บทที่ 6 สิ่งที่อยู่คู่อุปสรรคคือโอกาส
หากพูดถึงหน้าร้อน ของกินที่ติดหูติดตาของทุกคนคงจะ ไม่พ้นไอศครีม และเนื่องจากคนแห่มากินไอศครีม ย่อม ทำให้พนักงานที่มีไม่เพียงพอ จึงเป็นโอกาสให้เหล่าผู้ ไม่มีอันจะกินแต่ขวนขวายหากิน ได้รับจ๊อบเสริมสุขภาพ กระเป๋าเงินกันนิดหน่อย
ร้านไอศครีม ‘บาร์เนล’ สุดหรูมีสาขากว่ายี่สิบสาขา ทั่วเมือง หนึ่งในสาขาที่มีผู้หมายปองจ้องจะทำงานด้วย มากที่สุดไม่พ้นสาขาใจกลางเมือง ซึ่งมีโรงเรียนชื่อดัง มากมาย และยิ่งถ้าทำงานได้ดี เข้าตากรรมการ โอกาส จะได้อยู่ใน งสูงลิบอย่างนี้ก็ยิ่งขึ้นด้วย!
สำหรับเขาผู้โชคร้ายติดต่อกัน 3 วันซ้อน มาวันนี้ร้านดัง กล่าวกลับโทรมาเรียกให้เข้าไปลองงาน ทั้งที่หย่อนใบ สมัครไว้ชาตินึงจนจะลืมไปแล้ว… ความรู้สึกมันเหมือนถูก ปลดปล่อยจากคำสาปทั้งหลายทั้งมวลทันตา
ซึ่งเวลานี้เขาก็อยู่ในร้านนั้น แต่งเครื่องแบบใหม่เอี่ยม อ่อง รับแขกด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส แม้ช่วงเวลาที่ผ่าน มางานค่อนข้างจะว่าง ลูกค้ายังบางตาเพราะโรงเรียนยัง ไม่เลิก…
แหงนมองเวลานิดหนึ่งพบว่า… โรงเรียนใกล้เลิกเต็มที พนักงานทุกคนดูเอาจริงเอาจัง รอคอยเวลากันอย่างตื่น เต้น และ… หลังจากนี้ล่ะคือตัวตัดสิน!
ในไม่ช้าประตูเลื่อนก็เปิดออก เด็กสาวโรงเรียน อาคา นาร์ พากันกรูเข้ามา จิณณ์แสยะยิ้มอย่างผู้มีชัย เขาไม่ พบเด็กตัวแสบที่คอยดูดกลืนโชคของเขาอยู่ได้ทุกวันคน นั้น
“ยินดีต้อนรับครับคุณหนูทั้งหลาย จะสั่งอะไรดีหรือ ครับ” เขาเดินอย่างมาดมั่นแถมแจกยิ้มให้กับลูกค้ากลุ่ม แรกที่เขาจะรับออเดอร์ เด็กสาวผมดำหน้าตาสะสวยจ้อง หน้าเขาตาไม่กระพริบ
…ก่อนจะขมวดคิ้ว…
“นี่นายแล้วปั่นไปไหนล่ะ?” ประโยคแรกที่เธอถามไม่ใช่ เมนู จิณณ์แทบจะหน้าคะลําลงโต๊ะ
“เธอ… เพื่อนของยัยนั่น… เหรอ?”
“แหม ๆ ถึงกับไปดักรออยู่หน้าโรงเรียนเลยนะ” เมตรา แอบกระทุ้งศอกใส่ท้องเขา พรรคพวกหล่อนก็ผสมโรง หัวเราะ แต่มันติดอยู่อย่างหนึ่งคือ…
…เขาไม่ได้ไป…
“ไอ้บ้านั่นอีกแล้วเหรอ…” จิณณ์พึมพำกับตัวเอง ก่อน จะรีบวิ่งออกจากร้านไปด้วยความเร็วทั้งหมดที่เขามี ไม่ ได้ยินแม้เสียงตะโกนด่าไล่หลังของผู้จัดการสาขา
เด็กสาวผมสีน้ำตาลแดงนั่งกอดอก พลางจ้องสบตาชาย หนุ่มผมสีชาหน้าตาเป็นมิตรด้วยที่ท่าพร้อมจะท้าตีท้า ต่อยกันได้ทุกเมื่อ มีเพียงโต๊ะเหล็กดัดสีขาวตั้งขวางอยู่ ตรงกลางเท่านั้น
ปิ่นเดินตามนายหัวหน้าใหญ่ผู้ก่อการร้ายมาครู่หนึ่ง ผ่าน มาแล้วทั้งตรอกซอกซอย สวนสาธารณะ แต่อีกฝ่ายก็ ไม่มีทีท่าจะทำร้าย หรือหาเรื่องอะไรแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำ บังคลายภาพลวงตาทั้งหมด กลับเป็นชายหนุ่มสวมชุด ลำลองทั่วไปแขนขวาใส่เฝือก แถมพามานั่งที่ร้านกาแฟ กลางแจ้งซึ่งเป็นแหล่งให้หนุ่มสาวนั่งจีบกันเสียอย่างนั้น
“จะรับอะไรดีคะ”
เป็นคำถามครั้งที่สี่ของพนักงานสาว ซึ่งมายืนยิ้มแฉ่งอยู่ ท่ามกลางบรรยากาศชวนให้วิ่งหนีร่วมสิบนาทีได้หน้าตา เฉย
“งั้น… ขอเป็นชานมปั่นก็แล้วกันค่ะ” ในที่สุดลูกค้าตัว น้อยก็จำใจสั่งน้ำแก้วแรกมาเชยชม ส่วนหนึ่งก็เพื่อไล่คน เกะกะให้ถอยไปจะได้คุยให้สะดวกยิ่งขึ้น
“ตกลงนายมีเรื่องอะไรจะคุยกันแน่” ปิ่นยิงคำถามตรง ดิ่งปักศีรษะ แต่ลุซก็ยังคงนิ่งสนิทและยิ้มหวานให้ “งั้นฉัน กลับล่ะ” เธอยื่นคำขาด ดันเก้าอี้ออกแล้วลุกขึ้นทันที
“เธอ… ไม่คิดหรือว่า การมาสู้กันเองมันเสียเปล่าน่ะ” ลุ ออกปากกามกลับ ปิ่นชะงักและกลับมานั่งที่เดิมอีกครั้ง
หมายความว่ายังไง?
“เธอก็รู้ค่าตอบดีอยู่แล้ว โนวา ไม่มีความจำเป็นที่เรา ต้องมาสู้กันจนอาจจะตายกันไปทั้งคู่…” ลุขว่าพลาง เหล่มองพนักงานสาวที่นำกาแฟกับชามาวางบนโต๊ะ จน กระทั่งหล่อนจากไปจึงพูดต่อ “เธอไม่มีความจำเป็นต้อง ตายเพื่อสถาบัน หรือองค์กรพวกนั้นเสียหน่อยนี่”
หมอนั่นพูดถูก พลังแสงของหมอนั่น… หากใช้เพื่อ รวบรวมแสงอาทิตย์ยิงออกมาเป็นเลเซอร์ เธอไม่มี โอกาสตอบโต้เลยแม้แต่น้อย ในทางกลับกันหมอนั่นก็ ไม่มีวิธีป้องกันแรงดึงดูดของเธอแน่นอน หากสู้กันจริง ๆ ก็เหมือนเอารถความเร็วสูงพุ่งเข้าใส่กันโดยไม่มีเครื่อง ป้องกันใด สิ่งที่จะเหลือก็มีเพียงความย่อยยับหลังปะทะ กันในชั่วพริบตาเท่านั้น
ที่สำคัญ… เธอยังไม่แน่ใจว่าตัวเอง ‘ตัดสินใจฆ่าใครสัก คนได้จริงหรือ’ ถ้าคำตอบคือ ไม่ได้ ผลแพ้ชนะก็ออกมา ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มรู้แล้ว…
ความจริง… ลึก ๆ ในใจของเธอก็คงยอมรับ จึงไม่เปิด ฉากจู่โจมตั้งแต่เดินมาด้วยกันในตรอกซอยร้างก่อนหน้า
ปืนประกบปากกับหลอดดูดน้ำหวาน เข้าหล่อเลี้ยงห่วง ความคิดที่กำลังร้อนรุ่มช้า ๆ เวลาเดียวกันสุขเองก็ยก กาแฟ าสนิทขึ้นซตหน้าตาเฉย
“แต่ถ้านายเข้ามายุ่งกับฉัน…. หรือเพื่อนของฉัน แล้วจะ ให้อยู่เฉยคงเป็นไปไม่ได้แน่
ปืนกระแทกแก้วพลาสติกลงกับโต๊ะ
“เพื่อน….?” ลุซแกล้งเน้นเสียง “ว่าแต่เธอพูดถึงใครกัน
แน่ ?”
“นายไปหาหมอนั่นทำไม… นายมีเหตุผลอะไรต้องเล่น งานคนไร้พลัง… พรรค์นั้น
“ไร้พลังงั้นเหรอ…?” ลุซทำหน้าตื่นตะลึงเล็กน้อย ใช้ มือซ้ายที่เหลืออยู่ตบหน้าผาก โยนตัวพิงไปกับเก้าอี้แล้ว หัวเราะออกมาเหมือนคนเสียสติ สายตาสีครามซึ่งลอด ออกมาจากง่ามนิ้วไม่ใช่ของคนขี้เล่นเช่นเคย ก่อนจะ เปลี่ยนท่าทีกลับมาท้าวโต๊ะ ยื่นหน้าเข้าหา
“ก็ไม่รู้หรอกนะว่าเธอไม่รู้จริง หรือแค่แกล้ง แต่… คนไร้ พลังจะหักแขนฉันได้หรือไงกัน”
ปั่นสะกดความตกใจปนประหลาดใจเอาไว้ไม่อยู่ จ้อง มองคนข้างหน้าราวกับไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเอง แต่ เมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังสังเกตทีท่าของตนอย่างใกล้ชิด จึง รับเบือนหน้าหลบไป พลันสายตาบังเอิญพบเห็นผู้มาใหม่ ที่ใส่ผ้ากันเปื้อนลายตั้งสีขาวสลับแดง ซึ่งสัญลักษณ์ของ พนักงานร้านไอศครีมโปรดของเธอ เขาอยู่ห่างไปสาม ช่วงโต๊ะ เมื่อเห็นเธอเขาก็วิ่งหน้าตั้งมายืนหอบอยู่ด้านข้าง
จิณณ์รู้สึกหน้ามืดตามัวไปหมดหลังจากวิ่งตามหาปิ่นกับ ลซไปทั่ว เมื่อพบแล้วก็ดันหมดแรงพอดี ทำได้แค่ยืนอยู่ ด้านข้างโต๊ะ ใช้หางตาชำเลืองมองลุซที่นั่งยิ้มร่าให้เขาผู้ มาใหม่
“ถ้าแกมีปัญหานักมาเจอกันอีกรอบเป็นไง..” อยู่ดี ๆ เด็กหนุ่มผู้เคยเอาแต่ร้องโวยวายก็ท้าตีท้าต่อยกับคู่ต่อสู้ ระดับพระกาฬทำให้ปิ่นประหลาดใจไม่น้อย “ทำไมจะ ต้องลากเด็กมายุ่งกับเรื่องพรรค์นี้” เขากำชับ
ลุซหัวเราะร่า ซดกาแฟลงคออีกหนึ่งอึกก่อนจะลุกขึ้นตบ บ่าของจิณณ์
“ไม่เอาน่า ฉันก็แค่อยากคุยด้วยเท่านั้นเอง”
จิณณ์ไม่ฟังเสียง คว้าจับแขนข้างนั้นอย่างรวดเร็วสุขทำหน้าประหลาดใจ
“โห นี่กล้าใช้พลังกลางที่สาธารณะอย่างนี้ด้วย?
“ถ้ามันจะจับนายได้ละกึนะ” จิณณ์ยิ้มอย่างผู้ถือไฟ เหนือกว่า แต่จู่ ๆ มือเล็ก ๆ ของเด็กสาวก็ยื่นมาขวางไว้ เธอถือแก้วน้ำพลาสติกไว้ในมือ พลางดูดขาด้วยทีท่า สบายอารมณ์
“พอเถอะ คนเริ่มหันมาสนใจทางนี้แล้ว” ปิ่นแอบขยิบตา
“แต่ว่า…. จะปล่อยหมอนี่ไป?” เขาถาม
“ฉันไม่คิดว่าหมอนี่จะมาโดยไม่เตรียมการแน่ อาจจะมี พรรคพวกสักคนสองคนอยู่แถวนี้ หรือดีไม่ดีในเฝือกอาจ จะมีอะไรบางอย่างซ่อนเอาไว้ก็ได้”
“ให้ตายสิ เธอนี่รอบคอบจริง ๆ โนวา” ลุซพูดพลางยิ้มให้
“ว่าแต่…” เขาชี้นิ้วไปที่กระเป๋ากางเกงของจิณณ์ “โทรศัพท์ของนายหรือเปล่า?”
หมอนั่นถามในสิ่งที่ใคร ๆ ก็รู้ จิณณ์เมื่อเห็นว่าตัวช่วยยังไม่เอาด้วย เลยจำใจปล่อยแขนที่จับเอาไว้ตั้งแต่เมื่อ ครู่ ก่อนจะหันมารับโทรศัพท์… แต่เพียงแค่ขึ้นดูเขาก็หน้า ซีดเผือด จนทั้งปืนทั้งสุขสงสัยจนอดล้อม ๆ มอง ๆ ไม่ได้
หน้าจอขึ้นชื่อผู้โทรว่า ‘Manager-B.N. และ missed call อีกจำนวนทั้งสิ้น 11 สาย จิณณ์แข็งใจกดปุ่มรับสาย ยกหูขึ้นฟัง
*สะ… สะ… สวัสดีครับ”
“แกโดนไล่ออกแล้ว ไอ้ลูกจ้างเฮงซวย!!”
เสียงเสียดแทงหัวใจกระหน่ำซัดเต็มสองรูหู ดังพอจะ ให้คนในอาณาบริเวณสี่ห้าเมตรได้ยินชัดเจนก่อนที่สาย จะถูกตัดทิ้งอย่างไว จิณณ์เข่าอ่อนเซลงนั่งซึมกับเก้าอี้ หน้าตาเหมือนโลกทั้งใบแตกสลายไปในพริบตา ทุกคน นิ่งเงียบไว้อาลัยให้สามวินาที ก่อนที่นายหัวหน้าใหญ่ลุซ จะระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นลาน แม้แต่ปิ่นเองยังอดไม่ ได้ที่จะแอบหันไปหัวเราะทางอื่น
จิณณ์หันไปค้อน ทั้งน้ำตาเล็ด
“ไม่เอาน่า… ถ้าต้องการเงินนักก็เข้าร่วมกลุ่มกับฉันซะสิ” ลุซทัก แต่พอเห็นอีกฝ่ายกัดฟันกรอด ๆ เหมือนกำลังมัน เขี้ยวก็กระโดดถอยหลังหลบ “เอาน่ะ ๆ ถ้าเปลี่ยนใจก็ติดต่อมาแล้วกัน” เขาพูดพลางโบกมือลา ก่อนจะ หายตัวไปต่อหน้าต่อตาฝูงคนที่เนืองแน่น ทั้งเด็กหนุ่ม ผู้หมดอาลัยตายอยากกับชีวิตให้อยู่กับเด็กสาวน่ารัก… สองต่อสอง
ปิ่นเห็นรอบ ๆ มีแต่พวกสอดรู้สอดเห็นเรื่องชาวบ้าน แอบมองกันเพลินก็เริ่มรู้สึกประหม่า ควักเงินออกมาฟาด เปรี้ยงลงบนโต๊ะ “พี่คะเก็บเงิน ไม่ต้องทอน” เธอตะโกน เรียกเหล่าสาวเสริฟที่แอบมองอยู่ห่าง ๆ แต่ละคนดันลุกลี้ ลุกลนหลบตาเสียอย่างนั้น ความด้านของผิวหน้าเธอถึง ขีดสุด แก้มขึ้นสีเลือดฝาด ก่อนจะตัดสินใจกระชากคอ เสื้อจิณณ์ที่ยังซึมอยู่กระโดดลอยข้ามตึกไป
“นี่…” ปิ่นตบบ่าของชายผู้เดินห่อไหล่ตัวลีบ หน้าตา หมดอาลัยตายอยากในชีวิต “จะซึมกะทือก็ให้มันมี ขอบเขตหน่อยสิ” เธอโวยเสียงดัง แต่ดูเหมือนคนด้าน ข้างไม่เหลือกะจิตกะใจทำอะไรสักเท่าไหร่ เดินสร้าง บรรยากาศน่าสะอิดสะเอียนให้คนอื่นไปเรื่อย เธอเชื่อ แล้วว่าครั้งแรกที่เจอกัน… หมอนี่โดนนักเลงรุมยำเข้าให้ จริง ๆ
“กะอีแค่เด้งจากงาน ทำไมต้องทำหน้าเบื่อโลกขนาดนี้ ด้วยล่ะ” ปิ่นถามตรง ๆ หลังจากอดทนเดินตามมาร่วมสิบ นาที แต่คราวนี้ได้ผล จิณณ์ชะงักเท้าหันมามองเธอเป็น ครั้งแรกแต่น้ำตาไหลเป็นทาง
ปิ่นถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
คนข้างหน้าเธอนี่บางครั้งก็ดูดี แต่บางครั้ง… มันดูน่าเอนี จอนาถเสียจนนึกไม่ถึงว่าจะเป็นคนเดียวกันได้
“แล้วตกลงนายจะทำงานพิเศษหาเงินไปทำไมกันล่ะ ใน เมื่อจริง ๆ แล้วอาหารเจ้าแมวฉันก็เป็นคนซื้อ”
จิณณ์ทำหน้าปั้นยาก เหมือนมีเรื่องจำเป็นแต่ก็ยังไม่ อยากจะเล่าให้ใครฟังทั้งนั้น
“ฉันเองก็มีของที่อยากซื้อ อยากเก็บอยู่เหมือนกันนา… แล้วงานนี้ฉันรอมาตั้งชาติแล้ว ยิ่งคิดยิ่งกลุ้ม!!” จิณณ์บ่น กระปอดกระแปดจนปิ่นไม่รู้จะทำยังไงต่อดี ทิ้งตัวลงนั่ง บนม้านั่งข้างทางเดิน ถึงไม่อยากจะยอมรับก็เถอะ แต่เจ้า คนจิตตกนี่ก็เป็นคนที่ยอมทิ้งงานเพื่อจะไปช่วยเธอ
…มันชวนให้รู้สึกผิดนิด ๆ…
“อ้าวปิ่นจ๋า! มาอยู่แถวนี้เองเหรอ” เสียงคุ้น ๆ ร้องเรียก มาแต่ไกล ปิ่นหีนย้อนไปมองก็เจอเพื่อนของตนกำลังวิ่ง เข้าหา เธอมาหยุดอยู่ตรงหน้าก่อนจะชี้หน้าจิณณ์
“นายนี่ก็ใจกล้าไม่เบาเลยนี่ ถึงกับโดดงานซึ่งหน้า แถม ไปทำงานแต่เที่ยงหมายความว่าก่อนนั้นก็โดดเรียนด้วย หรือเปล่า?” เมตราพูดแล้วหัวเราะเยาะ แต่มันกลับเหมือน สายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงกลางกบาล จิณณ์ทรุดลงนั่งคุกเข่ากองกับพื้นทันที
“นี่ฉันทำอะไรผิดหรือเปล่าเนี่ย…?” เมตราถามงง ๆ เธอ กะจะล้อเล่นนิดหน่อย อีกฝ่ายต้นทำท่าเหมือนโดนเอามี กระซวกพงจะได้
“ไม่มีอะไรหรอกช่างเถอะ ก็แค่ตกงานเอง” ปิ่นซ้ำเติมซึ่ง ๆ หน้า
“ยังจะพูดอย่างนี้อีกเหรอ เธอน่ะ!!”
“บาร์เนลน่ะมีไว้ให้ไปนั่งกินก็พอแล้ว งานหาที่อื่นไม่ได้ เหรอไง”
“ฉันไม่ได้มีเงินถุงเงินถังแบบเธอนี่หว่า!”
ทั้งคู่เถียงกันเป็นเด็กจนผู้ชมอดหัวเราะไม่ได้ ก่อนจะ โดนสองหน่อหันมาเขม่นโทษฐานขัดจังหวะทดสอบฝีปาก
“จริง ๆ แล้วถ้าอยากได้งานเสริมล่ะก็… เหมือนพ่อฉันยัง หาพนักงานเพิ่มอยู่นะ” เมตราออกความเห็น ปิ่นตบมือ เหมือนเพิ่งนึกออก พอเธอมองไปรอบ ๆ เธออยู่แถวเขต ๆ ศูนย์การค้าย่านใจกลางเมือง นับว่าไม่ห่างจากโรงเรียน ของเธอเท่าไหร่นัก แน่นอนว่าเช่นเดียวกับโรงเรียนนาย จิณณ์
“พ่อของเธอเหรอ? จิณณ์ตามแบบง่ง ๆ ก่อนที่เมตราจะ ไปยังร้านอาหารจำลองสไตล์ตะวันออกกลาง ยุคก่อน อารยธรรมล่มสลายซึ่งขึ้นชื่อมากที่สุดในเมือง มีทั้งพวก ข้าวแกงกระหรี่ เคบับ โรตี และอื่น ๆ อีกสารพัด เขามอง นิ้วของเธอสลับกับร้านอยู่สองสามรอบ
“ร้าน… อาเซเนราร์ นั่นอ่ะนะ…?” เขาถามเพื่อความ มั่นใจ
“แล้วมีอะไรไม่สะดวกเหรอ?” เมตราถามกลับน้ำเสียง แสดงความเสียดายชัดเจน
จิณณ์ส่ายหน้าตอบทันควัน ยิ้มระรื่นขึ้นทันตา เพราะ ตัวเขาเองก็ไม่ติดขัดอะไรแน่นอน เมื่อมีโอกาสใหม่เสนอ หน้าเข้าหาแล้วจะตอบอะไรได้อีก นอกจาก ‘ตกลงด้วย ความยินดี
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ