล่าสะใภ้ห้ำหั่นกัน
กับข้าวแต่ละอย่างถูกยกมาวางลงบนโต๊ะ
อาหารเรียงรายอยู่เต็มโต๊ะ เจิดจ้าดุจทอง เขียวดุจมรกต ขาวดุจครีมประทินผิว
นี่ไม่ใช่อาหาร แต่เป็นเงินทั้งสิ้น ไปเสงี่ยฮุยเห็นแล้วก็ ปวดใจ ค่อยๆ ละเอียดทีละนิด ด้วยเกรงว่าจะไม่รู้รส กับข้าว เหล่านี้ แม้แต่นางเองปกติก็ยังไม่ค่อยได้กิน
ทว่าหวงน้าสี่กลับไม่เกรงใจแม้แต่น้อย กินอย่างมูมมาม
เหมือนมือโป๊ยก่ายอย่างไรอย่างนั้น คืบแต่คำใหญ่ๆ เข้าปาก
เพราะถึงอย่างไรตนเองก็ไม่ใช่คนออกสตางค์ กับข้าวเหล่านี้
แพงหูฉีจริงๆ แต่ก็เรียกน้ำย่อยสู้พวกผักดองหัวไชเท้าไม่ได้
บางครั้งก็เงยหน้าขึ้น เหลือบมองน้องสะใภ้ แล้วยกกับข้าว
ราคาแพงมาไว้ตรงหน้าลูกๆ ก่อนว่า
“รีบกินเร็ว เย็นแล้วไม่อร่อย
ไปเสวี่ยฮุยไหนเลยจะกินลง วางตะเกียบ ดื่มน้ำแกงไม่กี่ คำ ก็ไม่ค่อยได้กินอะไรอีก
พอคนทั้งกลุ่มกินมื้อเที่ยงที่เทียนซึ่งเหลาเรียบร้อย ก็เดิน ลงชั้นล่าง ก้าวขึ้นรถม้าไป
การออกนอกบ้านในวันนี้ ไปเสงี่ยฮุยคำนวณมาก่อนแล้วว่า ค่ากินค่ารถต่อหัวต้องใช้เงินเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ เพิ่งเริ่มต้น ก็ถูกพี่สะใภ้ตีรวนแล้ว จึงรู้สึกไม่พอใจยิ่ง คิดไม่ถึงว่าหญิง บ้านนอกผู้นี้จะไร้มารยาทถึงเพียงนี้ ไม่มีความเกรงใจแม้แต่ น้อย ข้าวมื้อหนึ่ง ผลาญเงินนางไปเต็มๆ สามสิบกว่าตำลึงเงิน
นางจึงพกความรู้สึกโกรธ ขณะพาคนทั้งกลุ่มไปยังวัดทาง ทิศตะวันออก
ผ่านถนนที่คึกคักจอแจ ซึ่งพอดีกับช่วงหลังอาหารกลาง วัน ซึ่งผู้คนออกมาเดินย่อยมากที่สุดของวัน
อาเมารบเร้าจะลงไปให้ได้ หวงน้าสี่จึงบอกให้หยุดรถ แล้วพาลูกๆ ลงเดิน
ไปเสวี่ยฮุยทำอะไรไม่ได้ ได้แต่บอกให้รถมาหยุด แล้ว พากลุ่มคนทั้งกระบี่เดินตามไป
เห็นหวงน้าสี่พาลูกๆ ทั้งสองเดินตรงเข้าไปในร้านขาย เสื้อผ้าร้านหนึ่ง
รอจนไปเสงี่ยฮุยก้าวเข้าไปในร้าน ก็เห็นหวงน้าสี่หยิบชุด ผ้าไหมมันวาวสีโอรสชุดหนึ่งขึ้นมาทาบตัว แล้วหยิบชุด กระโปรงเด็กเกาะอกพร้อมเสื้อคลุมพื้นขาวลายผีเสื้อห้าสีมา ทาบตัวอาจ
สองแม่ลูกมือเท้าว่องไวมาก ไปเสวี่ยฮุยยังไม่ทันตั้งสติ ทั้งสองก็ถือเสื้อผ้าไว้ในมือคนละชุด แล้วเดินเข้าไปเปลี่ยนด้าน ใน
ไปเสงี่ยฮุยหรี่ตามอง ต้องตำหนิตัวเองที่ดูเบาสะใภ้บ้าน นอก ซึ่งไม่ไว้หน้าตนและหาความเกรงใจไม่มีสักนิดเลยจริงๆ
ไปเสงี่ยฮุยรอจนพวกนางออกมา ก็เห็นหวงน้าสี่จับ กระโปรงอาจให้เข้าที่ ยิ้มพลางว่า “มามะ แบบนี้ถึงจะสวยนะ แล้วจึงหันมองไปเสวี่ยฮุย
“น้องสะใภ้ดูสิ เหมาะกว่าชุดที่เจ้าเอาให้เราสองแม่ลูกใส่ เสียอีก พี่เห็นเสื้อผ้าที่เหล่าคุณหนูในเมือง ใส่แล้วตื่นตาตื่นใจ จริงๆ จึงทนไม่ไหว เจ้าอย่าถือสาเลยนะ
ไปเสวี่ยฮุยกัดฟัน ยิ้มแหยๆ “ไม่เป็นไร
พอหวงน้าสี่เปลี่ยนชุดใหม่เรียบร้อย ก็พลอยหยิบของใน ร้าน พวกเครื่องประดับศีรษะและเอวที่เข้ากับชุดไปด้วย สุดท้ายรวมเป็นเงินเท่าไหร่ ไม่ต้องพูดถึง ไปเสงี่ยฮุยย่อม
เป็นคนควักกระเป๋า
วันนี้นางจ่ายไปไม่น้อย เป็นเงินเดือนที่นางได้ในแต่ละ เดือนมากต่อมาก แม้บอกว่าขอเบิกกับท่านพี่ได้ แต่ท่านพี่เป็น คนมัธยัสถ์ ถ้าเห็นนางใช้เงินมากขนาดนี้ ย่อมไม่ชอบ และไม่ โทษพี่สะใภ้ จะโทษก็แต่นางที่ไม่รู้จักปราม ไม่รู้จักสะกิด
พอออกจากร้านขายเสื้อ ไปเสงี่ยฮุยกชายตามองสองแม่ ลูกที่หัวร่อต่อกระซิกกันอยู่ด้านหลัง ช่างเถอะๆๆ ก็แค่เสื้อผ้า
สองชุด ขนาดอาหารมื้อละสามสิบกว่าตำลึงเงินก็กินมาแล้ว กลัวก็แต่หวงน้าสี่จะเล่นลูกไม้ต่อ ถนนคนเดินยาวสิบห้าสองฟากฝั่งเต็มไปด้วยร้านรวงหรูหรา นางอาจทนไม่ไหว ซื้อ นั่นซื้ออย่างไม่ลืมหูลืมตาอีก
พอเห็นพี่สะใภ้มองซ้ายมองขวา ไปเสงี่ยฮุยก็ร้อนรน รีบ จับแขนนางไว้ ยิ้มตาหยี แล้วว่า “พี่สะใภ้ นี่ก็สายมากแล้ว เรา ยังต้องไปวัดกันอีก วันหลังค่อยมาเดินก็ได้ ไม่รีบ ไปกันเถอะ
หวงน้าสี่จับมือนางไว้ วางลง แล้วยิ้มยิงฟัน อย่างไรตนก็
จะต่อกรกับนาง ถ้านางมาขวา ตนก็ไปซ้าย
“น้องสะใภ้ วัดไม่ต้องไปก็ได้ การจุดธูปไหว้พระและ ชื่นชมของโบราณเงียบๆ สูงส่งเกินไป เหมาะกับพวกผู้ดีอย่าง พวกเจ้า แต่ไม่เหมาะกับเรา ชาวบ้านอย่างเราชอบความ ครึกครื้น ที่ไหนคึกคักก็ไปที่นั่น ร้านนั้นสีทองอร่ามสวยดี ไม่รู้ ร้านอะไร ถ้าอย่างไร เราเข้าไปดูกันไหม
ไปเสงี่ยฮุยแทบกระอักโลหิต แต่พอมองตามไป ก็เห็น ป้ายหน้าร้านสลักว่า “โรงละครว่านไฉ
โรงละคร?
เอ ก็ดีเหมือนกัน ถ้าเข้าไปดูละคร สามแม่ลูกจะได้นั่งนิ่งๆ ไม่วิ่งพล่านไปทั่วให้อับอายขายหน้า
ไปเสวี่ยฮุยสั่งให้บ่าวเข้าไปจองที่นั่ง ส่วนพวกตนก็ยืนรอ อยู่หน้าโรงละคร
ปกติแล้ว โรงละครว่านไฉ่ต้อนรับผู้ที่ชื่นชอบศิลปะการ แสดงทั้งขาจรและขาประจำ กำหนดให้แสดงสองรอบในแต่ละวัน คือรอบเช้ากับรอบเย็น ส่วนช่วงเวลาอื่นๆ เป็นการแสดง เล็กๆ น้อยๆ ถ้าวันไหนมีชนชั้นสูงมาดู ก็จะเหมาสถานที่ โดย ไม่อนุญาตให้ผู้อื่นเข้า หรือมิเช่นนั้นก็เชิญนักแสดงทั้งคณะไป แสดงที่บ้าน
เนื่องจากมีดาราดังหลายคน ธุรกิจโรงละครจึงเฟื่องฟู โดยในแต่ละวัน ล้วนมีคนชั้นสูงเข้ามาดูละคร
อีกทั้งคุณหนูสกุลใหญ่โตก็ชอบดูละครไม่น้อย โดยมัก จองที่นั่งบนชั้นสองไว้ล่วงหน้า ประการแรกเงียบสงบ ลุกนั่ง สบาย ประการที่สอง ชั้นล่างต้องนั่งปะปนกับคนส่วนใหญ่ที่มี สถานะไม่ชัดเจน จึงยากที่จะหลีกเลี่ยงการถูกคนแปลกหน้า พบเห็นและทักทาย
ตอนหญิงสาวบ้านสกุลอวิ๋นก้าวเข้าไป ถึงได้รู้ว่าชั้นบนถูก เหมาทั้งชั้นแล้ว ไม่อนุญาตให้ขึ้นไป เหลือเพียงที่นั่งชั้นล่าง ที่ มีคนเดินผ่านไปมานั่งเสียเป็นส่วนใหญ่ มากกว่าครึ่งเป็นผู้ชาย ส่งเสียงดังจอแจ บวกกับเด็กรับใช้ที่คอยเดินบริการน้ำดื่มและ ขนมนมเนย จึงดูพลุกพล่านวุ่นวาย
ทว่าหวงน้าและลูกๆ กลับไม่ถือสา สำหรับพวกเขาแล้ว ชั้นบนสนุกสู้ชั้นล่างไม่ได้ อากาศก็ถ่ายเทกว่า จึงเลือกโต๊ะ กลมใหญ่สีแดง แล้วนั่งล้อมวงกัน
“ท่านแม่” อวิ๋นหว่านเฟยขมวดคิ้วขณะมองหวงน้าอย่าง เหยียดๆ พลางดึงแขนเสื้อของไปเสงี่ยฮุย แล้วว่า “ชั้นล่างจะดู ละครกันอย่างไรกัน หนวกหูจะแย่ แล้วถ้ามีใครมาเห็นว่าพวกเรานั่งดูละครปะปนกับคนเดินถนน จะไม่ถูกหัวเราะเยาะหรือ นางเองก็เคยมาดูละครที่นี่ และทุกครั้งที่มา ก็ต้องจองที่ นั่งล่วงหน้า แล้วค่อยมานั่งดูละครอย่างสง่างามอยู่ชั้นบนแบบ คนชั้นสูง ไหนเลยจะติดดินเช่นนี้
เมื่อลูกสาวกำลังจะแต่งเข้าจวนโหว ก็ไม่ควรเสี่ยงให้คน ครหานินทาเพิ่ม พอเห็นลูกรักหน้าตาหงิกงอ ไปเสงี่ยฮุยจึง กําชับสาวใช้ข้างกาย
“อาเถา คุณหนูรองปวดหัว ไม่ค่อยสบาย เจ้าพานางกลับ ไปก่อน”
คำพูดนี้โดนใจยิ่ง อวิ๋นหว่านเฟยจึงไม่พูดไม่จา รีบสาว เท้าก้าวตามอาเถาออกไป
ไปเสงี่ยฮุยบอกให้บ่าวจัดแจงเช็ดโต๊ะใหม่อีกรอบ ค่อย
นั่งลง
“ชิ จะสูงส่งไปถึงไหน ขนาดแค่ฮูหยินจวนรองเจ้ากรมยัง ขนาดนี้ ถ้าได้เป็นแม่ยายจวนโหว มิต้องโบยบินขึ้นฟ้าไปหรอ กรี!” หวงน้าสี่แทะเมล็ดทานตะวันพลางพูดเองเออเอง
โรงละครชั้นล่างเสียงดัง หวงน้าสี่จึงไม่หรี่เสียง จงใจพูด เสียงดัง และไป๋เสวี่ยฮุยก็ได้ยินอย่างชัดเจน จึงส่ง เสียง เฮอะ ออกมาคำหนึ่ง ก่อนเบือนหน้าไปอีกทาง
อวิ๋นหว่านในเลือกนั่งตรงมุมโต๊ะ อนุฟางกับอวิ๋นหว่านลง นั่งใกล้กับโต๊ะที่อยู่ด้านหลัง
เด็กรับใช้เพิ่งยกน้ำชามา การแสดงบนเวทีก็เริ่มต้นขึ้น เสียงปรบมือดังสนั่นหวั่นไหว กลบเสียงพูดคุยของผู้คนในพริบ
แต่ทันใดนั้น อวิ๋นหว่านลงก็กรีดร้อง แล้วลุกขึ้นพรวด เสียงดัง ‘พริบ
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ