บทที่ 2 ข้าต้องรีบอภิเษก
ท่าทางการเดินงุ่นง่านของร่างขาวใหญ่ทำเอานางกำนัล ทั้งสองปวดศีรษะ
“องค์หญิงเพคะ หยุดก่อนเถอะ พวกเราปวดหัวแล้ว” นางกำนัลชาวเว่ยเอามือกุมขมับ รูปร่างนี้ขององค์หญิง นางเห็นทีไรก็ทำใจไม่ได้ทุกครั้ง
“พี่ซูเจิน ตอนนี้เราอยู่ในสถานการณ์คับขันแล้วนะท่าน” เป่ยซูเจิ่งนางกำนัล ผู้น้องน้ำเสียงร้อนรน
“หากเปงกงยังไม่ได้อภิเษกในเร็ววัน เงินที่เราเตรียมมา ก็คงจะหมดลง แล้วถ้าเกิดเอาสินเดิมที่ขนมาด้วยออกมา ใช้ แคว้นเว่ยก็จะขายหน้า” หานซู่ลี่ขมวดคิ้วจนแทบจะจม หายในร่องก้อนเนื้อย่น
“เป็นเพราะท่านอ๋องเก้าทรงถ่วงเวลาหรือเปล่าเพคะ?”
“จะเพราะอะไรก็ตาม เปิ่นกงก็ต้องเร่งฮ่องเต้ ถ้าอยู่ใน วังหลวงเช่นนี้ เปิ่นกงย่อมหาโอกาสเล็ดลอดออกไปข้าง นอกได้ยากขึ้น” หานซูลี่แอบหลบออกไปข้างนอกสอง ครั้ง ครั้งแรกนางออกไปรับงานขนส่งของมีค่าให้กับ คหบดีใหญ่ในเมืองหลวง พอได้เงินมาใช้จ่าย ครั้งที่สอง นางบังเอิญพบว่า จวิ้นอ๋อง หมิงเฉินกงหรือองค์ชายสิบ สองแอบปลอมเป็นพ่อค้าข้าวสารกำลังจะไปแคว้นจิน คราวนั้นนางใช้กำลังภายในผิดพลาดเพราะกะน้ำหนักไม่ดี ทำกิ่งไผ่ลำใหญ่หักไปหลายลำ ดีที่ไม่มีใครเห็นตัว
การอาศัยอยู่ตำหนักในวังหลวง ใช่ว่าจะไม่ต้องใช้เงิน เครื่องประทินโฉมที่ต้องซื้อหากัน ล้วนนำมาจากภายนอก เหล่าขันทีต่างก็มีธุรกิจด้วยกันทั้งสิ้น อยากได้ อยากใช้ สิ่งใด หากมีอัฐทุกสิ่งล้วนหาได้ราวเสกจากเทพเซียน แม้แต่การจะได้รับประทานอาหารดีๆ หากมีเงินสอดใส่มือ ขันทีสักหน่อย ย่อมได้ลิ้มรสอาหารชั้นเยี่ยม
“นี่เปิ่นกงก็ใช้จ่ายจนหร่อยหรอแล้ว อยู่ในวังหลวงต้อง มีหน้ามีตา เฮ้อ! ถ้าได้หลบไปอยู่วังอินทรีคงจะดีไม่น้อย พอได้หลบมุมแอบไปทำมาหากิน”
นับจากองค์ชายหานจินเลี่ยงแพ้ศึกให้แคว้นหมิงในคราว นั้น ท้องพระคลังก็แทบว่างเปล่า ราษฏรต้องถูกเก็บภาษี เพื่อมาจ่ายค่าบรรณาการ นางเองในฐานะองค์หญิงก็ต้อง อยู่อย่างตระหนี่ เมื่อได้รับคำสั่งจากท่านพ่อให้เดินทางมา อภิเษกสมรส นางนำทรัพย์สินส่วนตัวส่วนหนึ่งออกมาตา มหาทานหมอเทวดาที่ลือกันทั่วแคว้นว่า สามารถปรุงยา ต้านโรคระบาดผื่นแดงที่เกิดขึ้นในสงครามครั้งนั้นได้ แต่ หาแทบพลิกแผ่นดินก็หาไม่เจอ นางกลับได้เจอกับเจ้าผี ไร้หลุมแทน
“นี่หากองค์หญิงมิได้กินยาเจ้าผีไร้หลุมนั้น ป่านนี้ท่าน อ๋องเก้าคงเร่งรีบอภิเษกสมรสไปแล้วกระมัง” เป่ยซูเจินได้ แต่ทอดถอนใจ องค์หญิงผู้เลอโฉมของนาง เพียงชั่วข้ามคืนกลับกลายเป็นหมีขาวตัวใหญ่
“ช่างเถิด หากเป็นกงมาด้วยรูปลักษณ์นั้น ฮ่องเต้มักมาก ก็คงรีบเก็บเข้าตำหนักในทันที แต่ใครเล่าจะอยากแบ่ง สามีกับผู้หญิงนับพัน
หานซูลี่ไม่ได้สนใจว่าตนเองจะสวยงามหรือขี้ริ้ว แต่ สิ่งที่ลำบากอยู่ในร่างนี้ก็คือ การกินอาหารในจํานวนที่ มากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า หากกินไม่เพียงพอจะมีอาการ หิวโหย ก้อนเนื้อใหญ่ที่เทอะทะเกาะตามร่างกายทำให้ เคลื่อนไหวไม่สะดวก ที่สำคัญ คือ อาการผายลมในบาง ครั้งที่นางมักจะควบคุมไม่ได้
‘เจ้าผีไร้หลุมไม่ได้บอกอาการข้างเคียงกับข้า แถมยัง ไม่รู้ว่าจะปรุงยาแก้อาการนี้สำเร็จเมื่อใด
ในตอนที่นางกินยานั้นเป็นช่วงที่เจ้าพี่จินเลี่ยงเร่งเร้าให้ นางรีบขึ้นเกี้ยวเจ้าสาว นางที่ซ่อนตัวอยู่ในตำหนักมานับ สัปดาห์จึงตัดสินใจกินยา หลังจากนอนในเกี้ยวผ่านไป หนึ่งคืน พื้นเกี้ยวเจ้าสาวก็ทรุด ร่างของนางที่ขยายจน เต็มเกี้ยวก็ทำให้ทุกคนถึงกับอัศจรรย์ใจ
เกี๊ยวใหม่ถูกสร้างให้ใหญ่ขึ้นอีกสี่เท่าในเมืองที่เดินทาง ผ่าน เปลี่ยนจากคนหามเป็นเอาใส่เกวียนแล้วใช้วัวตัว ใหญ่มาลาก ระหว่างที่ผ่านเข้ามาในเมืองหลวงแคว้นหมิง นางได้ยินชาวเมืองเอ่ยอย่างประหลาดใจถึงเกี้ยวเจ้าสาวทีใหญ่โตของแคว้นเว่ย นางได้แต่นั่งส่ายหน้าอูมๆ อยู่ภายใน
“องค์หญิงแอบเข้าวังอินทรีบ้างหรือยังเพคะ?”
“เปิ่นกงเข้าไปสืบแล้ว อ๋องเก้ามีชายาเอกหนึ่งนาง และ ชายารองอีกหนึ่ง อยู่เรือนใกล้กับพระสนมโจว”
พระสนมโจว มารดาของท่านอ๋องเก้า สืบสายมาจาก ราชวงศ์ของแคว้นผิงทางตอนใต้ของแคว้นหมิง ดินแดน ส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำเหมาะแก่การเพาะปลูก เมื่อ มาอภิเษกสมรสกับฮ่องเต้รัชกาลก่อน จึงทรงนำเอาพระ ญาติส่วนหนึ่งมาทำธุรกิจค้าธัญพืชและผ้าไหมด้วย
“เรือนที่เขาเตรียมไว้ให้เป็นกงอยู่ด้านหลัง เหมาะกับ การแอบลักลอบทํางานมาก เห็นทีต้องไปเร่งอภิเษกอีก ครั้ง”
เมื่อเร่งรัดฮ่องเต้ไปหนึ่งครั้ง เห็นว่าทรงไม่กระตือรือร้น องค์หญิงหานซูลี่จึงขออาสาอยู่ตำหนักในเป็นพระสนม ของฮ่องเต้แทน ทำให้ฮ่องเต้หมิงรีบส่งกงกงไปเร่งรัดวัง อินทรีให้จัดงานอย่างเร่งด่วน
ในช่วงที่ทารกแฝดสี่อายุได้เจ็ดเดือน พิธีอภิเษกสมรส ระหว่างท่านอ๋องเก้าแห่งวังอินทรีกับองค์หญิงหานซูลี่แห่ง แคว้นเว่ยจึงได้จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ฮ่องเต้ให้ถือวังหลวงเป็นบ้านเดิมของเจ้าสาว เมื่อขบวนรับองค์หญิงมา ถึง ฮ่องเต้ก็ทรงสมทบทรัพย์สินส่วนหนึ่งให้เป็นเดิม ของเจ้าสาวอย่างไม่ตระหนี่ ขอเพียงองค์หญิงซู่ลี่มีความ สุขในการออกจากวังหลวงไป
ขบวนแห่เจ้าสาวอันยาวเหยียดยิ่งกว่าครั้งใดๆ ใน ประวัติศาสตร์แคว้นเว่ย ทำให้ชาวเมืองออกมาชี้ชวนกัน ดูอย่างตื่นเต้น ท่านอ๋องเก้าทรงม้าสีน้ำตาลทองตัวใหญ่ องค์ชายรูปงามในชุดสีแดงช่างบาดตาบาดใจสตรีเมือง หลวงยิ่งนัก พวกนางล้วนยกผ้าขึ้นซับน้ำตาด้วยความ เสียดาย
“ไม่น่าเลยท่านอ๋องเก้า ต้องตกเป็นของหมีขาวตัวนั้น แล้ว”
นับจากนี้ต่อไป ตำแหน่งพระชายาเอกของท่านอ๋องเก้ามี ผู้ที่น่ากลัวเกรงอย่างถึงที่สุดประจำการอยู่ บรรดาคุณหนู น้อยใหญ่คงไม่กล้าแม้แต่จะเหลือบมองพระพักตร์ แค่ได้ เห็นยินคําร่ำลือเกี่ยวกับขนาดพระวรกายของพระชายา เอกทุกคนก็ขนพองสยองเกล้ากันทั่วหน้า
“หากเจ้ากล้ายิ้มให้ท่านอ๋องเก้า ระวังองค์หญิงหมีขาว จะมาฉีกเนื้อเป็นชิ้นๆ ล่ะ” คำขู่ที่คุณชายทั้งหลายใช้ข่มขู่ หญิงสาวให้พวกนางเลิกหวังในตัวท่านอ๋องเก้า นับจากนี้ ไปเมืองหลวงจะหมดชายหนุ่มที่ดึงดูดจิตใจหญิงสาวไป อีกหนึ่ง ทุกคนล้วนโล่งใจ
ฮ่องเต้และฮองเฮาเสด็จมาเป็นประธานในงานเช่นเคย งานนี้ นอ๋องและพระชายาเอกก็มาร่วมงานด้วย บรรดา องค์ชายที่เหลือต่างมาอวยพรอย่างโล่งใจที่ตนรอดพ้น ภัยพิบัติไปได้ จึงต่างสรรหาของขวัญงานแต่งงานที่ดี ที่สุดให้แก่ ท่านอ๋องเก้า ผู้เสียสละต่อแผ่นดิน
แม้แต่องค์ชายสิบและองค์ชายสิบเอ็ดที่นับเป็นฝ่ายของ ฮองเฮาก็ยังมอบสิ่งที่ท่านอ๋องเก้าคาดไม่ถึง นั่นคือ เนื้อ หยกชั้นดีที่หาได้ยากยิ่ง เมื่อหลายปีก่อน องค์ชายเก้า เคยเอ่ยขอแลกกับของมีค่าที่ตนมี แต่องค์ชายสิบกลับ ไม่แยแส มาบัดนี้เพียงเพราะการอภิเษกสมรสกับหมีขาว ข้าวของหายากมากมายที่เคยเอ่ยปากอยากได้กับคนใน ราชวงศ์ถึงกับมากองอยู่ตรงหน้า ‘การอภิเษกสมรสนี้ก็ไม่ เลว แค่เลี้ยงหมีขาวเพิ่มในสวนหลังบ้านอีกตัว ทรัพย์สิน เพิ่มพูนทวี’
ในช่วงไหว้ฟ้าดิน องค์หญิงซู่ลี่จึงได้แต่ประหลาดใจ ที่ท่านอ๋องเก้าเปลี่ยนจากใบหน้าเรียบเฉยเป็นยิ้มแย้ม แจ่มใสฉับพลัน
‘เอาไว้เสร็จพิธีก่อนเถอะ เจ้าหมีขาว ข้าจะให้เจ้าไป เลี้ยงสัตว์ ปลูกผักที่หลังวังโน่น สวนป่าก็มีมากมาย คงไม่ ลําบากนักหรอก
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ