บทที่ 16 อยู่ให้ห่างจากพี่ชายของฉัน
ริมถนน
มทตากําลังยืนโบกรถแท็กซี่ เธออยากจะกลับไปอธิบาย เรื่องการแต่งงานของเธอให้ครอบครัวของเธอฟัง
แต่เธอกลับคิดไม่ถึงเลยว่า จะมีรถคาดิลแลคสีดำคัน
หนึ่งมาจอดอยู่ตรงหน้าเธอ
หน้าต่างข้างคนขับเลื่อนลง เผยให้เห็นใบหน้าที่หล่อ เหลาพร้อมกับแว่นกันแดด
เพียงแค่สําเลืองมอง มทิตาก็แทบกลั้นหายใจ
คือเขา!
เอ็ม!
ครั้งหนึ่ง เธอเคยมองว่าเขาเป็น “สุดหล่อ”
แต่ในตอนนี้ เธอแค่อยากจะอยู่ห่างๆ จากเขา เพราะเธอ รู้ว่า เรื่องของเธอกับเขามันเป็นไปไม่ได้
เธอหันหลังกลับ และเตรียมตัวที่จะเดินออกไป
แต่เอ็มกลับพูดออกมาก่อนว่า “มทิตาฉันขอเตือนเธอ เลยนะว่า อยู่ให้ห่างจากพี่ชายของฉันซะ”
น้ำเสียงที่เปล่งออกมาเกือบจะเป็นเชิงบังคับ และไม่เป็น มิตรเลยสักนิด
มทิตาหันไปกลับไปสบตากับเขา นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้ เผชิญหน้ากับเขา และเธอก็นิ่งมากจริงๆ
เธอถามเขาออกไปว่า “ทําไม?”
เอ็มถอดแว่นกันแดดที่เขาสวมใส่อยู่ออก รูม่านตาสี เหลืองอำพันบองเขาเผยให้เห็นถึงความรําคาญ เขาพูด ออกไปอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เธอเป็นอะไร ฉันเตือนเธอ ไม่ได้รึไง?”
“ถึงแม้ว่าพี่ชายของฉันจะได้รับบาดเจ็บที่ขาทั้งสองข้าง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะคู่ควรกับเขา”
“แล้วอีกอย่าง เธอหยุดเสแสร้งแกล้งทำต่อหน้าฉันดีกว่า”
อา!
เมื่อได้ยินคำพูดของเอ็ม จู่ๆ มทิตาก็หัวเราะออกมา
เพราะในหัวใจของเธอ เอ็มเป็นผู้ชายที่อ่อนโยนและ สดใสร่าเริงมาโดยตลอด
แต่ในตอนนี้ สิ่งที่เขาพูดมานั้นมันทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวด มากจริงๆ
“มทิตาเธอหัวเราะอะไร?” เมื่อเห็นรอยยิ้มเย้ยหยันของ เธอ เอ็มก็รู้สึกโกรธ จากนั้นเสียงของเขาก็พุ่งสูงขึ้น
“ฉันหัวเราะเยาะตัวเองที่โง่ หัวเราะให้กับความโง่ของตัว เอง จะชอบใครก็ไม่ชอบ แต่ฉันดันไปชอบคนอย่างนาย มทิตาพูดออกมาเบา ๆ แต่หัวใจของเธอนั้นมันรู้สึกเจ็บ ปวดอย่างอธิบายไม่ถูก
อาการหัวใจเต้นแรง เขินอาย โหยหา… มทิตามอบความ รู้สึกทั้งหมดนี้ให้กับ เอ็ม
แต่สิ่งเหล่านี้ มันจะไม่มีทางเกิดขึ้นกับคนอย่างเขาอีก แล้วในอนาคต
“เธอ…” เอ็มรู้สึกโกรธ และพูดอะไรไม่ออก
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็พูดพึมพำออกมาว่า “ฉัน คิดว่าคนพวกนั้นพูดถูก เธอนี่มันไร้ยางอายจริงๆ”
ไร้ยางอาย?
อา!
มหิตารู้ว่า พนิตาจะต้องนินทาเรื่องไม่ดีเกี่ยวกับเธอที่ มหาวิทยาลัยอย่างแน่นอน
ดั่งสุภาษิตที่ว่า “เรื่องดีๆ ไม่แพร่หลายออกไปในวงกว้าง แต่เรื่องเลวร้ายมักแพร่ออกไปได้ไกลตั้งพันลี้”
แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ไม่สำคัญแล้วล่ะ
เพราะเธอไม่ได้สนใจมัน
เธอคุ้นชินกับการโดนนินทามานานแล้ว
“ใช่ ฉันมันเป็นคนไร้ยางอาย ฉันยั่วยวนนายเมื่อสองวัน ก่อน แต่ตอนนี้ฉันกลับมายั่วยวนพี่ชายของนายแทน แต่ มันก็ไม่สำคัญหรอกนะ เพราะยังไงนายก็ต้องเรียกฉันว่า พี่สะใภ้อยู่ดี”
เธอขี้เกียจเกินกว่าที่จะมาพูดอธิบายอะไรให้เขาเข้าใจ แค่พูดออกไปให้ตัวเองดูเสื่อมเสียก็เพียงพอแล้ว
คนที่เชื่อเธอ ไม่ต้องพูดอะไรพวกเขาก็เชื่อเธอ
ส่วนคนที่ไม่เชื่อเธอ ไม่ว่าจะพูดจนปากเปียกปากและยัง
ไง พวกเขาก็คิดว่ามันคือเรื่องโกหก
“มทิตา เปรมปรีดิ” เขาเรียกชื่อเธอด้วยน้ำเสียงที่ แข็งกร้าวน่ากลัว
เห็นได้ชัดเลยว่าสิ่งที่มทิตาทำนั้นมันไม่ถูกต้อง ตรงกัน ข้ามเธอกลับดูมีเหตุผลและมั่นใจ
“เรียกฉันว่าพี่สะใภ้” มทิตาเริ่มขึ้นเสียง เธอพูดออกไป ด้วยน้ำเสียงเย็นชาและแฝงไปด้วยความโกรธจัด
“ฝันไปเถอะ” เอ็มทิ้งคำพูดเอาไว้ จากนั้นเขาขับรถออก
ไปทันที
รถของเขาทิ้งเพียงแค่ฝุ่นควันเอาไว้ ราวกับว่ามันไม่มี อะไรเกิดขึ้น
มทิตายังคงยืนอยู่ที่เดิม แต่ดวงตาของเธอค่อยๆ แดงขึ้น ดูเหมือนเธอ…จะไม่ได้ทำอะไรผิดไปใช่ไหม? แต่ทำไม ทุกคนต้องเป็นศัตรูกับเธอด้วยล่ะ?
เมื่อเธอกลับมาถึงตระกูลเปรมปรีดิ เธอก็เห็นแม่เลี้ยง ของเธอกำลังทำอาหาร
ส่วนพ่อป้องปราบก็นั่งอยู่บนโซฟา และกำลังเด็ดผักอยู่
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเห็นว่าเธอกลับมา แต่ก็ไม่มีใครยินดี ที่ได้เห็นเธอเลยแม้แต่คนเดียว
พ่อป้องปราบเปิดปากพูดออกมาก่อน แต่เขากลับถาม ออกมาว่า “ณัฐ โลหนันทน์ คือใคร?”
พ่อป้องปราบและแม่เลี้ยงเป็นเพียงแค่คนธรรมดาทั่วไป พวกเขาทั้งคู่ทำงานประจำ เพราะอย่างนั้นพวกเขาจึงไม่รู้ เกี่ยวกับแวดวงธุรกิจมากนัก
ก็เหมือนกับ มทิตาพวกเขาจึงไม่เคยได้ยินคนที่ชื่อว่า
ณัฐ มาก่อน
“เขาเป็นคู่หมั้นของหนูค่ะ” มทิตานั่งลงบนโซฟา แล้ว ตอบออกไปเบาๆ
พ่อป้องปราบจึงพูดออกมาว่า “ฉันไม่สนใจว่าเขาเป็นใคร แต่ถ้าเขาไม่สามารถให้เงินค่าสินสอดจํานวนสอง แสนหยวนได้ ไม่ว่ายังไง ฉันก็ไม่มีทางยอมให้แก่แต่งงาน กับเขา”
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ