1
1
“ช่วยซื้อหัวมันต้มหนูหน่อยนะคะ ช่วยซื้อหน่อยค่ะ” เสียงหวานใสเจือแววเศร้าสร้อยของเด็กหญิงพลับพลึง พาตะกร้าใบเก่าๆ พร้อมทั้งมันเทศต้มวิ่งขายไปตามงาน ในช่วงเทศกาลปีใหม่อยู่ในหมู่บ้านซึ่งจัดงานส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ เธอใส่เสื้อผ้าเก่าๆ ขาดๆ และไม่มีแม้แต่ รองเท้าที่จะสวมใส่ แต่เธอก็ยังขายมันต้มไม่ได้สักหัว เพราะผู้คนหันไปสนใจซื้อของกินแสนอร่อยอย่างอื่นแทน
เธอตื่นขึ้นมาต้มมันเทศที่ไปขุดมาจากในป่าแถวบ้าน ตั้งแต่ย่ำรุ่ง ก่อนจะเดินเท้าเปล่ามายังงาน เด็กน้อยมอง ความตื่นตาตื่นใจของงานซึ่งมีเครื่องเล่นหลายอย่าง ทั้ง ชิงช้า ม้าหมุนหรือกระเช้าลอยฟ้า แม้จะอยากเล่นแค่ ไหนแต่เธอไม่มีเงินติดตัวสักบาทเดียว ได้แต่ยืนมองด้วย ความอิจฉาเด็กคนอื่นๆ
ผู้คนในงานสวมใส่เสื้อผ้าสวยๆ ด้วยชุดใหม่ในเทศกาล ปีใหม่ เธอก้มมองเสื้อผ้าขาดๆ มอซอของตัวเองแล้วหน้า เศร้า จำไม่ได้ว่าตัวเองได้รับเสื้อผ้าที่มีคนใจบุญบริจาค มาให้กี่ปีมาแล้ว เพราะเด็กน้อยสวมชุดเก่าๆ ซอมซ่อ จึง ไม่มีใครอยากอุดหนุนมันเทศของเธอ รวมถึงสายตาที่ มองมานั้นเต็มไปด้วยความดูถูกดูแคลน
เด็กน้อยพลับพลึงเดินเท้ากลับบ้านด้วยความเศร้าใจ ระคนหวาดกลัว เธอกลัวบิดาจะทุบตีเอา ท่านเป็นคนติด เหล้า และชอบขู่ให้เธอไปทำงานหาเงินตั้งแต่เด็ก ท้อง ของเธอร้องไปตลอดทางที่เดินกลับบ้าน จำได้ว่าก่อน หน้านี้ได้ไปยืนอยู่หน้าร้านขายลูกชิ้นปิ้งแต่ไม่มีเงินซื้อ จึง ได้แต่กลืนน้ำลายด้วยความหิว จนโดนพ่อค้าไล่ตะเพิด ออกมา หาว่าเกะกะหน้าร้าน
เท้าเล็กๆ ที่ไร้รองเท้าติดกายเจ็บปวดไปหมดเพราะโดน หนามทิ่มตำขณะย่ำเดิน เด็กหญิงเดินมาถึงบ้านก็ไม่กล้า เดินเข้าไปในบ้าน ได้ยินเสียงบิดาตั้งวงกินเหล้ากับบร รดาเพื่อนๆ ของพวกท่านอยู่ด้านในของตัวบ้าน
ภายในบ้านกำลังสังสรรค์กันอย่างสนุกสนานในขณะที่ เธอเต็มไปด้วยความเศร้า พลับพลึงสะดุดหกล้มระหว่าง เดินเข้าไปใต้ถุนบ้าน เด็กน้อยไม่กล้าร้องเสียงดังกลัว บิดารู้ว่ากลับมาแล้ว เธอเข้าไปนั่งขดตัวอยู่ที่ซอกเล็กๆ ด้วยความหนาวเหน็บ เก็บมันเทศต้มขึ้นมาปัดเศษดินออก ไปเบาๆ ก่อนจะนำมาปอกกินด้วยความหิวโหยแล้วเผลอ หลับไป เด็กน้อยถูกกระชากแขนให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้งใน ช่วงสาย เธอเห็นใบหน้าถมึงทึงของบิดาก็สะดุ้งสุดตัว
“ไหนเงินนางพลับพลึง”
“ไม่มีจ้ะพ่อ เมื่อคืนหนูขายมันเทศไม่ได้เลยจ้ะ”
“อะไรนะ นางลูกหน้าโง่ทำไมถึงขายไม่ได้ โกหกหรือ เปล่า เอ็งอมเงินใช่ไหม
“หนูเปล่านะจ๊ะ”
“หัดโกหกตั้งแต่เด็ก สันดานเหมือนแม่มึงไม่มีผิด โตขึ้น คงจะหนีตามผู้ชายไปเหมือนแม่มึง มานี่เลย วันนี้กูจะเอา เลือดหัวมึงออก” นายพ้นหยิบไม้เรียวมาถือเอาไว้ก่อนจะ หวดไปที่สะโพกเล็กๆ ของบุตรสาวเต็มแรง
“โอ๊ย! โอ๊ย! โอ๊ย! พ่อจ๋า หนูเจ็บ อย่าตีหนูเลย หนูขาย มันเทศไม่ได้จริงๆ นะจ๊ะ หนูไม่ได้โกหก”
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปมึงไม่ต้องไปโรงเรียนอีกต่อไปแล้ว เรียนไปก็เปลืองเงิน” คนพูดยังตีไม่หยุดมือ
“พ่อจ๋า อย่าตีหนูเลย หนูเจ็บ” เด็กน้อยยกมือไหว้ปลกๆ ร้องไห้น้ำตาเปรอะเปื้อน
“ต่อจากนี้ไปถึงต้องออกมาทำงานหาเงิน”
“หนูอยากเรียนต่อ พ่อให้หนูเรียนเถอะนะจ๊ะ” เด็กน้อย เอ่ยขอร้องเสียงสั่น ร้องไห้จนน้ำตาไหลพรากอาบแก้ม นวลทั้งสองข้าง ปวดแสบปวดร้อนไปหมดที่โดนไม้เรียว หวดลงมาบนสะโพกไม่ยั้งแรง
“กูไม่ให้มึงเรียนแล้ว หูแตกหรือไงวะ ไปทำงานไป” นาย พันผลักร่างบุตรสาวจนหงายหลัง ไล่ให้ไปทำงาน ไล่ตีไม่ ยังหากอีกฝ่าย อ
พลับพลึงทำงานมือไม้สั่นเทา แอบคิดถึงมารดาจับใจ ตั้งแต่จําความได้เธอก็ไม่เคยเห็นหน้ามารดามาก่อน มีแต่ ป้าลําไยเพื่อนของมารดาเล่าให้ฟังเท่านั้นว่ามารดาเป็น คนใจดี
“พ่อเอ็งนี่มันใจร้ายจริงๆ ไม่คิดว่าจะเปลี่ยนไปขนาดนี้ เมื่อก่อนมันรักเอ็งมากนะ” ลำไยพูดกับเด็กน้อยที่เอ็นดู เหมือนลูกหลานเพราะท่านไม่มีครอบครัวและเคยเป็น เพื่อนจินดามารดาของพลับพลึงมาก่อน
“พ่อเคยรักหนูด้วยเหรอจ๊ะ” พลับพลึงเอ่ยถามเสียงเศร้า พลับพลึงไม่เข้าใจว่าความรักจากบิดาเป็นเช่นไร เธอไม่ เคยสัมผัสสิ่งที่เรียกว่าความรักจากท่านเลย
“กินอะไรหรือยัง ป้าทำข้าวเหนียวหมูทอดเหลืออยู่อีก นิดมากินสิ” ลำไยเปลี่ยนเรื่อง นึกสงสารปนเวทนาเด็ก น้อยจับใจ
“กินได้จริงๆ เหรอจ๊ะ” เด็กน้อยเอ่ยถามกลืนน้ำลายด้วย ความหิว
“กินได้สิ เอ็งก็เหมือนลูกหลาน ไม่มีข้าวกินมากินบ้านป้าได้เลยไม่ต้องเกรงใจ” ลำไยตักข้าวเหนียวหมูทอดให้ เด็กน้อยหน้าตามอมแมม เสื้อผ้าก็เก่าๆ ขาดๆ ถ้าเธอพอ ช่วยอะไรได้ก็จะช่วยเพราะสงสาร พลับพลึงยกมือไหว้ ป้าลำไยก่อนจะกินข้าวเหนียวหมูทอดด้วยความหิว ลำไย เห็นแล้วเศร้าใจในชะตาชีวิตของเด็กน้อย มือคล้ำๆ ลูบ ศีรษะเล็กๆ นั้นเบาๆ
“แล้วนี่เอ็งจะไปไหนล่ะ” ลำไยเอ่ยถาม มองเด็กน้อยที่ กินด้วยความหิวอย่างเอ็นดู
“ไปดายหญ้าจ้ะ มีคนจ้างหนู” ประโยคของเด็กน้อย ทำให้ลำไยของขึ้น นึกโกรธไปถึงบิดาของเด็กน้อย
“พ่อเอ็งไม่ทำงานรึไง เอาแต่ใช้เอ็ง แล้วนี่ไม่ไปโรงเรียน แล้วเหรอพลับพลึง”
“พ่อไม่ให้เรียนแล้วจ้ะ” เด็กน้อยหยุดกินเพราะเริ่มกลืน ไม่ลง น้ำตาซึมด้วยความเศร้า อยากเรียนหนังสือเหมือน เด็กคนอื่นๆ แต่บิดาไม่ให้เรียน
“ไอ้พันนี่มันยังไงกัน ลูกเต้าก็ไม่ให้เรียน บ้าบอคอแตก ที่สุด” ลำไยด่ายาวเหยียดด้วยความโมโห
“หนูต้องไปทำงานแล้วนะจ๊ะป๋า เดี๋ยวไปสายเขาจะจ้าง คนอื่น”
“เอาขนมนี่ไปกินรองท้องนะ” ลำไยหยิบขนมกล้วยยัด ใส่มือเด็กน้อย
“ขอบคุณป้ามากเลยนะจ๊ะ” พลับพลึงยกมือไหว้อย่าง ดีใจ ซาบซึ้งในบุญคุณของท่านเหลือล้น ลำไยมองตาม ร่างเล็กไปด้วยความเวทนา ท่านเองก็หาเช้ากินค่ำ ขาย ของได้บ้างไม่ได้บ้าง กำไรน้อยนิดอยากจะช่วยให้ มากกว่านี้แต่ไม่มีปัญญาเลยช่วยเท่าที่ช่วยได้เท่านั้น
พลับพลึงคอยรับจ้างทำงานเท่าที่จะทำได้เพื่อหาเงินมา ให้บิดา ผู้ใหญ่คนไหนใจดีก็จ้างเธอ แต่คนไหนเห็นว่าจะ เอาเปรียบได้ก็เอาเปรียบ เด็กน้อยตัวเล็กๆ เที่ยวของาน ทำไปเรื่อยๆ มือน้อยๆ หยาบกร้านเพราะต้องทำงานทุก วัน แทบไม่ได้หยุดพักแม้แต่วันเดียว
เด็กน้อยแอบเดินลัดเลาะไปที่โรงเรียนด้วยเท้าเปล่าๆ มองเด็กคนอื่นๆ ที่กำลังเรียนหนังสือแล้วร้องไห้เบาๆ อยู่ ใต้ต้นไม้ใหญ่ตรงลานโล่ง เสียงสะอื้นนั้นทำให้ครูใหญ่ที่ เดินสำรวจอยู่บริเวณโรงเรียนได้ยินเข้า
“อ้าว… พลับพลึงมานั่งร้องไห้อยู่ตรงนี้ทำไม” ครูใหญ่ เอ่ยถามด้วยความสงสาร เด็กในโรงเรียนนั้นมีไม่กี่คน จึง ทำให้ครูใหญ่จึงจำชื่อเด็กทุกคนได้
“คือหนู….” พลับพลึงเงยหน้าขึ้นมองครูใหญ่น้ำตานอง ก่อนจะสะอื้นฮักๆ
“เป็นอะไรบอกครูมาซิ แล้วทำไมไม่มาเรียนเหมือนคน อื่นเขา” ครูใหญ่เอ่ยถามพลางลูบศีรษะไปมา พลับพลึง ยิ่งร้องไห้หนักขึ้นไปอีก มืออุ่นๆ นั้นทำให้เธอรู้สึกได้ถึง ความเมตตาปรานี
“เอาเช็ดน้ำตาซะ” ครูใหญ่สุภาพหยิบผ้าเช็ดหน้าใน กระเป๋าส่งให้เด็กน้อย เธอรับไปซับน้ำตาที่ใบหน้าก่อนจะ พูดเสียงสะอึกสะอื้น
“พ่อไม่ให้พลับพลึงเรียนหนังสืออีกแล้ว ฮึกๆ ฮือๆๆ” เด็ก น้อยพูดไปร้องไห้ไป ครูใหญ่เห็นแล้วสะท้อนใจ
“เดี๋ยวครูจะไปคุยกับพ่อของเธอเอง” ครูใหญ่สุภาพมอง เด็กน้อยด้วยแววตาสงสารจับใจ คิดว่าควรต้องไปคุยกัน ให้รู้เรื่อง
“พ่อจะตีหนูอีกไหมคะ” คนที่โดนพ่อตีบ่อยๆ เริ่มหวาด กลัว
“เดี๋ยวครูให้พูดเอง เชื่อครูสิ” ครูใหญ่ลูบศีรษะเด็กน้อย เพื่อปลอบประโลม
“จริงๆ เหรอคะ” พลับพลึงเอ่ยถาม สีหน้ามีความหวัง
“จริงสิ” น้ำเสียงปรานีเอื้อเอ็นดูของครูใหญ่ทำให้เด็ก น้อยยิ้มออก
“เลิกเรียนแล้ว งั้นเดี๋ยวเราไปกันเลยนะ
“ค่ะ” มือแสนอบอุ่นของครูใหญ่จับมือเล็กๆ พาเดินไป ยังบ้านของเด็กน้อยซึ่งอยู่ห่างออกไปจากโรงเรียนหลาย กิโลเมตร
ครูใหญ่สุภาพจูงมือเด็กน้อยเดินมาตามทางทุรกันดาร ของหมู่บ้าน พอมาถึงบ้านไม้หลังเก่าๆ โทรมๆ เขาก็ เห็นว่าบิดาของเด็กน้อยกำลังนั่งดื่มเหล้าอยู่บนแคร่ใต้ ต้นมะขาม
“นายพัน” ครูใหญ่เอ่ยเรียกเสียงหนัก พันวางจอกเหล้า มือสั่นก่อนจะยกมือขึ้นท่วมหัว เหลือบมองบุตรสาวที่ยืน หลบอยู่ทางด้านหลังของครูใหญ่ด้วยสายตาไม่ชอบใจ นัก คิดว่าบุตรสาวคงไปฟ้องอะไรครูใหญ่เป็นแน่ อีกฝ่าย เลยมาถึงบ้านเช่นนี้
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ