พ่ายรักพลิน

4



4

“เจ้าชายจุมพิตเจ้าหญิงด้วยความรัก อบอุ่นและอ่อน หวาน ทั้งสองพระองค์อภิเษกสมรสพร้อมงานเฉลิมฉลอง อันยิ่งใหญ่ สวยงาม และเจ้าชายกับเจ้าหญิงก็ครองรักกัน อย่างมีความสุขตลอดมาหลังจากนั้น ตราบนานเท่านาน… จบแล้วค่ะลูก…น้องพราวด์จํา”

เมื่อเห็นว่าบุตรสาวนอนหลับตาพริ้มไปแล้ว จุดรอยยิ้ม อ่อนโยนขึ้นบนใบหน้าที่ไม่ได้สวยจัดจ้านแต่หากยิ้มก็ดู น่ารักอยู่ไม่น้อย รูปร่างที่เคยผ่ายผอมบอบบางกระดำ กระด่างดูอมโรค แขนขายาวเก้งก้างเมื่อสี่ปีก่อน มาบัดนี้ เต็มตึงไปทุกสัดส่วน ตรงที่ควรนูนก็นูน ที่ควรเว้าก็เป็นไป ตามนั้น ดูสวยงามเย้ายวนสายตาบุรุษเพศอยู่ไม่น้อย

แม้บทสรุปสุดท้ายของนิทานที่เล่าไปเมื่อครู่จะจบลง อย่างมีความสุข แต่น้ำเสียงและแววตาของคนเล่าตรง ข้ามกับคําว่า ‘มีความสุข’ ราวฟ้ากับเหว

พลินปิดนิทานปกแข็งเล่มโปรดของบุตรสาวลง วางเก็บ ไว้ที่โต๊ะข้างเตียงนอนสีหวาน เข้าไปคลี่ผ้าห่มคลุมให้ร่าง เล็ก ลูบผมดกดำเงาวับสละสลวยที่ถอดแบบบิดาของ เจ้าตัวมาแทบไม่ผิดเพี้ยนด้วยความรักเหลือจะบรรยาย ระบายลมหายใจออกมาเบาๆ ค่อยลุกยืนเตรียมกลับห้อง นอนของตนเองบ้าง
เหลือบตามองเวลา ยังไม่ถึงสองทุ่มดี เจ้าหญิงตัวน้อย ของเธอหลับสนิทก่อนนิทานจะจบเสียอีก ยิ้มให้อย่าง อ่อนโยนอีกทีแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นดูเมื่อพบข้อความค้าง บนหน้าจอ

Nam1 :: ‘นอนหรือยัง’

พลิน :: ‘ยังจ้ะ เพิ่งเล่านิทานให้น้องพราวด์ฟังจบพอดี’

Nam1 :: ‘หลับไปก่อนนิทานอีกแล้วสิ

พลิน :: ‘อื้อม

Nam1 :: ‘ถ่ายรูปมาดูหน่อย

พลินยิ้มกว้างเมื่อเพื่อนของเธอที่เป็นคู่สนทนาอยากเห็น

บุตรสาวตัวน้อย

น้ำหนึ่งเป็นเพื่อนสมัยเรียนมัธยมที่สนิทที่สุดของเธอ น้ำ หนึ่งรู้เรื่องราวต่างๆ ในชีวิตของเธอแทบทุกเรื่องเพราะ พลินมักเลือกที่จะเล่าให้เพื่อนคนนี้ฟังอยู่เสมอ แต่ไม่ค่อย ได้พบหน้ากัน เพราะพลินอยู่คนละจังหวัดกับเพื่อน อีกทั้ง น้ำหนึ่งยังง่วนกับการช่วยเหลือกิจการร้านอาหารกึ่งผับ ของทางบ้าน แต่กระนั้นก็ติดต่อกันไม่เคยขาด จะเรียกว่า น้ำหนึ่งเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของเธอในตอนนี้เลยก็ว่า ได้
จัดแจงถ่ายภาพบุตรสาวที่นอนหลับตาพริ้มส่งให้คู่ สนทนาดู พร้อมพิมพ์ข้อความคุยต่อ

พลิน :: ‘วันนี้ไม่ไปไหนเหรอหนึ่ง’

ทางนั้นอ่านข้อความของเธอแล้วก็เงียบไปเกือบนาที จึง ค่อยตอบกลับมา

Nam1 :: ไม่ได้ไปไหนจ้ะ นอนเถอะพลิน ฝันดีนะ’

พลินยิ้มให้โทรศัพท์ตนเองราวกับเพื่อนของเธอยืนคุย อยู่ตรงหน้าแล้ววางไว้บนโต๊ะข้างเตียง ค่อยเดินสำรวจ ภายในห้องนอนห้องนั้นอีกรอบ เมื่อเห็นว่าประตูหน้าต่าง ปิดสนิทเรียบร้อยดีแล้ว จึงตั้งเครื่องปรับอากาศให้หยุด ทำงานในช่วงใกล้รุ่งสาง หรี่ไฟลงให้อ่อนแสงมากที่สุด ก่อนกลับเข้าสู่ห้องนอนของตนเอง

ปกติเธอพักที่บ้านในตัวเมืองของคุณศุภลักษณ์ หญิง ผู้มีศักดิ์เป็นย่าของบุตรสาว ผู้ที่ใครๆ ต่างเรียกท่านว่า ‘นายแม่’ ท่านเป็นมารดาแท้ๆ ของบารมี บิดาของเด็ก หญิงพราวนภา หลังเกิดเรื่องราวในค่ำคืนงานเลี้ยง พลิ นตั้งครรภ์ จวบจนคลอดเธอถูกย้ายให้ไปอาศัยที่บ้าน ของนายแม่มาโดยตลอด และไม่ได้พบหน้าชายคนที่ร่วม สร้างเด็กหญิงพราวนภาขึ้นมาด้วยกันอีกเลยนับจากนั้น

สี่ปีก่อนพลินยังจําใบหน้าของบารมีได้ดี วันที่เธอกับแม่ เข้าไปพบคุณศุภลักษณ์ที่บ้านเพื่อบอกว่าเธอตั้งครรภ์

บารมีที่แวะมาที่บ้านของนายแม่เช่นกัน ได้รับรู้เรื่อง ราวทั้งหมดเข้า เขามองมาราวกับจะฉีกเนื้อของเธอออก เป็นชิ้นๆ คงเกลียดเธอจนเข้าไส้ไปแล้ว สาเหตุคงเพราะ เหตุการณ์ในค่ำคืนนั้น

พลินเองก็เสียใจไม่ต่างจากเขา แต่แล้วก็ปริปากโวยวาย อะไรไม่ได้เลย เพราะตนเองก็มีชนักติดหลังเอาไว้ อยาก ให้เขาตะโกนด่าเธอ มากกว่ามองมาด้วยสายตารังเกียจ ปนคลางแคลงใจแบบนั้น แต่บารมีเลือกใช้ใบหน้าดุ นิ่ง และความเงียบกดดันเธอ พลินได้แต่ก้มหน้ายอมรับผล จากการตัดสินใจ หลังค่ำคืนนั้นไปโดยปริยาย

เด็กสาวต้องหยุดความฝันที่จะได้เรียนในมหาวิทยาลัย ที่สอบเข้าได้ ไม่ได้เรียนคณะที่อยากเรียน แล้วออกมา เป็นคุณแม่ที่ไร้ซึ่งวุฒิภาวะ ส่วนนางพยอมมารดาของเธอ ย้ายออกมาจากบ้านของนายสมแล้ว ท่านอาศัยในบ้าน เดี่ยวหลังไม่ใหญ่ไม่เล็กเรียกว่ากำลังพอดีติดลำคลอง สายเล็กๆ แห่งหนึ่ง คิดมาถึงตรงนี้ก็ได้แต่กล้ำกลืนพูด อะไรไม่ออก ที่ต้องเดินเส้นทางนี้ก็เพราะตัวเองเลือกเอง
แล้วก็ทนกล้ากลืนเรื่องหนึ่งเอาไว้บอกใครไม่ได้ ว่า ทําไมเธอถึงเลือกเดินเส้นทางนี้ พลินตัดใจ พร้อมยอมรับ การสูญเสียในบางสิ่งเพื่อแลกกับอีกสิ่งที่สำคัญไม่ยิ่ง หย่อนไปกว่ากันในตอนนั้น

พลินอยู่โดยมีนายแม่และวงวารของท่านห้อมล้อมตลอด

เดิมทีคุณศุภลักษณ์ไม่ค่อยออกไปที่ไหนนัก ท่านมักอยู่ ติดบ้านเสมอ แต่ที่ต้องเดินทางด่วนไปต่างประเทศเพราะ ญาติทางนั้นไม่เหลือใคร ท่านจึงต้องออกหน้าไปเป็นธุระ ให้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

นายแม่จากไปแค่วันเดียวก็เกิดเหตุอกสั่นขึ้น จนพลิน จึงต้องย้ายมาอยู่ที่บ้านหลังนี้เป็นการชั่วคราว เนื่องจาก ไฟฟ้าที่บ้านของนายแม่เกิดลัดวงจรตรงด้านหลังตึก แถวๆ อาคารคนรับใช้ ไฟไหม้ลามไปยังบริเวณใกล้เคียง เสียหายไม่มาก โชคดีไม่มีใครได้รับอันตราย และดีที่ไม่ ลามไปถึงตัวบ้านที่เป็นอาคารของนายแม่ ซึ่งมีเธอและ บุตรสาวพักอาศัยอยู่ด้วย

แต่กระนั้นพอบิดาของเด็กหญิงพราวนภาทราบเรื่องเข้า เขาเร่งสั่งการให้คนในบ้านเก็บข้าวของของเธอและลูก ย้ายมาพักที่บ้านหลังนี้เป็นการชั่วคราว บังคับกลายๆ ให้ อาศัยไปก่อน จนกว่าบ้านของนายแม่จะซ่อมแซมส่วนที่ ไหม้แล้วเสร็จดีค่อยกลับไป
อันที่จริง พลินคิดว่าเธออยู่ที่นั่นได้ เพราะส่วนที่เสียหาย ไม่ใช่บริเวณที่เธอกับบุตรสาวพัก แต่แล้วคนชอบสั่งการ อย่างเขาคงเป็นห่วงสวัสดิภาพของเด็กหญิงพราวนภา มากกว่าสิ่งอื่นใดจึงเร่งให้ย้ายเป็นการด่วนเช่นนี้

ส่วนเธอนั้นไม่ได้มีความหมายอะไรกับเขานัก เป็นเพียง คนที่ไม่มีสถานะอะไรเลยนอกจากมารดาของเด็กหญิง พราวนภา บุตรสาวที่เกิดขึ้นเพราะความไร้สติในค่ำคืน นั้นเมื่อสี่ปีก่อน

หากพูดถึงความรักของบารมี ยิ่งไม่ต้องเอ่ยให้ระคาย เคืองใจ เขาคงไม่มีคำๆ นั้นมอบให้ใครได้อีกแล้ว นอกจากเฝ้ารอพี่สาวของเธอกลับมา พลิน รู้มาโดย ตลอด ก็อดสะท้อนใจอย่างช่วยไม่ได้ สุดท้ายแล้ว พลินก็ อยากทำหน้าที่แม่ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนที่เวลาของ เธอจะหมดลง

ยิ้มตนเอง พลางคิดว่า ดีให้ได้ครึ่งหนึ่งของที่แม่ ปฏิบัติต่อเธอก็ยังดี

ออกจากห้องนอนของลูก ชำเลืองมองไปยังอีกห้องโดย ไม่ได้ตั้งใจก็รีบหันหน้ากลับมา แล้วสาวเท้าไปยังอีกฟาก ที่บ้านนี้มีห้องว่างเหลือฟากละห้อง บารมีให้คนจัดห้อง ของบุตรสาวติดกับห้องของเขา ส่วนเธอพักอีกห้องที่อีก ฟาก
ตั้งแต่พลินย้ายมาพักที่นี่กว่าห้าวันนี้แล้ว เธอยังไม่ได้ พบหน้าเจ้าของบ้านเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่ได้ยินบุตร สาวบอกว่ากลางคืนเห็นว่าบิดามานอนกอด มาหอมแก้ม ตนเองอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าบุตรสาวของเธอพบเขาจริงๆ หรือ แค่ฝันไป ถ้าเป็นจริงนั่นก็เป็นการตอกย้ำได้ดีอีกอย่าง หนึ่งไม่ใช่หรือ ว่าเขายอมรับเพียงแต่ลูกเท่านั้น แต่ไม่ ยอมรับในตัวเธอ

พลินพอรู้ตารางเวลาของเขามาบ้างจากศยามล ผู้ช่วย ของบารมีที่ช่างคุยช่างจ้อว่าบารมีกลับบ้านเป็นบางวัน หากมาจะกลับดึกดื่น ออกไปอีกทีส่วนใหญ่เป็นเวลาเช้า มืด และนี่เขาคงยังไม่กลับเข้าบ้านมาเป็นแน่ หากไม่ออก ไปสังสรรค์กับคู่ค้าธุรกิจ ก็อาจออกไปกับคู่ควงของเขา ที่เป็นสาวสวยชนิดเปลี่ยนหน้าไม่เคยซ้ำ เรื่องนี้พลินก็รู้ มาจากคำบอกเล่าของน้ำหนึ่ง เพื่อนที่สนิทที่สุดของเธอ เพราะที่ครอบครัวของน้ำหนึ่งเปิดร้านอาหารกึ่งผับในตัว จังหวัด บอกว่าพบบารมีที่ร้านออกบ่อยไป

ถอนหายใจอย่างเหนื่อยๆ แล้วกลับเข้าห้อง เก็บเสื้อผ้า ในตะกร้าที่คนในบ้านยกมาวางไว้ให้ในห้อง นำเข้าตู้จน เรียบร้อย ลุกปัดกวาด เก็บของให้เข้าที่ครู่ใหญ่จนเหงื่อ ซึม ถึงค่อยอาบน้ำ เตรียมตัวเข้านอน

ขณะกำลังล้มตัวลงนอนจนเกือบหลับอยู่แล้วนั่นเอง นึก ขึ้นได้ว่าลืมโทรศัพท์เอาไว้ในห้องนอนของบุตรสาวจึงลุก โดยไว ก้าวเท้ายาวๆ กลับไปยังอีกฟากฝั่งของชั้น พอถึง แตะลูกบิดประตูเปิดเข้าไปอย่างแผ่วเบา มองหาอยู่ครู่ จําได้ว่าครั้งสุดท้ายเธอวางมันไว้บนโต๊ะหัวเตียง ข้างที่นอนของลูก สุดท้ายก็พบ

บุตรสาวของเธอถูกฝึกให้แยกห้องนอนตั้งแต่อายุเพียง สองเดือน จนตอนนี้เข้าสามขวบแล้วจึงไม่มีปัญหาในการ ที่จะต้องนอนคนเดียว พราวนภาเป็นเด็กเลี้ยงง่ายมาก ทั้ง ยังกินง่าย นอนง่าย เจ้าตัวหลับสนิททั้งคืนจนถึงเช้าโดย ไม่ร้องงอแง ต่างจากลูกของคนอื่นที่พลินเคยได้ยินมาว่า ยังต้องนอนเตียงเดียวกับแม่อยู่

อีกเหตุผลหลักใหญ่ที่พลินต้องแยกห้องนอนกับบุตร สาวนั้น เพราะคนเป็นพ่อของเด็กหญิงพราวนภาสั่งเอาไว้ พร้อมประกาศกร้าวว่าไม่ต้องการให้เธอได้อยู่ใกล้ชิดกับ ลูกนัก หากแยกได้ เขาคงแยกเธอกับบุตรสาวตั้งแต่วันที่ เธอคลอดออกมาแล้ว ดีที่นายแม่ช่วยเอ่ยปากทานบุตร ชายของท่านเอาไว้ คงเห็นใจคำขอร้องของพลินที่พร่ำ อ้อนวอนเอาไว้ว่าขอเธอเลี้ยงลูกต่ออีกสักระยะก่อนจะ ยอมจากไปแต่โดยดี

หยุดคิดให้ปวดร้าวในใจมากไปกว่านี้แล้วเปิดประตูเพื่อ กลับไปยังห้องนอนของตัวเอง ปิดลงแผ่วเบาดังเดิมหัน กลับมาแล้ว ใจดวงน้อยก็ไหววูบกระตุกอย่างรุนแรงเมื่อ เห็นว่าบิดาของบุตรสาวเปิดประตูห้องของเขาออกมาเช่น กัน

บารมีเป็นชายร่างสูงใหญ่ราวกับมีเชื้อสายต่างชาติผสม อยู่ในสายเลือดของเขา ผิวคร้ามแดดเพราะต้องทํางานอยู่กลางแจ้งเสมอ ตัวหนา มัดกล้ามเนื้อเด่นชัด สวยงามไม่ใหญ่โตจนเกินไปนักเมื่อรวมเข้ากับใบหน้า หล่อคม ยิ่งส่งให้เขาดูสมชายชาตรีมากยิ่งขึ้น

พลินเห็นเบานุ่งผ้าขนหนูสีสะอาดตัดกับสีผิวของเขาอยู่ ไม่น้อย เลยหลบวูบมองลงไปที่พื้นแทน เมื่อเห็นดวงตา สีดำสนิทแฝงแววดุดันมองมาที่เธอ ทำท่าปลีกตัวจะเดิน กลับห้องของตนเอง เสียงห้าวทุ้มเรียกเอาไว้เสียก่อน

“พลิน”

พลินหยุดกึก ตอบรับเสียงสั่นนิดๆ กลัวและเกรงเขาอยู่ ไม่ใช่น้อย “คะ?”

“ลงไปหยิบของในรถให้ ”

เขาสั่งพร้อมเดินมาหยุดยืนอยู่ตรงเบื้องหน้าของเธอ

กลิ่นกายหอมสะอาดหลังอาบน้ำโชยเข้าจมูก ลอบ กลืนน้ำลายเมื่อความใกล้ชิดระหว่างกันมีมากกว่าทุก ครั้ง ตั้งแต่คืนนั้นเธอกับเขาไม่เคยได้ใกล้ชิดกันอีกเลย พลินรู้ว่าเขาเองคงรังเกียจเธออย่างมาก เพราะผู้หญิงที่ บารมีต้องการให้มาเป็นแม่ของลูกเขานั้นไม่ใช่เธออย่าง แน่นอน แต่น่าจะเป็นญาดา พี่สาวของเธอมากกว่า ไม่ อย่างนั้นเขาคงไม่ขอหมั้นหมายกับญาดาหรอก ถ้าไม่ใช่เพราะความมึนเมาไร้สติ เธอกับเขาคงไม่มีทางจ ลงบนเตียงเป็นแน่

แต่จะให้ทำอย่างไร ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นมาแล้ว กลับ ไปแก้ไขได้อีกหรือ

พอเขายื่นกุญแจรถส่งให้ จึงรีบรับมาด้วยมือที่สั่นระรัว แทบจะเป็นจังหวะเดียวกับหัวใจ ไม่ใช่อะไร เธอกลัวและ เกรงเขามากกว่าสิ่งอื่นใดทั้งหมด สายตาบารมีที่มองมาก็ คล้ายมีแววหยันเหยียดอยู่ในนั้น ยิ่งทำให้ประหม่าไปกัน ใหญ่ เขาไม่สนใจ ไม่ได้แยแสเธอนัก หากเป็นไปได้คง ไล่ตะเพิดให้ออกไปจากบ้านของเขาไปแล้ว แต่ที่ทำไม่ ได้เพราะมีเด็กหญิงพราวนภาเป็นตัวเหนี่ยวรั้งเอาไว้นี่เอง พลินคิดเช่นนั้น

“ถุงพลาสติกตรงเบาะหลัง ไม่ก็ตรงพื้น ลองหาดู” เขาบอกแล้วยืนกอดอกปักหลักรอตรงหน้าห้อง

พลินรีบพาตัวเองลงไปเอาของในรถตามคำสั่ง

เธอไม่กล้าอิดออด ลงมายังชั้นล่าง ตรงออกไปด้านนอก เห็นมีรถจอดอยู่เพียงคันเดียว ก้าวไปหยุดยืนที่ด้านข้าง ของรถแล้ว พลินเอื้อมมือเปิดตอนหลังตามสั่ง เห็นถุงวาง ไว้เพียงใบเดียวตรงพื้นรถ รีบเอื้อมมือคว้ามาแล้วก็พบว่า ก้นถุงขาด ของด้านในเลยร่วงหล่นลงสู่พื้นในทันที พลินก้มหยิบขึ้นมา ตั้งใจเก็บไว้ในถุงแบบเดิม แล้วรวบถุงไม่ให้ของหล่นลงอีก

แต่แล้วของที่หยิบได้นั่น ทำให้หัวใจดวงน้อยยอกแสลง กระตุกวูบเหมือนถูกช็อตด้วยกระแสไฟฟ้าแรงสูง มือของ พลินสั่นราวกับคนป่วยเป็นไข้ป่า กลืนน้ำลายลงคออย่าง ฝืดฝืนเหมือนกลืนเศษแก้วแตกละเอียดลงคอ จับของชิ้น นั้นใส่กลับลงไปในถุงดังเดิม รวบปากและก้นถุงเพื่อไม่ให้ มันหล่นออกมาอีก ก้าวเท้ายาวๆ กลับเข้าบ้านไป

ใจเต้นแรงที่ไม่รู้ว่ามีความรู้สึกใดอยู่ข้างในนั้นบ้าง

โกรธ?…เธอมีสิทธิ์หรือที่จะโกรธเขา ใช้สิทธิ์อะไรกันพลิ น

น้อยใจ?…นั่นยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่

เกลียด?…ควรเป็นเขามากกว่าที่รู้สึกแบบนั้นกับเธอ

อารมณ์ภายในตีรวนกันจนสับสน อยากร้องไห้ แต่น้ำตา เหือดหายเข้าไปในอกแล้ววินาทีนี้ หญิงสาวเดินขึ้นไปชั้น บน พบเขายืนกอดอกรออยู่ ใบหน้าเฉยเมยของเขาติดมี แววเยาะหยันมองมาอย่างไม่เป็นมิตร

พลินส่งถุงที่ม้วนเป็นก้อนกันไม่ให้ของด้านในหล่น ส่งให้เขาด้วยมือที่สั่นเบาๆ ไม่กล้าสบตาด้วย จึงไม่เห็นว่า เจ้าของบ้านกระตุกยิ้มมุมปากหน่อยหนึ่ง เขายื่นมือออก มารับไม่พูดอะไร แล้วหันหลังกลับเข้าห้องของเขาไป

จากนั้นถึงเดินใจลอยกลับเข้าห้องของตัวเองในนาทีต่อ มา คืนนั้นทั้งคืนพลินนอนไม่หลับ แม้เหนื่อยมากก็ตามที แต่ก็ยังหลับตาไม่ลง เช้ามืดจึงตื่นขึ้นแบบง่วงงุนเล็กน้อย

“ตื่นเช้ากว่าทุกวันเลยนะคะ”

เสียงทักนั่นเป็นของศยามล ผู้ช่วยสาววัยสี่สิบปลายๆ ของบารมี นอกจากเจ้าหล่อนจะดูแลตารางนัดหมายให้ คนเป็นนายแล้ว ยังดูแลเรื่องอาหารการกินให้บารมีด้วย ทักทายกันแล้ว พลินเลยลงมือทำอาหารเช้ารอท่าบุตร สาวสุดรักของตน จวบจนเรียบร้อยแล้ว จึงหันมาทางคน ของบารมี

“ข้าวต้มนี่ตักกินได้เลยนะคะคุณมล”

“หืม…หอมเชียวค่ะ”

“ตักได้เลยนะคะ พลินทำเผื่อไว้เยอะเลย

บอกจบขอตัวขึ้นไปยังห้องของบุตรสาว เปิดเข้าไปเบาๆ พร้อมทักทาย “ตื่นหรือยังคะเด็กดีของแม่”
ร่างน้อยลืมตาตื่นแล้วตอนที่พลินเปิดประตูเข้าไป เจ้า ตัวบ่นเสียงงัวเงีย “น้องพราวด์หิว”

ยิ้มอ่อนโยนให้ ยิ่งเลี้ยงยิ่งรักยิ่งเอ็นดูเมื่อแม่ตัวดีตื่น ปุ๊บก็หิวปั๊บเช่นนี้ กระนั้นเลยอ้วนกลมแก้มป่องอมสีชมพู ชนิดที่ใครเห็นก็ต่างพูดเป็นเสียงเดียวว่าช่างน่าชังน่าฟัด นัก นายแม่เองก็หลงหลานอย่างกับอะไรดี แม้อยู่ไกลแต่ ก็โทรศัพท์หาแม่ตัวดีวันละสามสี่รอบด้วยความคิดถึง

“งั้นลุกขึ้นอาบน้ำเร็ว วันนี้มีข้าวผัดปูของโปรดของใคร เอ่ย…”

“เย้ ข้าวผัดปูของโปรดของน้องพราวด์ค่ะ น้องพราวด์จะ กินสิบจานเลยค่ะ”

“ได้เลยค่ะ แต่ต้องลุกขึ้นไปล้างหน้า แปรงฟัน อาบน้ำ

ก่อนนะคะคนดีของคุณแม่”

จัดแจงพาไปอาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน แต่งชุดสวยแล้ว เปิดประตูลงไปยังด้านล่างเพื่อรับประทานอาหารเช้าด้วย กัน สองสาวนั่งลงที่โต๊ะอาหารแล้ว พลินค่อยออกปาก ถามอย่างเอาใจ

“มีแพนเค้กด้วยนะลูก กินไหมคะ”
“กินค่ะ”

“ไหวเหรอ” แสร้งถามยั่วแหย่ไปอย่างนั้น

“ไหวค่ะคุณแม่ทำอะไรก็อร่อย ป้าแจ๋วบอกว่าอีกหน่อย น้องพราวด์ต้องกลิ้งแทนวิ่งแน่ๆ เลยค่ะ” เจ้าตัวน้อยของ เธอบอกเสียงใส ยิ้มจนตายิบหยีเล่าให้คนเป็นแม่ฟัง

ลูกคงเป็นสิ่งเดียวที่ก่อความสุขขึ้นในใจของพลิน จึง เดินไปหยิบจานกระเบื้องที่มีแพนเค้กมาวางไว้ให้ตรงหน้า บุตรสาวของเธอมองแล้วก็ตาโต

“อู้หูว….น่ากินที่สุดเลยค่ะ”

พอหยิบเข้าปากคำหนึ่งก็ยิ้มร้องขอ

“คุณแม่ขา น้องพราวด์อยากได้น้ำผึ้งด้วยค่ะ”

“ได้ค่ะ เดี๋ยวแม่ไปหยิบมาให้

พลินหายเข้าไปในครัว ก่อนออกมาพร้อมเหยือกเซรามิ กสีขาวเล็กๆบรรจุน้ำผึ้งข้างใน ปากก็คุยไปด้วย

“อยากได้อะไรอีกไหมคะ”
บุตรสาวของเธอส่ายหน้า หยิบแพนเค้กกินจนเกือบหมด ค่อยแว่วเสียงคุยของบารมีกับใครอีกคนที่ฟังดูคุ้นเคยจน พลินเผลอขมวดคิ้ว ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังตรงมายัง ห้องอาหารแห่งนี้

พลินหันหน้าไปมองตรงประตูทางเข้าห้องก็ให้ใจหาย วาบเมื่อเห็นคนที่เดินเคียงข้างมากับบารมีปรากฏกายขึ้น ในวินาทีนั้น

“น้ำหนึ่ง…”

พึมพำชื่อเพื่อนเบาๆ ด้วยความรู้สึกเหมือนหายใจไม่

ออก

เพื่อนของเธออยู่ในเสื้อเชิ้ตตัวโคร่งที่ไม่น่าใช่เสื้อของผู้ หญิง ให้ทายก็คิดว่าน่าจะเป็นเสื้อของบารมีมากกว่า

“มีอะไรกินบ้าง”

เสียงเข้มถามขัดความสงสัยปนรวดร้าวในแววตาของ พลินขึ้นเสียก่อน

พลินกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอเมื่อมองหน้าชาย หญิงสองคนที่เพิ่งเดินเข้ามาใหม่ในห้องอาหาร ใจของ เธอกระตุกเป็นจังหวะแปลกๆ ก่อนอาสา
“พลินไปดูให้ค่ะ”

บารมีบอกขัดเสียงเย็นชา เรียกคนของตัวเอง

“ไม่ต้อง! คุณมล!”

ไม่นานเจ้าของชื่อรีบวิ่งหน้าตั้งเข้ามารับคำสั่ง บารมี จึงสั่งสิ่งที่ต้องการไปแล้วหันมาถามน้ำหนึ่งด้วยน้ำเสียง อาทรอ่อนโยนผิดกับที่ใช้เสวนากับเธออย่างสิ้นเชิง

“รับเป็นข้าวต้มไหมคะคุณบารมี คุณพลินเธอทำเองเลย นะคะ”

“ผมไม่ชอบอาหารประเภทต้มๆ!” ตอบเสียงแข็งพร้อม จ้องหน้าพลิน นิ่ง สั่งต่อ “เดี๋ยวบอกเด็กยกมื้อเช้ามาให้ผม เลยนะคุณมล”

ได้ยินเขาสั่งคนของเขา พร้อมสายตาคมราวใบมีดที่ มองมาที่เธอ พลิน เม้มปากแน่น ก้มหน้างุดไม่กล้ามอง ใครในห้องนั้นอีก จึงไม่เห็นสายตาของน้ำหนึ่งที่มองมา ด้วย

อาหารตรงหน้าเธอกลืนไม่ลงแล้วตอนนี้

แว่วเสียงบารมีคุยหยอกล้ออยู่กับบุตรสาวตามด้วยเสียงหัวเราะของทั้งสามคนราวกับว่าทั้งหมดนั่นเป็น ครอบครัว พ่อ แม่ ลูก สุขสันต์ โดยมีเธอเป็นส่วนเกิน พลิ นได้แต่ก้มหน้าก้มตาฝืนกินอาหารจนหมด พอดีกับที่บุตร สาวเรียกให้พาไปห้องน้ำ จึงสบโอกาสลุกออกจากตรง นั้นมาได้

แล้วนึกถึงของที่เขาใช้ให้เธอไปหยิบที่รถ คอนดอม กล่องนั้นเขาใช้มันกับเพื่อนของเธออย่างนั้นหรือ พวกเขา มีอะไรกันอย่างนั้นหรือ คิดแล้วเจ็บปวดน้อยเสียที่ไหนกัน


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ