บ่วงวิวาห์จํายอม (The Unwilling Wedding)

3



3

เช้าวันต่อมาปัณณวัฒน์พร้อมกับบุตรชายได้เดินทางไปบ้าน สวนแห่งเดิมตั้งแต่เช้า เพราะอยากรู้คำตอบเหลือเกิน และอยาก จะกลับสิงคโปร์เพื่อไปทำงานต่อให้เร็วที่สุด เพราะงานธุรกิจ หากทิ้งไปไม่เกินสองวัน คู่แข่งก็อาจหาช่องทำร้ายบริษัทฯ ได้ แต่ภาพที่เขาเห็นเมื่อมาถึงบ้านสวนแห่งนั้น คือภาพของชาย ฉกรรจ์ท่าทางเป็นนักเลง 3 – 4 คน กำลังจะทำร้ายมาลีและ หลานสาว โดยมีชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันกับญาตาวี พยายามจะปกป้องหญิงสาวต่างวัยทั้งสองอยู่ แต่ดูท่าทางจะสู้ พวกนักเลงกลุ่มนั้นไม่ไหว ปารวีรีบตรงปรี่เข้ามาเพื่อจะช่วยอีก แรงด้วยว่าไม่ต้องการเห็นผู้หญิงถูกรังแก

การต่อสู้ระหว่างนักเลงอาวุธครบมือสามคนและผู้ชายซึ่งไร้ อาวุธอีกสองคนเป็นไปอย่างดุเดือด โดยมีมาลีและญาตาวีคอย ยืนลุ้นอยู่ข้างๆ เพราะนาทีนั้นสมองของหญิงทั้งสองไม่สั่งการ จริงๆ ว่าควรทำอย่างไรต่อไป นอกจากยืนภาวนาให้ทั้งปารวี และบุตรชายของนางมาลีไม่พลาดพลั้ง ให้กับนักเลงทั้งสามคน นั้น และดูเหมือนว่าปารวีจะใช้วิชาป้องกันตัวที่ตนมีทักษะอยู่แล้ว ในการล้มคู่ต่อสู้อีกฝ่ายได้ไม่ยาก เมื่อในที่สุดนักเลงสองในสาม คนนั้นก็ล้มไปกองกับพื้นอย่างเพลี่ยงพล้ำ แต่เหตุการณ์ยังไม่จบ ลงแค่นั้น เมื่อหนึ่งในนักเลงกลุ่มนั้นซึ่งนอนกองอยู่กับพื้นชักปืน ออกมาหมายจะยิงใส่ปารวี ญาตาวีเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าปาก กระบอกปืนเล็งตรงมายังพระเอกขี่ม้าขาวซึ่งมาช่วยเธอและครอบครัวไว้

“คุณปารวีระวัง!”

ญาตาวีวิ่งปรี่เข้ามายืนบังตัวของปารวีไว้ก่อนที่นักเลงคนนั้น จะลั่นไก หากแต่ด้วยสัญชาตญาณหรือสิ่งใดไม่ทราบแน่ ทำให้ ชายหนุ่มพลิกร่างบางเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด ก่อนจะใช้ร่างใหญ่ บังร่างของหญิงสาวไว้เพื่อไม่ให้ถูกกระสุน แต่ก่อนที่นักเลงจะได้ ลั่นไกอนุวัฒน์ซึ่งเป็นลูกชายของนางมาลีก็วิ่งตรงเข้ามาแตะมือ ของเจ้านักเลงคนนั้นเต็มแรง ทำให้ปากกระบอกปืนพลาดจาก จุดที่เล็งไว้ ส่งผลให้กระสุนที่ถูกส่งออกมาผ่านปากกระบอกปืน นั้นไม่โดนจุดสำคัญ เพียงแต่ถากแขนเขาไปเท่านั้น

ญาตาวีเอี้ยวตัวกลับมามอง เห็นเลือดไหลซึมผ่านเสื้อสูทสีดำ ของเขา หญิงสาวหน้าซีดด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าผู้ชายคนนี้จะ กล้าบังกระสุนแทนเธอ เธอรีบกุมแผลที่ต้นแขนของเขาไว้เพื่อ ห้ามเลือด ในขณะที่ฝ่ายที่โดนยิงกลับมีสีหน้าไม่ทุกข์ไม่ร้อนใดๆ กับบาดแผลนั้นเลย จนหญิงสาวนึกโมโหที่เจ้าตัวทำอย่างกับว่า เป็นแค่แผลมดกัด ในขณะที่นักเลงสามคนใช้ช่วงชุลมุนวิ่งหนีไป ตามระเบียบ พร้อมกันนั้น ทุกคนที่เหลืออยู่ในบริเวณนั้นต่างก็มา ยืนลุมร้อมญาตาวีและปารวีอย่างเป็นห่วง

“คุณเป็นยังไงบ้าง?”

ญาตาวีละล่ำละลักถามอย่างตกใจ หน้าซีดตัวสั่นไปหมด ทั้งๆ ที่ตนไม่ใช่คนที่ถูกยิง

“ฉันไม่เป็นไรหรอก แค่ถากๆ”
ปารวีตอบกระชากเสียง ก่อนเบี่ยงแขนข้างที่บาดเจ็บออกจาก มือบางที่กุมแผลเขาไว้อย่างจะบอกให้รู้ว่าไม่ต้องการให้เธอ แตะต้องเขา หญิงสาวรู้สึกถึงความโมโหแล่นลิ่วทั่วร่าง ไม่ได้ โมโหที่เขาไม่อยากให้เธอแตะต้อง แต่โมโหที่เขาดื้อดึงทั้งๆ ที่ เลือดไหลออกมาชุ่มเสื้อที่สวมอยู่ขนาดนั้น

“ไม่เป็นไรได้ยังไง? ก็เห็นอยู่ว่าเลือดไหลออกเยอะขนาดนี้ หญิงสาวตำหนิอีกฝ่าย “ฉันว่าคุณไปหาหมอก่อนดีกว่า”

“ไม่! เสียเวลาเปล่าๆ

ชายหนุ่มตอบอย่างไม่ยอมรับความหวังดีจากอีกฝ่ายจนญา ตาวีรู้สึกว่าผู้ชายที่อายุคงมากกว่าเธอคนนี้ช่างดื้อยิ่งกว่าเด็กๆ แถวบ้านเธอเสียอีก มันน่าจับตีก้นให้เข็ดนัก

“คุณจะยอมเสียเวลาไม่กี่ชั่วโมงในการทำแผล หรือจะปล่อย ให้เป็นบาดทะยักจนต้องตัดแขนทิ้ง และเสียเวลาในการทำงาน ไปชั่วชีวิตล่ะ?”

ญาตาวีพูดอย่างเป็นต่อ รู้อยู่ว่าเขาคงเป็นคนดื้อไม่อยาก แสดงอาการอ่อนแอให้ใครเห็น แต่บางครั้งคนเราก็ต้องห่วงตัว เองมากกว่าจะห่วงทิฐิไม่ใช่หรือ? ชายหนุ่มทำหน้าเหมือนไม่อาจ หาค่าใดมาโต้เถียงเธอได้อีก แต่ก็มีท่าทีไม่ยอมแพ้

“ไปเถอะปรานต์ไปหาหมอเสียหน่อย ป้องกันไว้ดีกว่านะ

ปัณณวัฒน์หันมาสนับสนุนข้อคิดเห็นของญาตาวีอีกคน ทำให้ ปารวียอมขึ้นรถตู้ไปหาหมอที่โรงพยาบาลในตัวอำเภอนั้น โดย มีผู้เป็นพ่อ นางมาลี ญาตาวี และอนุวัฒน์ติดตามไปด้วยความเป็นห่วง

ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงปารวีก็ออกมาจากห้องฉุกเฉินหลังจากทำ แผลเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทำให้ทุกคนที่ติดตามมาด้วยความเป็น ห่วงรู้สึกโล่งใจกันไปตามๆ กัน ที่เห็นเขาไม่ได้เป็นอะไรมากมาย อย่างที่กลัวตั้งแต่แรก แถมยังคงตีสีหน้าถือดีได้อย่างเสมอต้น เสมอปลาย

“ขอบคุณ คุณปรานต์มากนะคะที่ช่วยชีวิตฉัน

ญาตาวีเอยกับร่างสูง ปารวีรู้สึกว่าเธอไม่จำเป็นต้องขอบคุณ เขาแม้แต่น้อย เพราะเธอต่างหากที่จะเป็นคนช่วยชีวิตเขา เขาสีที่ ต้องขอบคุณเธอ แต่ชายหนุ่มกลับพยักหน้ารับคำขอบคุณนั้น โดยไม่กล่าวอะไรออกมา

“เออ! แล้วทำไมไอ้นักเลงพวกนั้นถึงมาทำร้ายคุณล่ะมาลี?”

ปัณณวัฒน์นึกได้ จึงหันไปเอ่ยถามหญิงอายุใกล้เคียงกับเขา อย่างสงสัย ในการที่ครอบครัวของนางถูกทำร้ายในคราวนี้ อีก ฝ่ายมีท่าทีอึกอักเล็กน้อยก่อนจะยอมบอกความจริง

“เขาเป็นคนของเสี่ยกวง ซึ่งเป็นผู้มีอิทธิพลในแถบนี้และเป็น เจ้าหนี้ของฉันเองล่ะค่ะ” คำตอบของมาลีเรียกความสงสัยจาก อีกฝ่ายได้ไม่ยาก “เมื่อก่อนเกิดน้ำท่วมหนัก ทำให้สวนมะม่วง ของฉันเสียหาย หลังจากน้ำลดแล้วฉันก็เลยต้องการทุนสักก้อน เพื่อฟื้นฟูสวนมะม่วงนั้น เพราะมันเป็นแหล่งรายได้แหล่งเดียว ของครอบครัว ฉันลองกู้เงินจากธนาคารมาเพื่อลงทุนทำสวน ใหม่แต่ทุกอย่างก็ไม่ดีขึ้นเลย แถมไม่มีเงินใช้คืนธนาคารเขาอีกทางธนาคารเขาจะยืดสวนของฉัน แต่สวนแห่งนี้เป็นสมบัติชิ้น สุดท้ายของครอบครัวฉันแล้ว ฉันไม่อยากเสียมันไป ฉันต้องการ ที่จะรักษาสวนแห่งนี้ไว้จึงต้องไปยืมเงินเฮียกวง แต่ไอ้เฮียกวงมัน หน้าเลือด เงินกู้มันออกดอกเป็นว่าเล่น นี่ฉันก็พยายามผ่อนดอก มันมาเกือบ 2 ปีแล้วก็ยังไม่หมดเสียที แล้วมันก็ต้องการยิ้มให้ ไปเป็นเมียน้อยของมันแต่ฉันไม่ยอม มันก็เลยส่งลูกน้องมาทวง หนี้ไม่เว้นแต่ละวัน เพื่อบังคับฉันให้ส่งหลานสาวคนเดียวไป บ้าเรอความใคร่ของมัน ไอ้ฉันจะแจ้งตำรวจ แต่ตำรวจก็เป็นพวก ของมันทั้งนั้น”

คําบอกเล่าของนางมาลีเกรี้ยวกราดไปตามแรงอารมณ์จนคน ฟังรู้สึกมีอารมณ์ร่วมด้วยไปตามๆ กัน ทำให้ ปัณณวัฒน์รู้สึกว่า ต้องพาญาตาวีไปจากที่นี่ให้โดยเร็วที่สุด ก่อนที่ไอ้พวกเฮียกวง จะมาพาตัวของญาตาวีไปเป็นนางบำเรอของมันจริงๆ

“คุณเป็นหนี้มันอยู่เท่าไหร่?

ปัณณวัฒน์ถามขึ้น

“ถ้ารวมทั้งต้นและดอกด้วยก็เกือบล้านกว่าบาทค่ะ

นางมาลีตอบเสียงเศร้าสร้อย

“เอาอย่างนี้ไหม? ผมจะใช้หนี้ให้คุณ แต่คุณต้องยอมให้ญา ตาวีไปทำงานกับผม

ชายสูงวัยพยามยามยื่นข้อเสนอดีๆ ให้ แต่อีกฝ่ายกลับรู้สึกไม่ เชื่อใจ กลัวว่าเขาจะคิดอกุศลกับหลานสาวอย่างกับเจ้าหนี้หน้า เลือดคนนั้น
“ทําไมคุณถึงอยากให้ยิ้มไปทำงานกับคุณล่ะ?”

หญิงวัยห้าสิบถามขึ้น ทำให้อีกฝ่ายประจักษ์ชัดว่านางไม่ไว้ใจ เขา กลัวว่าเขาจะมีนิสัยเหมือนไอ้เฮียกวงที่เป็นตาแก่ตัณหากลับ

“ผมพูดจริงๆ นะ ผมรู้สึกเอ็นดูหนูญาตาวี เหมือนกับว่าเธอ เป็นลูกสาว และที่สำคัญผมเสียดายความสามารถของเธอ หากว่าต้องมาอยู่แต่ในสวนอย่างนี้ คิดดูดีๆ นะ ถ้าญาตาวีไปอยู่ กับผม ผมก็จะช่วยเคลียร์หนี้สินทุกอย่างให้ และญาตาวีจะได้ รอดพ้นจากเงื้อมมือไอ้เฮียกวงนั่นด้วย อีกอย่างลูกชายผมก็ช่วย ชีวิตหนูยิ้มไว้ คุณจะไม่คิดตอบแทนหน่อยเหรอ?”

ปัณณวัฒน์รู้สึกละอายใจไม่น้อยที่ต้องใช้เรื่องบุญคุณมาบีบ บังคับอีกฝ่ายให้ยอมตกลง แต่มันก็เป็นทางเลือกสุดท้ายจริงๆ ที่ จะทำให้นางมาลียอมอนุญาตให้หลานสาวไปทำงานกับเขา ปาร มองหน้าบิดาด้วยความฉงนนัก เพราะเหตุใดบิดาของเขาจึง อยากจะได้ตัวผู้หญิงคนนี้ไปทำงานด้วย ถึงกับยอมใช้หนี้แทน ขนาดนี้?

“เอ่อ! ฉันขอปรึกษาลูกกับหลานก่อนนะคะ” นางมาลีจูงมืออนุ วัฒน์และญาตาวีไปอีกทางหนึ่ง “ยิ้มว่าไงลูก อยากไปรึเปล่า?”

“ความจริงยิ้มก็อยากไปทำงานนะคะ แต่ว่า…

“ถ้าอยากไปก็ไปเถอะลูก ป้าไม่ว่าหรอก”

“แต่ยิ้มเป็นห่วงป้านี่คะ ถ้ายิ้มไปแล้วใครจะช่วยป้าทำสวนล่ะ?”
หญิงสาวมีท่าทางอิดออด

“ไปเถอะยิ้ม เรื่องทําสวนเราช่วยแม่ทำเองก็ได้

อนุวัฒน์ตอบด้วยน้ำเสียงสนับสนุน แต่ญาตาวีก็ยังรู้สึกไม่ สบายใจหากต้องทิ้งป้าและญาติอย่างอนุวัฒน์ไป

“นั่นสิ เจ้าต้อมมันช่วยป้าได้อยู่แล้ว อีกอย่างถ้าหนูไป หนูก็จะ ได้ใช้ความสามารถที่เรียนมาในการทำงาน และที่สำคัญหนูจะ ได้พ้นจากปากเสือปากจระเข้อย่างไอ้เฮียกวงด้วยยังไงล่ะ” อีก ฝ่ายมีสีหน้าคล้ายกับถามว่า แล้วนางไว้ใจปัณณวัฒน์ได้อย่างไร ว่าเขาจะไม่เป็นเหมือนเฮียกวง “ป้าเชื่อว่าคุณวัฒน์เขาไม่ใช่เฒ่า หัวงูอย่างเฮียกวงหรอก ป้ารู้จักเขามาก่อน เขารักแม่หนูมาก ก็ ไม่แปลกอะไรหากว่าเขาจะเอ็นดูหนูเหมือนลูกสาว

หญิงสาวยืนชั่งใจอยู่อึดใจหนึ่ง

“ค่ะ! ยิ้มจะไป”

ทั้งสามคนเดินมาหาปัณณวัฒน์ซึ่งรอฟังคำตอบอยู่อย่างใจจด ใจจ่อ ปารวีเหลือบมองอาการลุ้นเกินเหตุของพ่อแล้วรู้สึกหมั่นไส้ หญิงสาวตรงหน้านัก

“ยิ้มจะไปทำงานกับคุณลุงค่ะ”

ญาตาวีเป็นคนตอบคำถาม ทำให้ปัณณวัฒน์แทบจะผ่อนลม หายใจที่กลั้นเอาไว้อย่างลุ้นจัด ปารวียิ้มเหยียดหยัน เขานึกแล้ว ว่าผู้หญิงคนนี้ต้องรักเงินและรักความสบายไม่ต่างกับคนอื่นๆ จนถึงขั้นยอมทิ้งป้าที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็ก ไปทำงานในที่ที่จะได้เงินเดือนมากกว่า อยู่สบายกว่า เผลอๆ อาจได้เป็นเศรษฐีนี

แต่งงานกับคนรวยๆ อย่างพอเขาแทนผู้เป็นแม่! “งั้น…เดี๋ยวให้อนุวัฒน์พาไปเก็บเสื้อผ้านะ ส่วนคุณมาลีช่วย พาผมไปพบเฮียกวงหน่อย ผมจะได้เคลียร์หนี้ให้ แล้วเราจะเดิน

ทางกันวันนี้เลย”

“วันนี้?”

ทั้งนางมาลี อนุวัฒน์ และญาตาวีอุทานขึ้นพร้อมกันอย่าง ใจหาย ไม่อยากเชื่อว่าจะต้องจากกันเร็วขนาดนี้

“ใช่! ผมทิ้งงานไว้ไม่ได้นานหรอก”

ปัณณวัฒน์ตอบ ก่อนแตะแขนมาลีเบาๆ ให้เดินตามออกไป


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ