ท่านประธาน เราแต่งงานกันเถอะ

บทที่ 10 สร้างปัญหาราวกับเป็นฝันร้าย



บทที่ 10 สร้างปัญหาราวกับเป็นฝันร้าย

ยังไงพวกเขาก็เป็นคู่หมั้นกันแล้วไม่ใช่หรอ? ถ้าอย่าง นั้นการทําเรื่องอย่างว่าด้วยกันก็เป็นเรื่องปกติใช่ไหม? ยิ่งไปกว่านั้นปีหน้าเธอก็อายุครบ 20 ปีแล้ว พวกเขาก็ สามารถแต่งงานกันได้แล้ว นับว่าเป็นการลองเข้าห้อง หอล่วงหน้าก็ได้แล้ว!

เหตุผลหนึ่งที่เธอมาเมืองเจียงเฉิงก็เพื่อหลีกเลี่ยง เรื่องแบบนี้ เธอไม่อยากให้ตัวเองต้องจมลึกลงไปกว่า นี้ เธอได้สูญเสียหัวใจไปแล้ว สุดท้ายเธอก็ไม่อยากให้ ร่างกายต้องตกเป็นเชลยของเขาไปด้วย เธอต่ำต้อย มากพอแล้ว ทำไมแม้แต่ปีสุดท้ายเขาก็ไม่ยอมให้เธอ ตกหลุมรักเขา ตกลงว่าเป็นโชคดีของเธอหรือเป็นโชค ร้ายของเธอกันแน่?

“คุณรู้ผลลัพธ์ที่ตัวเองไม่มา และรู้จุดจบที่ตัวเอง ทรยศผม อย่าให้ผมต้องมาตามหาถึงที่มหาลัย”

แม้แต่วินาทีสุดท้าย เขาก็ยังไม่ลืมที่จะเตือนตัว เอง เท้าของไป๋หลิงซีหยุดเดิน วินาทีต่อมาก็เริ่มเพิ่ม ความเร็วในการเดินจากไป!

เธอไม่อยากได้ยินเสียงของผู้ชายคนนี้อีก และไม่ อยากเห็นใบหน้าที่ราวกับปีศาจของเขาที่ชอบมาคอย กวนใจตัวเองอีก ยิ่งไม่อยากเห็นร่างของเขาในตอนที่ กระทำอย่างรุนแรงบนร่างกายของตัวเอง เธอทำอะไร ผิดกันแน่ พระเจ้าถึงได้ให้เธอมาเจอเรื่องแบบนี้ ทั้งๆที่ เมื่อ10ปีก่อนเธอยังเป็นเจ้าหญิงแห่งตระกูลไปอยู่เลยทำไมในระหว่างช่วงสั้นๆแค่10ปี แม้แต่ขอทานเธอยัง เทียบไม่ได้เลย

เธอไม่ได้ผลักเจียงรั่วฉิง ทำไมทุกคนถึงไม่เชื่อเธอ รวมไปถึงมู่จิ่งเหยียนที่เพิ่งหมั้นกับตัวเองในตอนนั้น ด้วย ทําไมเขาที่เคยดีกับเธอ อยู่ดีดีก็กลายมาเป็น เหมือนอย่างในตอนนี้ ที่เขาจงใจเข้าใกล้เธอ หรือว่าจะ เป็นเพราะทรัพย์สินของตระกูลไปในตัวเธอจริงๆหรอ?

ไป่หลิงซีเดินเร็วขึ้นเรื่อยๆ เท้าของเธอก็ทวีคูณ ความเร็วขึ้นมาด้วย หลายครั้งที่เธอเกือบจะสะดุดล้ม แต่ว่าเธอนั้นไม่สามารถหยุดเท้าที่กำลังเดินของเธอได้ ราวกับว่ามีคลื่นยักษ์ หรือสัตว์ร้ายกำลังไล่ตามหลังของ ตัวเองมา!

คนที่รักมากที่สุด เธอกลับต้องหลบเลี่ยงราวกับงูพิษ บ้านที่ควรจะอบอุ่น เธอกลับอยากหนีออกไปอยู่ตลอด เวลา

ไป่หลิงซีหาห้องพักของตัวเองเจออย่างรวดเร็ว ตามที่โรงเรียนได้กำหนดไว้ เพราะว่าเป็นหอพักของ มหาวิทยาลัย ในหนึ่งห้องจะมีนักเรียนเพียงสามคน ไป หลิงซีเป็นหนึ่งในนั้น รูมเมทอีกสองคนกำลังรอเธออยู่

“ฉันชื่อหมู่จิ่น แปลว่าดอกชบา และนี่คือหลิวซือเจีย พวกเราสองคนก็เพิ่งมาถึงเหมือนกัน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้น ไป พวกเราสามคนก็เป็นรูมเมทกันแล้วนะ แล้วเธอหละ ชื่ออะไร!”
หม้จิ่นยิ้มหวาน ทักทายอย่างอารมณ์ดี

“ไป๋หลิงซี!”

ไป่หลิงซีก้มหน้าลง เดินไปที่เตียงของตัวเอง และเริ่ม เก็บสัมภาระของตัวเอง

“หลิงซี ที่แปลว่าจิตใจที่โล่งกว้างใช่ไหม? เป็นชื่อที่มี ความหมายดีจริงๆ พ่อกับแม่จะต้องรักมากแน่ๆ!”

หลิวซือเจียตอบกลับโดยไม่คิด รอยยิ้มบนใบหน้า ใน ตอนที่มองเห็นท่าทางของไป๋หลิงซี หยุดชะงักลงทันที!

“ฉันไม่มีพ่อแม่!”

ประโยคนี้ เธอเริ่มพูดตั้งแต่ตอนที่ยังเรียนอยู่ชั้น อนุบาล ตอนนี้มาถึงจุดที่ไม่รู้สึกอะไรแล้ว เมื่อเปรียบ กับความเฉยชาบนหน้าเธอ กลับกันเป็นหมู่จิ้น

กับหลิวซือเจียทั้งสองคนที่ละอายใจแทน

“ขอโทษนะ ฉันไม่รู้ว่าเธอไม่มีพ่อแม่ เลยพูดถึงเรื่องที่ ทำให้เธอเสียใจ ฉันไม่ได้ตั้งใจนะ!”

“ไม่เป็นไร ฉันชินแล้วหละ เธออย่าได้ใส่ใจเลย”

ไป๋หลิงซีตอบกลับด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย เดินไปถึง หน้าตู้เสื้อผ้าของตัวเอง และเริ่มจัดการเก็บเสื้อผ้าของ ตัวเอง
“ที่ทุกคนได้มาอยู่ด้วยกันก็เพราะพรหมลิขิต ถ้าอย่าง นั้นคืนนี้เราไปกินมื้อค่ำด้วยกันดีไหม? ฉันได้ยินมาว่า ร้านหม้อไฟนอกโรงเรียนดังมากเลยนะ พวกเราลองไป ชิมกันดีไหม?”

หมู่จิ่นเสนอขึ้นมาด้วยใบหน้าที่ดีใจสุดๆ ถ้าเป็นการ กินข้าวตามปกติ ไป่หลิงซีคงจะปฏิเสธไปแล้ว ทว่าหม้อ ไฟ… …เธอเคยได้ยินมาตลอด แต่กลับไม่เคยได้ลอง กินเลย เพราะว่าอยู่ที่บ้านตระกูลไป๋ อาหารพวกนี้นั้น ไม่มีทางได้ปรากฏบนโต๊ะอาหารอย่างแน่นอน เป็นแบบ ที่คนกลุ่มหนึ่งนั่งกินข้าวล้อมรอบหม้อหนึ่งใบหรอ? เธอ อยากรู้มากจริงๆ

เมื่อทั้งสามคนเจรจากันเสร็จ ตอนเย็นทันทีที่ฟ้ามืด คนทั้งสามก็วิ่งออกไปทันที เป็นครั้งแรกที่ไป๋หลิงซีได้ เห็นวิธีการกินแบบนี้ กินได้ทั้งตื่นเต้น และทั้งร่าเริง ทั้ง สามคนเผลอกินผักที่อยู่บนโต๊ะจนหมดอย่างไม่รู้ตัว ใน ตอนที่ไป๋หลิงซีเดินกลับไปที่หอพัก ยังคิดว่าท้องของตัว เองจะหล่นลงมาเลย


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ