บทที่ 2 โครกคราก
ไม่ใช่ว่าเยี่ยเจียเหยาไม่อยากร้องไห้ แต่นางไม่กล้าและไม่ เหลือเรี่ยวแรงจะร้องต่างหาก ไม่ได้กินอะไรมาทั้งวัน กอปรกับ เพิ่งผ่านกิจกรรมร้อนแรงเมื่อครู่ ตอนนี้นางหิวจนไส้จะขาดแล้ว
เมื่อคิดถึงของกิน ท้องก็ส่งเสียงร้องโครกครากขึ้นมา
ทันที
ในห้องเงียบสงบ เหลือเพียงแต่เสียงเผาไหม้ของเทียน มงคลสีแดง ทำให้เสียงท้องร้องดังขึ้นมาอย่างชัดเจน เรื่องเช่น นั้นก็ทำมาแล้ว จะกลัวเรื่องท้องร้องไปทำไม หากไม่ใช่เพราะ เขาเคี่ยวกรำนางจนมาถึงตอนนี้ ท้องของนางก็คงจะไม่ร้อง รังเกียจก็รังเกียจเถอะ ดีเสียอีกเขาจะได้ขับไล่นางออกไปเสีย เยี่ยเจียเหยาคิดอยู่ในใจ นางเอ่ยออกไปอย่างหนักแน่นว่า “ข้าหิวแล้ว”
ซย่า นอไม่ตอบรับ เขามองนางแล้วกวาดสายตาไปทาง โต๊ะ กล่าวว่า “ตอนนี้ไม่มีอะไรกินแล้ว พรุ่งนี้ค่อยว่ากันเถอะ
เยี่ยเจียเหยาลูบท้อง “หากยังร้องอยู่อย่างนี้ ท่านจะนอน ได้หรือ
ซย่าฉันอขมวดคิ้ว “เจ้าจะพูดอะไร เยี่ยเจียเหยาชี้ไปที่เตียงเล็กที่อยู่ฝั่งตรงข้าม หากนางจำไม่ผิดเตียงที่คล้ายโซฟานั้นมีชื่อเรียกว่า หลัวฮั่นทา หรือให้ ข้า ย้ายไปนอนที่นั่น
เขาตลบผ้าห่มมุดตัวเข้าไปนอน ตอบกลับด้วยน้ำเสียง เอาเรื่อง “นอน”
เฮอะ
แบบนี้นับว่าอนุญาตหรือไม่อนุญาตกันนี่ เยี่ยเจียเหยาได้ แต่ขบเคี้ยวฟัน ใส่ด้านหลังของชายหนุ่ม ก่นด่าเขาอยู่ในใจ
ด่าก็ด่าแล้ว แต่ข้าวยังไม่ได้กิน แล้วยังต้องนอนร่วมเตียง กับเขา เขี่ยเจียเหยารู้สึกว่าสภาพเบื้องหน้ายังเลอะเทอะยิ่ง กว่าละครน้ำเน่าที่เคยดูเสียอีก แถมตนยังซวยกว่านางเอกที่ แสนจะซวยนั้นเป็นไหนๆ
ครอบครัวของนางตั้งแต่รุ่นปู่ทวดเป็นต้นมาก็เริ่มประกอบ อาชีพพ่อครัว ไล่ลงมาทั้งสามรุ่น ไม่เพียงแค่นาง ทุกคนล้วน เป็นพ่อครัวแม่ครัวที่มีชื่อเสียงในวงการอาหาร ดังนั้นในบ้าน ของนางสิ่งที่ไม่เคยขาดแคลนคืออาหาร ตั้งแต่เด็กจนโตนาง จึงไม่เคยลิ้มรสชาติของความอดอยาก ที่แท้ความหิวโหย ทรมานเช่นนี้ นางจะผ่านพ้นค่ำคืนอันแสนยาวนานไปได้ อย่างไร
โครกคราก โครกคราก…
ตอนแรกเยี่ยเจียเหยายังคิดจะห่มผ้าแน่นๆ อีกหน่อย เพื่อ ว่าจะช่วยกลบเสียงดังน่าอายนั้นไปได้ จากนั้นก็พบว่าเป็นการกระทำที่เสียแรงเปล่า จึงได้แต่ทนรับชะตากรรม นอนแห้งเป็น ปลาตายอยู่บนเตียง
โครกคราก…
อุตส่าห์จะเปลี่ยนทำนองอีก เยี่ยเจียเหยาคิดอย่างระอา
โครกคราก…
เสียงสองเสียงดังขึ้น ประสานกันร้องประสานกันเป็น ทํานองอย่างลงตัว
เอ๊ะ ไม่สิ นี่ถึงจะเป็นเสียงท้องของนางนี้ เยี่ยเจียเหยา ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่ง นางเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา ที่แท้ท้อง ของสุดหล่อข้างๆ ก็ร้องอยู่เช่นกัน
เวลานี้นางรู้สึกจิตใจสงบขึ้น หัวเหมือนกัน ร่วมกันหิวเช่น
นี้นับว่ายุติธรรม ยุติธรรมยิ่ง
ซย่าฉันอเลิกผ้าห่มลุกขึ้นนั่ง มองเยี่ยเจียเหยาด้วยความ โมโห นางถึงกับแอบขำ เวลานั้นใบหน้าเขาดำคล้ำ งอขึ้น
นางกล้าหัวเราะเยาะเขา ถ้าไม่ใช่เพราะนางส่งเสียงโครก ครากอยู่ข้างๆ ท้องเขาจะร้องตามได้อย่างไร คืนนี้เขาเพียงดื่ม สุรา แต่ไม่ได้กินอะไรเลย เขาก็รู้สึกหิวขึ้นมาแล้ว
เยี่ยเจียเหยาคิดไม่ถึงว่าเขาจะหมุนกายกลับมา นางยัง ไม่ทันจะหุบยิ้ม มุมปากเหยียดขึ้น นางเอ่ยอย่าง กระอักกระอ่วน “เช่นนั้น ข้าไปหาของกินดีไหม
ซย่า นอร้องๆ เขาลงจากเตียงสวมเสื้อ เยี่ยเจียเหยา เองก็รีบสวมเสื้อผ้า “ท่านบอกข้าหน่อยว่าห้องครัวอยู่ไหน ช้า ไปเองก็ได้ หากห้องห้องครัวไม่มีอะไรกิน ข้าจะได้ทำอาหาร
เขาหันกลับมา ขมวดคิ้วมองมาที่นาง ไหนว่าเป็นคุณหนู ตระกูลใหญ่ จะทำอาหารเป็นได้อย่างไร
เยี่ยเจียเหยามองหัวหน้าสามอย่างจริงใจ พูดประจบประ แจงว่า “เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ข้าไปทำก็พอแล้ว หัวหน้าสามท่าน รออยู่ที่สักประเดี๋ยวนะเจ้าคะ
ซย่าฉุนออยู่ในภวังค์ความคิด นางคิดจะฉวยโอกาสหนี ไปเป็นแน่ถ้าหากนางถูกลักพาตัวมาจริงๆ แต่ก็ไม่เหมือนเช่น กัน นางไม่ร้องไม่โวยวาย ยังออกตัวจะทำให้อาหารให้เขา กระตือรือร้นขนาดนี้เพราะจะเอาใจเขาใช่หรือไม่
เยี่ยเจียเหยาเห็นอย่าฉุนอไม่ตอบรับก็คิดเสียว่าเขา อนุญาต ใช้ความว่องไวสวมเสื้อผ้าแล่นปรี่ออกไป กลัวว่าเขา จะเปลี่ยนไปพูดทำนองว่าทนๆ ไปเดี๋ยวก็หายหิว เขาทนได้ แต่ นางทนไม่ได้อีกแล้ว
ซย่าฉันอวี่ยังไม่ทันจะหาเหตุผลได้ คนก็จากไปแล้ว ไหน ว่าไม่รู้ว่าห้องครัวอยู่ไหน อย่าฉุนอสงสัยชั่วครู่ กลับไปขึ้นไป นอนบนเตียง อย่างไรเสียนางก็หนีไปไหนไม่ได้ ดูสิว่านางจะ ทําอาหารอะไรเป็น
ประตูเรือนมีโจรเฝ้ายามอยู่สองคน เมื่อเห็นเยี่ยเจียเหยา ออกมา สองคนรู้สึกคิดไม่ออกว่านางกำลังจะหนีหรือจะทำอะไร เมื่อครู่เพิ่งจะผ่านศึกดุเดือดมาเสียขนาดนั้น อาซื้อกลับ ยังเหลือแรงลงจากเตียงได้
“พี่ชายทั้งสอง พอจะบอกข้าหน่อยได้ไหมว่าห้องครัวอยู่ ไหน” เยี่ยเจียเหยาถาม
ในขณะที่สองคนเลิกลักอยู่ เยี่ยเจียเหยากลับไปที่ห้อง เอ่ยเบาๆ ว่า “หัวหน้าสามหิวแล้ว ให้ข้ามาหาของกิน
ชายทั้งสองรู้สึกเห็นใจขึ้นมา เป็นอาข้อคนใหม่นับว่าไม่
ง่ายเลยจริงๆ ป้อนให้อิ่มกายแล้วยังต้องป้อนให้อิ่มท้องอีก โจรที่ชื่อซ่งเอ่ยขึ้น “อาซ้อท่านกลับไปเถิด เดี๋ยวข้าจะทำขา หมูให้หัวหน้าสามเอง
เยี่ยเจียเหยากระแอมขึ้นเมื่อได้ยินคำเรียกว่าอาซ้อ อาซ้อ กับผีน่ะสิ นางไม่ยอมรับหรอกว่าตนเองแต่งงานกับโจรภูเขา
เยี่ยเจียเหยาครุ่นคิด โจรผู้นี้คงจะไม่วางใจให้นางออกไป จึงกล่าวว่า “ดึกดื่นเช่นนี้กินของมันเลี่ยนไม่ดีต่อสุขภาพ เช่น นั้นพี่ชายท่านนี้ไปเป็นเพื่อนข้าได้หรือไม่
ซึ่งสบตากับเผิง ในเมื่อหัวหน้าสามอยากหาของกิน อาซ้อสามก็ยินยอมให้ติดตามไปด้วย ก็ไม่มีอะไรไม่น่าวางใจ ซึ่งจึงเอ่ยขึ้น “ข้าไปเป็นเพื่อนอาซื้อเอง
เยี่ยเจียเหมายิ้มออกอย่างดีใจ เอ่ยอย่างเกรงใจว่า
รบกวนพี่ชายแล้ว
ซึ่งซีรีบเอ่ยขึ้น “อาซอเรียกข้าว่างก็พอแล้ว เรียกพี่ชายข้าน้อยไม่กล้ารับ
หากหัวหน้าสามรู้เข้าว่าเขากล้ารับคำเรียก คงจะถูกเชือด คอเป็นแน่
เนื่องจากรู้สึกไม่สบายท้อง เสี่ยเจียเหยาเดินซวนเซ ฝีเท้า ไม่มั่นคง เพิ่งเห็นท่าทางนั้นคิดอยู่ในใจว่า หัวหน้าสามช่าง ไม่รู้จักถนอมบุปผาแม้แต่น้อย หญิงงามชุดช้อยขนาดนี้ จะทน ต่อความรุนแรงเช่นนั้นได้อย่างไร แต่จะว่าไปหัวหน้าสามเดิมก็ ยากจะปรนนิบัติอยู่แล้ว คนในค่ายถึงจะกลัวหัวหน้าใหญ่ แต่ กลัวหัวหน้าสามมากกว่า เพราะหัวหน้าสามมีนิสัยโหดเหี้ยม
ห้องครัวนั้นอยู่ไม่ไกล ออกจากเรือนไประยะห่างเพียงแค่ ห้าสิบกว่าเมตรเท่านั้น
ซึ่งเดินเข้าไป ร้องเรียกเสียงดัง “ป้าเจียง ยังเหลือ ของกินอยู่หรือไม่
ป้าเจียงเป็นสตรีสูงวัยอายุราวสี่สิบกว่า รูปร่างร่างท้วม เอวหนามีลักษณะของแม่ครัวผู้หนึ่ง เวลานี้มือของนางถือขา หมูน้ำแดงที่ถูกกัดแล้วชิ้นหนึ่ง ปากของนางมันขลับ เมื่อเห็น ว่าผู้มาคือซึ่งก็ไม่เก็บงำท่าที เอยอย่างไม่เกรงใจว่า “ยามนี้ แล้วยังจะเหลือของกินอะไรกันอีกเล่า
“ข้าว่าถูกท่านขโมยกินไปหมดแล้วมากกว่า ซึ่งกล่าว
“หน่อย! พวกเจ้าทั้งกินเนื้อดื่มสุรากันจนอิ่มหนำสำราญยายแก่อย่างข้าถึงตอนนี้เพิ่งจะได้กินข้าว” ป้าเจียงกวาดตา มองมาอย่างเอาเรื่อง
“หัวหน้าสามยังหิวอยู่ รีบดูสิว่ายังมีอะไรให้กินได้บ้าง ซึ่งเปิดหม้อดู ก็พบว่าภายในมีแต่น้ำร้อน
เมื่อได้ยินว่าหัวหน้าสามหิว ท่าทีของป้าเจียงก็เปลี่ยนเป็น มิตรขึ้นมาทันใด “กับข้าวไม่เหลือแล้ว จะมีก็เพียงข้าวเท่านั้น
เยี่ยเจียเหยามองไปรอบๆ นางพบว่าเสาแขวนเนื้อวัวเอา ไว้ ตะกร้าบนพื้นยังมีมะเขือเทศ แตงกวาและแครอท นางจึง ถามว่า “มีไข่ไก่หรือไม่
ป้าเจียงเห็นเยี่ยเจียเหยาสวมชุดเจ้าสาว จึงรู้ว่านางคือ เจ้าสาวที่ถูกหัวหน้ารองพาตัวมา นางยิ้มเอ่ยว่า มีๆ เมื่อค่ำ เพิ่งเก็บมาจากเล้า
“ไฟในเตาดับไปแล้วหรือยัง
“ยัง กำลังต้มน้ำอยู่
เยี่ยเจียเหยาเอ่ย “เช่นนั้นคงต้องรบกวนป้าเจียงช่วยข้า ไฟ แล้วก็เอาไข่ไก่มาสักสองสามใบ
เยี่ยเจียเหยาม้วนแขนเสื้อขึ้นเตรียมตัวจะลงมือทำอาหาร ซึ่งกล่าว “อาซ้อ ท่านให้ป้าเจียงทำก็ได้นะขอรับ
“ไม่เป็นไร ข้าทำเองจะดีกว่า” เยี่ยเจียเหยาเอามะเขือเทศ สองลูก แตงกวาหนึ่งใบ และแครอทหนึ่งหัวออกจากตะกร้านำมาล้างน้ำ
การทําอาหารเป็นสิ่งที่นางสนใจมากที่สุด นอกจากทำ อาหารแล้วนางก็ไม่ถนัดอะไรเลย
ซ่ง และป้าเจียงได้แต่ยืนอ้าปากค้างมองเยี่ยเจียเหยาที่ ใช้มีดออกมาได้คล่องแคล่วราวกับร่ายรำ นั่นเนื้อวัวออกเป็น ลูกเต๋าชิ้นเล็กๆ ที่ขนาดเท่าเล็กใหญ่เกือบเท่ากันทุกชิ้น การใช้ มีดเช่นนี้นับว่ายอดเยี่ยมมาก ทั้งสองคนจึงรู้สึกตกใจ
เยี่ยเจียเหยาไม่ได้ถามป้าเจียงว่า สิ่งไหนคือเหล้าปรุง อาหาร สิ่งไหนคือซีอิ้ว นางเปิดขวดดมกลิ่น ก็เริ่มปรุงรส นาง นำเนื้อวัวที่นั่นเรียบร้อยเติมซีอิ้ว เหล้า เกลือกับน้ำตาลเล็ก น้อย และเพิ่มขิงอีกสองแผ่น คลุกเคล้าให้เข้ากัน
หลังจากหมักเนื้อเสร็จ นางก็เริ่มลงมือหั่นแตงกวาและ แครอทเป็นทรงลูกเต๋าเล็กๆ
ป้าเจียงที่ไม่รู้ว่าไปหยิบเห็ดหอมมาจากไหน ถามขึ้น “คุณ หนู ท่านจะใช้เห็ดหอมหรือไม่
ใบหน้าของเยี่ยเจียเหยาฉายแววยินดี “ใช้ๆ มีเจ้านี่ยิ่งดี ใหญ่” เห็ดหอมสามารถเพิ่มความอยากอาหาร ขณะเดียวกันก็ เป็นเครื่องปรุงรส แต่พวกผงชูรสกินแล้วไม่ดี ครอบครัวของ นางจึงมักใช้ซุปไก่สูตรเฉพาะแทน แต่ในยุคนี้น่าจะไม่มีผงชูรส ไว้วันหน้านางจะทำซุปไก่ขึ้นมาเอง
เมื่อเตรียมเครื่องเสร็จ เยี่ยเจียเหยาเทน้ำมันลงในกระทะรอจนเดือดได้ที่จึงใส่เนื้อวัวหมักลงไป ผัดอย่างรวดเร็วเพียงครู่ หนึ่งจึงนำขึ้นใส่จาน เนื้อวัวเดิมทีเนื้ออ่อนนุ่ม หากผัดนานเกิน ไปจะทำให้ไม่อร่อย เพียงผัดกับน้ำมันเดือดๆ เพียงเล็กน้อย แล้วนำขึ้นจากกระทะถึงจะได้เก็บความนุ่มละมุนของเนื้อวัวเอา ไว้ได้
ไข่เมื่อตอกแล้วใส่ลงกระทะผัดเป็นชิ้นเล็กๆ จนสุก ตักขึ้น ใส่จานพักไว้ จากนั้นจึงผัดเห็ดหอมจนกระทั่งได้กลิ่นหอม แล้ว ใส่แครอทหั่นเต๋าลงไป ตามด้วยใส่แตงกวาเป็นอย่างสุดท้าย ผัดทั้งหมดจนสุกเพียงครึ่งหนึ่งจึงตักขึ้นพักในจาน เยี่ยเจีย เหยาเทข้าวที่เหลืออยู่สองถ้วยลงกระทะ รอจนข้าวเริ่มอ่อนตัว นางปรุงรสจนได้ที่แล้วถึงใส่เครื่องที่พักไว้ลงไปผัด
เมื่อเยี่ยเจียเหยาได้เห็นอาหารขึ้นจากกระทะ ตัวนางก็ รู้สึกเบิกบานใจมาก นี่เป็นข้าวผัดเนื้อใส่ไข่ที่นางชอบมาก คน ที่เคยกินข้าวผัดของนาง ไม่มีใครที่จะไม่คะนึงหาอีก หัวหน้า สามที่น่ารังเกียจนั่นนับว่ามีลาภปากแล้ว
หลังจากผัดข้าวเรียบร้อย เยี่ยเจียเหยาก็เริ่มทำน้ำซุป มะเขือเทศ ที่จริงแล้วการทำอาหารพื้นๆ นั้นกลับทำให้เห็น ฝีมือได้ดีที่สุด มะเขือเทศต้องต้มจนได้รสมะเขือเทศ แต่ห้าม นิ่มเละ หากเละแล้วจะทำให้ดูไม่น่าทาน หากไม่ได้รสมะเขือ เทศก็นับว่าจืดไป
“คุณหนู ฝีมือทำครัวของท่านนับว่าดีกว่าหัวหน้าพ่อครัว เสียอีก” ป้าเฉียงเอ่ยชม หัวหน้าพ่อครัวคอยดูแลเรื่องรสชาติ นางและคนอื่นๆ เป็นเพียงลูกมือช่วยเหลือ หัวหน้าพ่อครัวปกติมักชอบโยนสารพัดเครื่องปรุงและวัตถุดิบลงไปมั่วๆ เหมือนทำ อาหารหมูก็ไม่ปาน นางทำอร่อยกว่าด้วยซ้ำ! ยังเบ่งอยู่ได้ วัน หน้าเห็นที่จะต้องให้หัวหน้าพ่อครัวดูฝีมือของเยี่ยเจียเหยาเสีย บ้าง ดูสิว่าเขาจะไม่เอากระทะครอบตัวเองขาดอากาศตายแล้ว จะทําอย่างไรได้
เยี่ยเจียเหมายิ้มอย่างถ่อมตน “ไม่นับว่าเป็นฝีมืออันใด แค่ชมชอบทำเท่านั้น”
สำหรับนางการทำอาหารไม่ใช่งาน เป็นความชื่นชอบจาก ใจจริง เพราะนางเป็นพวกนักกินที่เลือกกิน ครอบครัวของนาง ทุกคนล้วนเป็นนักกิน ดังนั้นจึงมีข้อเรียกร้องต่ออาหารสูงกว่า ปกติ
ข้าวผัดพูนๆ สองถ้วยกอปรกับน้ำแกงมะเขือเทศอีกหนึ่ง ถ้วย ในกระทะยังคงเหลือบ้างเล็กน้อย เมื่อเห็นซึ่งสองตาจับ จองในกระทะ เยี่ยเจียเหยาหัวเราะเอ่ยว่า “ซ่ง เจ้าคงหิวแล้ว เช่นกัน หากไม่รังเกียจ ที่เหลือนั้นยกให้เจ้า
ซึ่งหัวเราะ ๆ สองมือกันพัลวัน “เดิมที่ข้ายังไม่หิว แต่ เห็นอาซ้อทำอาหารโอชาเช่นนี้ก็หิวขึ้นมาแล้ว
ป้าเจียงยิ้มเย้ย สายตาจับจองมองไปยังถ้วยที่ซึ่งตักข้าว ผัดที่เหลือในกระทะใส่ลงไป ได้แต่กลืนน้ำลายเชือกใหญ่ นาง แทบจะเอาขาหมูที่กัดไปคำหนึ่งแลกกับข้าวผัดถ้วยนั้น แต่กลับ กระดากจะเอ่ยปากขอ
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ