บทที่ 12 ยิมมวยหงหลิว
” พี่น้องนายแน่มาก ”
เฉิน จ้องด้วยความอึ้ง นี่เวลาผ่านไปเท่าไหร่เอง ฉินเฟิงก็ไป ผูกมิตรกับสาวสวยระดับตำรวจเสียแล้ว ช่างน่าอิจฉาเสียจริง หลังจากที่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เฉินก็ตัดสินใจว่าไม่เปิดตัวดีกว่า เขา จึงเหยียบคันเร่ง รถสปอร์ตก็พุ่งไปเร็วดุจลำแสง พุ่งปราดผ่านตัว ฉินเฟิงไป
“เฮ้อ…..”ฉันเพิ่งยกมือขึ้น กำลังเตรียมตัวจะทักทาย คิดไม่ถึง ว่าเฉินฉีจะชิ่งหนีไปแบบนี้เสียแล้ว ปล่อยให้ฉันเพิ่งยืนยุ่งเหยิง อยู่ท่ามกลางสายลม ฉันเพิ่งออกจะพูดไม่ออก นี่มันเรื่องอะไรกัน เนี่ย ไหนบอกว่าจะให้ติดรถไปไง
“เพื่อนเธอเหรอ มีความเป็นตัวของตัวเอง…..สูงจริงๆ”ฟางห
ยูนครุ่นคิด กว่าจะหาคำคุณศัพท์มาบรรยายลักษณะของเฉินได้
“ช่างเถอะ เพิ่งจะรู้จักวันนี้เอง คนๆนี้แม้ว่าจะดูฉาบฉวย แต่ นิสัยใจคอไม่เลว” แม้ว่าเฉินจะไม่มีโอกาสออกโรง แต่ว่าความ มีน้ำใจในครั้งนี้ฉินเฟิงรับรู้แล้วล่ะ
“เอาล่ะ ฉันต้องกลับบริษัทแล้ว เธอไปทำธุระของตัวเองเถอะ ฉินเฟิงคิดแล้วคิดอีก จึงตัดสินใจกลับบริษัทดีกว่า
“หรือว่า ให้ฉันไปส่งเธอไหม”ดวงตาใสแจ๋วคู่โตของฟางหยู นกลอกไปกลอกมา เธอเองก็ไม่รู้ว่าจะตัดสินใจอย่างไรดี
ฉันเพิ่งขมิ้นคิ้วเข้าหากัน อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นว่า “ตอนนี้เป็น เวลาทํางาน ออกมาเดินเล่นแบบนี้ไม่มีปัญหาใช่ไหม ให้ฟางห ยูนไปส่งแน่นอนว่าไม่เลวอยู่แล้ว แต่ถ้ามันไปกระทบงานเธอเข้า แบบนั้นก็ช่างมันเถอะ
ฟางหยูนแค่นเสียงเย็นชา พูดขึ้น “ จะต้องให้เธอบอกด้วย หรือไง ฉันออกมาเพราะว่ามีคดีที่ต้องจัดการ ส่งเธอน่ะเป็นแค่ ทางผ่าน
“หึ เธอ ฉันเพิ่งเบาๆ แล้วเดินตามฟางหยุนไป
ฟางหยูนถลึงตามองฉันเฟิง รู้สึกไม่สบอารมณ์เล็กน้อย
“ทำไม แม้แต่เธอยังสบประมาทฉัน คอยดูแล้วกัน จะจัดการคดี ใหญ่ให้เธอดู ฉินเฟิงมีความรู้สึกต่อเรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง จึงพูดอย่างจริงจัง ว่าจะทำอะไรก็ต้องค่อยๆ ตามลำดับขั้นตอน ถ้าเกิดอะไรขึ้น
นะ เธอจะเสียใจไปตลอดชีวิต”
“ทำไมจู่ๆถึงผันผวนแบบนี้นะ เธอก็ออกจะเปลี่ยนเร็วเกินไป หน่อยแล้วมั้ง”ฟางหยูนก็ไม่รู้ว่าเขาได้ฟังหรือเปล่า หรือว่าฟังหู ซ้ายทะลุหูขวา มาถึงตอนนี้ เธอเองก็ดูฉินเฟิงไม่ค่อยออก แต่เธอ แน่ใจอย่างยิ่งว่า ฉินเฟิงเป็นคนที่มีเรื่องราวเบื้องหลังแน่นอน
ฟางหยูนบอกว่าออกมาทำธุระ แต่ก็ไม่ได้ขับรถตำรวจ กลับ ขับรถจี๊ปออกมา ซึ่งดูสมบุกสมบันไม่เบา
หลังจากที่ขึ้นรถแล้ว อาจจะเป็นเพราะคิดถึงเรื่องอดีต ฉินเฟิงจึงดูเงียบขรึมลงไป ส่วน
ฟางหยุนเองก็ตั้งใจขับรถ แต่ก็ดูเหมือนมีเรื่องอยู่ในใจ
“หรือว่า….เธอจะไปกับฉันสักรอบ”จู่ๆฟางหยูนพูดขึ้นเสียง เบา
ฉินเฟิงครุ่นคิด อย่างไรเสียกลับออฟฟิศก็ไม่มีอะไรจะทำอยู่ดี ไปด้วยสักรอบก็ไม่น่าจะมีปัญหา จึงพูดขึ้น“งั้นเธอโทรบอกปาย ฉันหน่อย เขาจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง”
“เธอรับปากแล้วนะ ” ฟางหยูนเก็บอาการตื่นเต้นไม่อยู่
“เอาไป พี่ฉินจะพูดด้วย” หลังจากที่ฟางหยูนพูดกับป่ายฉินไป ได้ไม่กี่ว่า ก็ยื่นโทรศัพท์ให้กับฉินเฟิง
“ฉันฉินเฟิง……
ฉินเฟิงเพิ่งจะปริปากพูด ป้ายฉันก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็น ชา”ทําไมเธอไม่บอกกับฉันเอง ฉันน่ากลัวขนาดนั้นเลยหรือไง”
“เอ่อ….”ฉินเฟิงเองก็ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี
“อยู่กับฟางหยูนก็ดูแลเธอหน่อยแล้วกัน…….พูดมาถึงตรงนี้ ป้ายฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ หลัง จากที่บอกว่า “ระวังตัวด้วย” ก็วางหูโทรศัพท์ลง
ฉันเพิ่งเหงื่อแตกเต็มหน้าผาก ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขายัง ไม่ทันได้พูดอะไรเลย สุดท้าย เขาจึงได้แต่สรุปว่าการแสดงออก แปลกๆของป่ายฉิน คือ “ใจผู้หญิงยากที่จะหยั่งรู้เหมือนเข็ม ที่นอนใต้ก้นมหาสมุทร”
“คดีอะไร เล่าให้ฟังหน่อยสิ” ในเมื่อตัดสินใจว่าจะช่วยฟางห ยูนสักครั้ง เฟิงฉินจึงเริ่มถามขึ้น
ฟางหยูนตอบ “ไม่กี่วันมานี้ มีคดีเด็กทารกหายในเมือง มากมาย จนถึงตอนนี้ยังปิดคดีไม่ได้เลย
“โดนลักพาตัวเหรอ”ฉินเฟิงขมิ้นคิ้ว สายตาแสดงแววรู้สึก รันทด ในใจเกิดความรู้สึกอยากสังหารขึ้นมา กี่ครอบครัวแล้วที่ ต้องมาแตกสลายเพราะเศษสวะแบบนี้ เรื่องแบบนี้ในเมื่อมาเจอ เข้ากับตัว ก็จะปล่อยปละละเลยไม่ได้
“ที่สถานีตำรวจก็ให้ข้อสรุปแบบนี้ แต่ยังไงฉันก็ยังรู้สึกว่า คดี นี้ไม่ใช่คดีลักพาตัวธรรมดา แต่ว่ามีเงื่อนงำอื่น
“ทำไมเธอถึงรู้สึกแบบนี้ล่ะ” ฉันเพิ่งฝืนยิ้ม คิดไม่ถึงว่าฟางห ยูนจะออกปฏิบัติการเอง
ฟางหยูนรวบรวมคำพูดแล้วพูดขึ้น ” เพราะว่าคดีนี้นักโทษใช้ ความรุนแรง ตอนที่มีบอดี้การ์ดเข้ามาขวาง นักโทษสองคนซัด บอดี้การ์ดจนหมอบลงพื้น แล้วก็หลบหนีไป
ฉันเพิ่งพยักหน้าน้อยๆ อาชีพบอดี้การ์ดของในประเทศไม่ ค่อยได้เรื่องเท่าไหร่ แต่ในเมื่อเลือกอาชีพนี้ ก็คงไม่น่าจะอ่อน ปวกเปียกสักเท่าไหร่ ถ้ารับมือกับชายฉกรรจ์สักสามถึง
ห้าคนไม่ได้ ดูท่า ก็คงจะเป็นแบบที่ฟางหยูนพูด คดีนี้มีเงื่อนงำ น่าสงสัย
นอกจากนี้ ถ้าสามารถจ้างบอดี้การ์ดได้ ก็ไม่น่าจะใช่ครอบครัวธรรมดาแน่นอน
หลังจากที่ได้สมมติฐานสองข้อนี้ คดีนี้ควรจะได้รับการตรวจ สอบให้ถึงที่สุด แต่สถานีตำรวจใหญ่กลับจัดการให้คดีนี้เป็น เพียงคดีธรรมดาเท่านั้น จึงทำให้ฉันเพิ่งรู้สึกไม่ค่อยดี
สักเท่าไหร่
แต่ว่า ก่อนที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน ฉินเฟิงก็ไม่คิดจะบอกฟาง
หยูน
“เมื่อกี้เพิ่งได้มาข่าวหนึ่ง มีคนได้เบาะแสคนร้าย ตอนนี้กำลัง ไปหาเขา”ฟางหยูนจึงบอกจุดประสงค์นี้ออกมาด้วย
“เป็นใคร”ฉินเฟิงเองก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน
“เศษสวะคนหนึ่งชื่อว่า นูเจียว”ฟางหยูนตอบ
ฉันเพิ่งทำหน้าตาแปลกๆ สามารถตั้งฉายานี้ได้ ดูท่าคงไม่ใช่ แค่เศษสวะหรอกมั้ง
“เขามักจะไปขลุกอยู่ในยิมมวยธรรมดาแห่งหนึ่ง ฉันเคยไปหา มาสองรอบ หวังว่าวันนี้คงจะจับมันได้”ฟางหยุนเองก็คะเนการณ์ ไม่ถูก ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ลากฉันเพิ่งเข้ามาพัวพัน
ยิมมวยหงหลิว
เป็นยิมมวยธรรมดาที่ฟางหมูนมักจะพูดถึงเสมอ
ฉินเฟิงสูดลมหายใจเข้าแล้วพูดว่า “ นี่คือยิมมวยธรรมดาที่ เธอพูดถึงหรือเปล่า ”
“มีอะไร ยิมมวยหงหลิวนี่เก่งกาจมากเลยเหรอ ขนาดเธอยัง ตกใจ”ฟางหยูนฟังความหนักใจในน้ำเสียงของฉันเพิ่งออก จึง มองไปที่ป้ายสีทองที่แขวนอยู่กลางอากาศอย่างประหลาดใจ
“ไม่ใช่แค่เก่งกาจเท่านั้น แต่เป็นเก่งกาจสุดๆ ไปเถอะ เข้าไป กัน ถ้าพูดถึงยิมมวยหงหลิว จะให้พูดสามวันสามคืนก็ไม่จบ ฉัน เฟิงบอกว่ารอบนี้มาหาคน ไม่ได้มาซ้อมมวย คงจะไม่เกิดการ ปะทะกันขึ้นกับยิมมวยหงหลิวหรอกมั้ง
ฟางหยูนพยักหน้าอย่างครุ่นคิด หากในใจกลับคิดว่า หลัง จากกลับถึงสถานีตำรวจ จะตรวจสอบยิมมวยหงหลิวอย่าง ละเอียดอีกครั้ง
ภายในยิมมวยหงหลิว ซ้ายขวาหน้าหลังกลางทั้งห้าทิศ มีเวที มวยตั้งอยู่ บนเวทีมวยทุกเวที มีนักมวยกำลังซ้อมมวยอย่าง เดือด
นอกจากนี้ยังมีอีกหลายเขตพื้นที่ ก็มีครูผู้ฝึกสอน กำลังฝึก ซ้อมนักเรียนอยู่
พอเห็นฟางหยุนเข้ามา ผู้ชายที่สวมกางเกงขาสั้น ร่างกาย กํายำ จึงยิ้มเข้ามาต้อนรับ พูดว่า “คุณตำรวจฟาง เจอกันอีกแล้ว นะ”
“อืม มาหาคนอีกนั่นแหละ”ฟางหยูนตอบขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ สายตาพลางสอดส่องมองหาในกลุ่มคน
“ผมเป็นโค้ชที่ยิมมวยนี้ชื่อเพิ่งจูน ช่วยชี้แนะด้วย….เพิ่งจูนม องตามหลังฉินเฟิงที่เดินอยู่ข้างกายฟางหมูน คิ้วเขากระตุกขึ้นเล็กน้อย แล้วยื่นมือขวาส่งให้ฉันเฟิง
ฉันเพิ่งสัมผัสได้ถึงความเป็นศัตรูได้อย่างหนักแน่น แต่เปลือก ตากลับไม่กระตุกเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าไม่ได้ยินเสียงเพิ่งจูนอ ย่างไรอย่างนั้น
สีหน้าของเพิ่งจูนหนักอึ้ง จะมองดูฟางหยูน แต่ก็อดกลั้นเอาไว้
“ นูเจียว ”
ฟางหยูนซี้ไปที่เวทีตรงกลาง ผู้ชายคนหนึ่งที่สักลายมังกรบน แผ่นหลัง เดินโฉบผ่านไป
ในเวลานี้เอง ผู้ชายคนนั้นกำลังกำหมั้นซุกลงไปบนพื้น พอได้ ยินเสียงของฟางหยูน จึงหันหน้ากลับมา รอยแผลเป็นจากคมมีด ปรากฏขึ้นบนใบหน้าอย่างเด่นชัด
สีหน้าของเพิ่งจูนเปลี่ยนไปมาก เขารีบตามไปติดๆ ฉินเฟิงก็
เดินตามเพิ่งจูนไปอย่างไม่ร้อนใจเท่าใดนัก
“นายคือนเจียวเองหรอกเหรอ ลงมา ฉันมีเรื่องอยากจะรู้จาก นายสักหน่อย”ฟางหยูนเงยหน้าพูด ในสายตาของเขา นูเจียวนั้น เหมือนกับภูเขาลูกใหญ่ ที่ให้ความกดดันเขาอย่างสูง
” เกิดอะไรขึ้น ”
สายตาของเจียวละออกจากฟางหมูน แล้วจ้องเขม็งไปที่เพิ่ง จูน ตะคอกเสียงดัง
เพิ่งจูนรีบยิ้มแก้ขัด“พี่เจียว ผมก็ไม่รู้ว่าเธอมาหาพี่ ไม่งั้นก็คงจะรีบไล่เธอไปแล้ว ต่อหน้าเดียว ความคิดที่เพิ่งจูนมีต่อฟาง ก็เริ่มจางลงไป แม้ว่าเขาจะยิ้ม แต่หน้าผากเหงื่อแตกพลั่ก
“นั่นมัวตะลึงอะไรอยู่เล่า
เจียวปัดมืออย่างรำคาญ แล้วหันตัวกลับไป ตั้งแต่ต้นจน บัดนี้ยังไม่ได้พูดอะไรกับฟาง
หยูนสักคํา
เพิ่งจูนโผล่ไปอยู่ด้านหน้าของฟางหยูน พูดอย่างไม่เป็นมิตร ว่า “ ที่นี่ไม่ต้อนรับพวกคุณ เชิญกลับไปเถอะ”
“นาย…..ฟางหยูนรู้สึกแปลกๆ เล็กน้อย ตอนมาเมื่อสองครั้ง ที่แล้วเพิ่งจูนไม่ได้เป็นแบบนี้ การเปลี่ยนไปแบบนี้ออกจะเร็วเกิน ไปหน่อยแล้วมั้ง แต่ว่าถ้าไปแบบนี้ เธอรู้สึกไม่ค่อยเต็มใจสักเท่า ไหร่ จึงพูดขึ้น“นายรู้ดีถึงสถานภาพของฉัน ยังจะไล่ฉันไปอีก
เพิ่งจนตะลึงงัน แต่ก็ยังคงยืนหยัด“เชิญ”
ชั่วขณะนั้นฟางหยูนเองก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี อย่างไร เสียเธอก็เพียงแค่มาเอาข่าวคราวของเดียวก็เท่านั้น แต่ไม่ได้ มาจับคู่เจียว สถานภาพของเจ้าหน้าที่พนักงานก็ไม่ได้มีบารมี อะไรมากมายขนาดนั้น
“หึหึ”เมื่อฉินเฟิงเห็นสถานการณ์ จึงได้แต่ก้าวเท้าเข้าไป ถึง ฟางหยูนมาอยู่ด้านหลัง แล้วตะคอกใส่เพิ่งจูน
“หลีกไป”
“อืม รนหาที่ตาย” ในตอนที่เผชิญหน้ากันฉันเพิ่ง เพิ่งจูนเองก็ ไม่ได้เกรงอกเกรงใจอะไร ปล่อยหมัดใส่ฉินเฟิงทันที
“ผัวะ”
ฉันเพิ่งเอี้ยวตัวแล้วถีบออกไป เพิ่งจูนถูกถีบกระเด็นตัวเอียง แล้วตกกระแทกพื้นอย่างแรง เมื่อเจียวได้ยินเสียงเคลื่อนไหว จึงหันหน้ากลับมา ขมวดคิ้ว สบเข้ากับสายตาของฉันเพิ่งพอดี ฉินเฟิงจึงพูดขึ้น“ฉันมาสู้กับแก ถ้าชนะแล้วอยากจะถามอะไรแก หน่อย”
เจียวส่งยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ กระดิกนิ้วให้ฉันเฟิง ฉันเพิ่งส่ง สายตาบอกให้ฟางหยูนวางใจ แล้วจึงดีดตัวขึ้นเวทีมวย
“ไอ้เด็กนี่กล้าซ้อมฉันเหรอ…….เพิ่งจูนกระเสือกกระสนพยุงตัว ขึ้น คำรามเสียงดัง ในตอนนั้นดึงดูดสายตาคนได้ไม่น้อย “พอแล้ว มีอะไรก็ไปทําซะ”นูเจียวแค่นเสียงเย็นชา
เพิ่งจูนเหมือนลูกบอลที่ลมแฟบ แล้วเดินคอตกไปด้านข้าง ทันที แต่ว่า ก็หันกลับมามอง
ฉินเฟิงเป็นครั้งคราว ส่งสายตาอาฆาตมาดร้าย เห็นได้ชัดว่า ไม่สบอารมณ์
พอเห็นฉันเพิ่งขึ้นเวที คู่ต่อสู้ของนูเจียวก็รู้สึกโล่งอก รีบล่า ถอยออกไป เวทีอันแสนใหญ่นี้ เหลือเพียงฟางหยูนที่เป็นผู้ชมอยู่ ด้านข้าง
แต่ว่า ในระยะที่ไกลออกไป ก็ยังคงมีคนมุงดูไม่น้อย แถมยังวิพากษ์วิจารณ์กันเสียงขรม
“ไอ้เด็กนั่นเป็นใครกัน ถึงกล้าประลองกับหัวหน้าเขียว ช่าง
ไม่รู้จักความเป็นความตายเอาซะเลย “สําหรับพฤติกรรมแบบนี้ ฉันพูดได้คำเดียวว่า ช่างกล้าหาญ
น่าชื่นชม”
ที่แท้ เจียวก็เป็นหัวหน้าของยิมมวยหงหลิวนี่เอง และฝีมือ ของเขาก็เข้าขั้นเก่งกาจจนน่าตกใจ เป็นธรรมดาที่ไม่มีใครจะคิด ว่าฉันเพิ่งจะชนะ สำหรับพวกเขาแล้ว ถ้าฉันเพิ่งแพ้ก็เป็นเรื่อง ปกติ สิ่งที่สามารถนำมาพนันได้ มีแค่ว่า ฉันเพิ่งจะทนเจียวได้ หมัดถึงจะล้ม
“สามหมัด ไม่มากไปกว่านี้”
“เหอะๆ สามหมัดมากเกินไป ฉันว่าหมัดเดียว”
“หา เขาเป็นหัวหน้ายิมมวยหงหลิว”ฟางหยุนได้ยินเสียงคน พวกนั้นวิพากษ์ แล้วย้อนคิดไปถึงสีหน้าหนักใจที่ฉินเฟิง แสดงออกมาก่อนหน้า จึงอดกังวลไม่ได้ จึงตะโกนขึ้นไปบน เวที“ไม่งั้นก็ช่างเถอะ เราค่อยหาวิธีอื่นกัน”
ฉันเพิ่งระบายยิ้มอ่อนๆ พูดขึ้น เธอไม่มั่นใจฉันขนาดนั้นเลย เหรอ”
“ถ้าแกทนหมัดฉันได้สามหมัด ถือว่าแกชนะแล้ว”นูเจียวเองก็ มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม เมื่อดูอย่างละเอียด ก็รู้สึกว่าฉันเฟิงเองก็ เก่งกาจไม่เบา แต่ความสามารถก็ไม่น่าจะสูงนัก เขาเกือบลืมไปแล้วว่า พวกยอดฝีมือส่วนมากมักจะซ่อนความเก่งกาจเอาไว้ หรือพูดได้อีกว่า เขาเองไม่เคยคิดถึงด้านนี้เลย
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ