บทที่ 9 Conexion
“เด็กคนนั้นเป็นโรคเดียวกับแม่ของฉัน ที่เสียไปแล้ว”
นั่นคือประโยคแรกที่เธอได้ยินหลังจากย่างก้าวเข้ามาใน ห้องพักคนไข้พิเศษวินาทีแรก คนพูดยังคงนอนนิ่งเหมือ มองสวนหย่อมข้างล่างอยู่อีกพักหนึ่ง ทั้งห้องสงบเงียบ ตามหมด สิ้นค่เอื้อนเอ่ยใด
ในตอนแรกเธอก็สงสัยอยู่ว่าจิณณ์บาดเจ็บขนาดนี้ แต่ ทำไมไม่มีญาติมาเยี่ยมบ้าง….นี่คือเหตุผลหนึ่ง
ปีนชายตามองเพื่อนของเธอ ‘ปารย์” ซึ่งจะมาพบจิณณ์ เพื่อขอขอบคุณที่ช่วยรักษาให้ แต่ไม่ทันได้พูดจาอะไรก็ น้ำตาท่วมจอจนต้องถอดแว่นเสียแล้ว
“แล้วนี่พวกนายจะเงียบ ทำเศร้ากันอีกนานไหมเนี่ย” จิณณ์เป็นคนทำลายบรรยากาศที่ตนสร้างขึ้น จนคนอื่น อยากจะเหยียบซ้ำยิ่งนัก
ปิ่นมองหน้าหญิงสาวอีกคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ข้างเตียงคนไข้ แล้วก็นึกประหลาดใจ… เพราะช่างเป็นหน้าที่คุ้นตาเอา มาก ๆ
“เอ๊… เธอนี่ โนวา แห่งฮาลองหรือเปล่า” มิกิทักง่าย ๆ ปิ่น ตบมือเหมือนเพิ่งจะนึกออก
นั่นคุณ.serene แห่งนารา ใช่ไหมคะ?” เธอถามกลับ แต่ยังไม่ทันได้รับค่าตอบสาวผมสั้นตรงหน้าก็ตรงรี่เข้ามา สวมกอดเธอทันที จนอดอายสายตาคนอื่นที่ยังมองทั้งคู่ แบบงง ๆ ไม่ได้
“แหมให้ตายสิไม่เจอกันตั้งนาน! เป็นยังไงบ้าง” มีก็ทัก ก่อนจะชำเลืองมองเพื่อนของปืนที่ยังน้ำตาไหลไม่หยุด สลับกับคุณครูสาวชาวต่างชาติของโรงเรียนต้น
“ว่าแต่เพื่อนเธอเป็นอะไรเหรอ โนวา”
ปิ่นทำหน้ายุ่ง
“คือเธอค่อนข้างอ่อนไหวน่ะค่ะ รับรู้ความรู้สึกของคน อื่นได้… มากเกินไปหน่อย” ปิ่นว่าแล้วก็ยิ้มให้
“ว่าแต่พวกเธอรู้จักจิณณ์ได้ไงล่ะ ?” มิกิถามด้วยความ สงสัย แต่คำถามนั้นเล่นเอาปิ่นกับจิณณ์ใจหายใจคว่ำ
“แค่บังเอิญไปเจอเด็กคนนั้นทำแว่นตก ก็เลยช่วยเก็บให้ น่ะ” จิณณ์รีบแก้ตัวทันควัน ก่อนจะหัวเราะแหะ ๆ แสดง พิรุธอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็บังเอิญระฆังฮารุตบมือเรียกร้อง ความสนใจไปเสียก่อนที่มิกิจะยิงคำถามต่อ
“ฉันนึกออกแล้ว การแข่งกีฬาเชื่อมสัมพันธ์เมื่อสองปี ก่อนล่ะสิ!” หมอนั่นพูดเปิดโอกาสให้อาจารย์ฟิเลเน่ได้ร้องอ๋อนิดหนึ่ง เธอเองก็เคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องที่ว่า….
เนื่องจากที่ทั้งสองโรงเรียนถูกจัดให้อยู่ในระดับต้นของ เมือง มิหนำซ้ำยังอยู่ใกล้กันอีก ทุกปีจึงมีการจัดแข่งขัน กีฬาวัฒนธรรมขึ้นเพื่อให้เด็กของทั้งสองโรงเรียน ได้ แสดงฝีมือกันบ้าง และเมื่อสองปีก่อนในการแข่งขัน ฟุตบอลพลังจิตของชั้น ม.ต้น… เอสของสองโรงเรียนได้ มาประจันหน้ากันในสนาม…
ปิ่นในตอนนั้นอยู่ชั้นปี 1 มีความสามารถสร้างแรงดึงดูด ระดับ A
ส่วนมิกิ… ชั้นปี 3 มีความสามารถในการย้าย ‘แรง’ ไป พิกัดอื่นที่อยู่บนพื้นผิวและระนาบเดียวกัน ระดับ B …
เมื่อสองความสามารถที่คานกันโดยสิ้นเชิงมาซัดกันซึ่ง ๆ หน้า ปีนั้นจึงนับเป็นหายนะอย่างแท้จริง เด็กคนอื่น ๆ ต่างโดนลูกหลงวิ่งหนีร้องไห้กันจ้าละหวั่น แม้แต่คนดูยัง โดนลูกหลงเข้าไปด้วย นับตั้งแต่ปีนั้นเป็นต้นมา… การ แข่งขันกีฬาก็โดนระงับไปอย่างชั่วคราม
มาถึงตอนนี้การสังคายนากฎเกมการแข่งขัน เพื่อจะจัด เทศกาลพรรค์นั้นขึ้นก็ยังไม่แล้วเสร็จเลย และคาดว่าอาจ จะไม่ได้เห็นในเร็ววันเป็นแน่
อาจารย์ฟิเลเน่อุบหัวเราะไม่อยู่ เล่นเอาทั้งคู่หน้าแดงไปตาม ๆ กัน
ฮารุกับมิกิก็ถือโอกาสลากลับไปก่อน ปล่อยให้เหลือ เพียงนายจิณณ์กับสามสาว… ทุกคนนิ่งเงียบพูดอะไรไม่ ออก ก่อนที่อาจารย์สาวจะตัดสินใจเดินมานั่งอยู่ข้างเตียง
“อาการเป็นอย่างไรบ้างคะคุณจิณณ์” เธอถามอย่าง สุภาพ แต่สายตาใต้แว่นนั้นกลับคมกริบพร้อมจะชิงความ ลับของเขาทุกเมื่อ
“ผมอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับขาผมมากเลยตอนนี้” จิณณ์ตอบกลับ ซึ่งนั่นทำให้สีหน้าของปิ่นเปลี่ยนแปลง เล็กน้อย หยาดเหงื่อเม็ดจิ๋วไหลเป็นทางยาวจากไรผมสู่ คาง…
“หมอว่ากระดูกนายร้าวนิดหน่อยน่ะ” ปิ่นเดินเข้าข้าง เตียงบ้างแต่ไม่กล้าสบตาด้วย ซึ่งมันทำให้เขาเองก็ชัก จะเริ่มประหม่าขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อคิดถึงเรื่องเมื่อคืน… “หนังสือเล่มก่อนฉันเอาไปคืนให้แล้วนะ ส่วนเล่มนี้ก็…เอา ไปสิ” เธอยังพูดห้วน ๆ เช่นเคยพลางยื่นหนังสือเก่า กึกสีน้ำตาลแก่ หน้าปกเขียนว่า ‘รากฐานความคิดของ วัฒนธรรมจีนโบราณ โดย ดร.โซเร็น วาร์ลเดน’
จิณณ์รับมามองอย่างงง ๆ เพราะเล่มนี้เขายังไม่ได้อ่าน เลย… นั่นแสดงว่าคุณเธอถึงขั้นไปนั่งเรียงดูประวัติการยืมหนังสือของเขาที่ห้องสมุดมาแล้ว กว่าจะ เลือกเล่มนี้มาได้
“ส่วนงานของนายฉันก็ไปบอกพ่อของเมตราให้แล้ว” ปิ่น อธิบาย แสร้งทําเป็นขึงขังเบือนหน้าหลบ ปารย์เด็กสาว ท่าทางเรียบร้อยผมสีดำยาวสลวยก็เดินตรงเข้าหาเขา แล้วก้มให้อย่างบรรจง ทำเอาจิณณ์ปั้นหน้าไม่ถูกอยู่พัก ใหญ่
…ก่อนจะถอนหายใจ
“ยอมแพ้ มีเทเลพาธี มาด้วยแล้วฉันจะโกหกต่อไปได้ยัง ไงเล่า” จิณณ์โพล่งออกมาอย่างหัวเสีย เรียกทุกคนให้หัน ขวับมาทางตัวเอง หมอนั่นยังคงหลับตาเกาหัวยุ่ง ๆ ของ ตนไม่หยุด
“คุณเองก็ใช่สินะคะ” ปารย์พูดพลางขยับแว่นยิ้มให้ “ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยฉันไว้”
“เดี๋ยวสิ!” อาจารย์ฟิเลเน่ท้วงขึ้นมาก่อน ณ ที่นั้นมีเพียง เธอกับ ปิ่นเท่านั้นที่ยังทำหน้ามึนอยู่และจับความอะไรได้ ไม่ถนัดนัก “นายรู้ได้ไงน่ะ…?” ปิ่นถามต่อให้จบ
“Conexión” จิณณ์เป็นคนเริ่มประเด็นขึ้นมาเองจนทั้งคู่ ผงะ “ความจริงมันก็เป็นสาขาหนึ่งของเทเลพาธีนั่นแหละ” เขาสรุปรวบยอด จนนักวิจัยสาวลุกพรวดขึ้นมองด้วยสีหน้าตื่นตกใจ
“อะ…อะ อะไรนะ!
จิณณมองหน้าคุณอาจารย์แล้วก็ม
“คิดว่าตามปกติระดับพลังของเทเลพาธี… วัดกันที่ไหน ล่ะครับ แบบไม่ต้องใช้เครื่องมือน่ะนะ”
“เทเลพาธีก็คือการรับรู้ แต่ละคนก็มีสิ่งที่มองเห็นแตก ต่างกันออกไป พลังของเทเลพาธิจึงต้องวัดกันที่… ขอบเขตของการรับรู้น่ะสิ” อาจารย์ฟิเลเน่อธิบาย
ปิ่นหน้าตื่นขึ้นฉับพลันหลังจากเงียบอยู่พักหนึ่ง… พลาง ปาดเหงื่อเม็ดน้อยซึ่งผุดขึ้นที่หน้าผาก จิณณ์ยิ้มบางให้ เพราะรู้ว่าเธอปะติดปะต่อจิ๊กซอว์ในหัวทั้งหมดได้แล้ว เขาหันกลับไปที่คุณอาจารย์อีกครั้ง
“ผมล่ะสงสัยจริง ๆ เลยว่า…นักวิจัยไม่เคยคิดถึงความ เป็นไปได้ที่ว่า….” จิณณ์แอบหยุดแกล้งคนที่ยืนลุ้นก่อนจะ พูดต่อไป “จะมีเทเลพาธีคนไหนที่ หลังจากรับรู้แล้วยังทำ อย่างอื่นต่อได้อีกน่ะ”
จิณณ์ชูมือขวาของเขาตรงไปทาง อ.ฟิเลเน่ วินาทีนั้น เธอสัมผัสได้ถึงกระแสลม… หรืออะไรบางอย่างกำลัง ผลักดันใบหน้าของเธออยู่
“นั่นไม่ใช่ลม แต่เป็น ‘คลื่น’ พลังจิตของนายที่อัดรวมตัว กัน แล้วมีปฏิกริยากับอากาศ… เมื่อมีสิ่งที่หนาแน่นกว่ามา แทนที่อากาศจึงเคลื่อนตัวงั้นสินะ” ปิ่นแทรกขึ้นมาบ้าง แล้วยิ้มแหยง ๆ ให้นักต้มตุ๋นที่ใจกล้ามากพอจะหลอกลวง คนอื่นด้วยวิธีแบบนี้มาร่วม 10 ปี…
“ถ้าฉันแสดงตัวเป็นเป็นเทเลพาธี เพื่อนของฉันก็จะเป็น พวกเทเลพาธีเสียเยอะ และความอาจจะแตกเอาง่าย ๆ แต่ถ้ายอมเป็นไอ้ผู้ใช้สายลมกระจอกที่พัดได้แค่เศษ กระดาษ คนก็ไม่ค่อยสนใจจริงไหมล่ะ” จิณณ์ตอบกลับ ยิ้มกริ่ม ทำเอาทุกคนตรงนั้นเผลอกลืนน้ำลายคำโต
ความคิดเดิม ๆ กลับตาลปัตรสิ้นเชิง จากที่เคยคิดว่าเป็น แค่คนซื้อ ทอ และบ้า แต่ความจริงแล้วเจ้าหมอนี่… ไอ้ หมอนี่… มันคิดแผนลวงโลกแบบนี้ได้ตั้งแต่อายุไม่กี่ขวบ เลยงั้นหรือ พวกเธอไม่อยากจะเชื่อเลยจริง ๆ !!
“เพราะงั้น… พลังที่นายใช้จริง ๆ ก็คือการจูนคลื่น สัญญาณอะไรประมาณนั้นงั้นสิ” ปิ่นสรุปความง่าย ๆ ทั้ง ที่คิ้วยังขมวดมุ่น
“แค่ส่วนหนึ่ง แต่ก็ใช่การที่จะให้ยืมพลังได้ก่อนอื่นก็ต้อง ทำให้สัญญาณตรงกัน… คลื่นสมองตรงก่อน” เขาหยุด พักนิดหนึ่ง “ส่วนการจะระงับการใช้พลังคนอื่น… ในเมื่อ คนอื่นยืมพลังได้ก็ยึดมาได้เหมือนกัน แต่มีเงื่อนไขว่าตัว ฉันจะต้องมีพลังมากกว่า และ… ยังต้องสัมผัสร่างคนที่ทำการชิงโครโดยตรงอยู่เท่านั้น”
“นายว่า… นายจะต้องมีพลังมากกว่า” ปิ่นพูดแล้วก็ทำ หน้าตื่น “แต่นายระงับฉันได้…นี่?”
คราวนี้แม้แต่ปารย์ที่นิ่งมาตลอดยังตกใจ ไม่ต้องพูดถึง คุณอาจารย์ที่ยืนตัวแข็งทื่อ…
“งั้นหมายความว่าอย่างน้อยนายก็ต้องเป็นระดับ S ที่ เหนือกว่าฉันน่ะสิ!!” เธอโพล่งออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง พลันอีกเสียงหนึ่งก็แทรกขึ้นมาบ้างว่า
“อย่างน้อยก็ SS ต่างหาก” อึดใจถัดมาเจ้าของเสียง ก็ปรากฏตัวขึ้นกลางห้อง พร้อมกับชายผมดำหน้าตา เฉยชาอีกหนึ่ง “อ้าวแปลกใจอะไร ? ฉันเป็นผู้ใช้แสง ระดับ SS แต่หมอนี่ยังระงับฉันได้หน้าตาเฉย
หมอนั่นว่าพลางหัวเราะร่า แต่คนอื่นหัวเราะด้วยไม่ออก โดยเฉพาะจิณณ์ที่มองนายผมหยิกด้วยสีหน้าอย่างกับ เห็นสัตว์ประหลาด พูดจาออกมาไม่เป็นภาษา
“นายเข้ามาทางไหนเนี่ย!” เขาตวาดลั่น
“ทางประตู แต่ให้อลาเบโอเทเลพอร์ตเข้ามา”
เขาอยากจะตะโกนด่านายคนข้างหน้าเป็นภาษาต่างดาว จริง ๆ แบบนั้นมันจะเรียกเข้ามาทางประตูได้ไง ถ้ายังไม่ ๆ ได้แตะประตูเลยสักนิด ที่สำคัญ… ที่สำคัญ… ไอ้พวกนี้
“ใจเย็นน่าจิณณ์ ฉันก็แค่จะมาขอโทษที่ทำให้นายเดือด ร้อนเท่านั้นเอง” ลุซหลับตาพูดก่อนจะค่อย ๆ แย้มดวงตา คมกริบขึ้นมองทุกคนในห้อง “แต่ดูเหมือนว่าจะกลับไปมือ เปล่าไม่ได้เสียแล้ว” เขาเอ่ยเสริม
จิณณ์หน้าซีดทันตาเห็น
“แย่แล้ว ปิ่นมานี่ก่อน!!” เขาตะโกนลั่นห้องพลางยื่นมือ ให้สุดตัว เธอชะงักแวบหนึ่งเพราะความตกใจก่อนจะยื่น มือมาหาจิณณ์ แต่มือข้างนั้นกลับช้ากว่าอลาเบโอเพียง เสี้ยววินาที พริบตานั้นทั้งคนทั้งเตียงก็หายไปต่อหน้า ต่อตา สิ่งที่หลงเหลือมีเพียงแผ่นกระดาษใบหนึ่งที่ค่อย ๆ ร่วงลงบนพื้น มีข้อความเขียนไว้ว่า
เราขอจับตัวหมอนี่เอาไว้ก่อน และจะติดต่อกลับในภาย
หลัง
ลงชื่อ ‘luz’
ปารย์หยิบมันขึ้นอ่าน ก่อนจะยื่นให้เพื่อนของตนแต่ก็ ต้องชะงักไป เพราะยังไม่อยากให้หลักฐานเพียงหนึ่งเดียวต้องสูญสลายไปกับตา ปิ่นในเวลานี้…ในสายตาที่ แฝงไปด้วยพลังพิเศษคู่นี้เห็นเพลิงอเวจีกำลังลุกไหม้อยู่ บนโลกนี้อย่างชัดเจน เธอค่อนข้างมั่นใจว่า
…สงครามคงจะต้องเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้แน่….
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ