บทที่ 2. อดีตที่กำลังจะกลายเป็นปัจจุบัน
บุษกรเดินมานั่งที่ชิงช้ตัวสวยที่ซุ้มดอกบานบุรีและพวงที่ แข่งกันออกดอกเป็นพุ่มเป็นพวงสีเหลืองกับชมพูตัดกันงดงาม ลงตัวแม้จะเป็นเวลาค่ำแล้วแต่สีสันของดอกไม้ทั้งสองก็ยังไม่ลด ความงดงามลง กลิ่นดอกราตรีหอมรวยรื่นคละเคล้ากับดอกแก้ว ริมรั้วทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายเท้าเล็กยันพื้นและโล้ให้ชิงช้า แกว่งไกวเบาๆ อย่างรื่นรมย์ขณะรอพี่ส้มที่กำลังช่วยสาวใช้อีก คนเก็บครัวและตรวจสอบความเรียบร้อยบนเรือนใหญ่
ร่างสูงใหญ่ที่เดินออกมารับลมเย็นๆ ช่วงหัวค่ำหยุดชะงักเมื่อ เห็นว่ามีใครคนหนึ่งนั่งอยู่ที่ชิงช้าซุ้มบานบุรี ดูท่าทางเจ้าหล่อน จะมีความสุขอยู่ไม่น้อยเพราะเขาได้ยินเสียงฮัมเพลงเบาๆ ลอย มาตามสายลมแผ่วๆ นาวีเองก็กำลังจะเดินไปที่นั่นเพราะเป็นที่ที่ เขาโปรดปรานเช่นกัน หลังจากที่เคร่งเครียดกับงานมาทั้งวัน ทั้ง งานที่บริษัทและที่มหาวิทยาลัยที่เขาเป็นอาจารย์พิเศษอยู่ คืนนี้ เขาก็คิดว่าเมื่อมารับลมตรงนี้แล้วจะกลับไปเคลียร์งานจาก มหาวิทยาลัยให้เรียบร้อยก่อนเพราะเทอมนี้เป็นเทอมสุดท้ายที่ เขาจะเป็นอาจารย์พิเศษและนับจากนี้เขาก็จะไม่รับเป็นอาจารย์ พิเศษให้กับมหาวิทยาลัยแห่งไหนอีกแล้ว
“ทำไมยังไม่กลับไปที่เรือนเล็ก…”
เสียงห้าวๆ ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบทำให้คนที่นั่งหลับตา ฮัมเพลงเบาๆ ในสําคอขณะไก ชิงช้าเบาๆ นั้นลืมตาขึ้นทันทีด้วยอารามตกใจทำให้ร่างเล็กหงายหลังจนแทบจะตกชิงช้าหาก เขาไม่รั้งเอวบางไว้พร้อมทั้งจับเชือกชิงช้าไว้ด้วยมืออีกข้าง
“อะ เอ่อ…” ดวงตากลมโตเบิกกว้างหาเสียงของตนเองไม่เจอ และบุษกรมักเป็นเช่นนี้ทุกครั้งที่เจอหน้าเขา และการที่เธอเงียบ ไปนานทำให้ชายหนุ่มรู้สึกไม่พอใจคิดไปว่าเธอรังเกียจที่เห็น หน้าเขาหรือไม่ก็กลัวเพราะทำงานส่งเขาไม่ทัน
“เป็นใบ้เหรอ แล้วงานที่เอากลับมาแก้น่ะทำเสร็จรึยัง” บุษกร หน้าซีดลงทันทีที่เขาตวัดเสียงใส่หน้าตาขึงขัง ยิ่งทำให้ชายหนุ่ม หน้าตึงมากขึ้นเมื่อเห็นเธอไม่พูดอะไรเสียที่เอาแต่นิ่งเงียบที่อยู่ กับบิดามารดาของเขาหรืออยู่กับคนอื่นเจ้าหล่อนคุยจ่อยิ้มแย้ม สดใส และยิ่งเวลาคุยกับผู้ชายคนอื่นยิ่งระริกเชียวล่ะ นาวีรู้สึก หงุดหงิดทุกครั้งที่นึกถึงภาพเธอคุยกับหนุ่มๆ คนอื่น…
“บะ บูม เออดิฉันกำลังจะกลับไปแก้ค่ะ เอ่อ ขะ ขอตัวนะคะ” บอกเขาด้วยน้ำเสียงแผ่วพร่าติดๆ ขัดๆ น้ำเสียงและสรรพนาม ฟังดูห่างเหินยิ่งทำให้เขาไม่พอใจ
ดิฉัน อย่างนั้นหรือ ที่คุยกับคนอื่น น้องบูมอย่างนั้น บูมอย่างนี้ ที่กับเขาเธอพูดอย่างกับเขาเป็นชายแก่ที่ควรวางไว้บนหิ้งหรือ ยักษ์ใหญ่ที่น่ากลัวจนแทบอยากจะวิ่งหนีเสียทุกครั้ง…
“ยายเด็กแก่แดด เห็นหน้าฉันเป็นลุงเป็นตาแก่หรือไงถึงได้ แทนตัวเองแบบนี้”
“มะ ไม่นะคะ เพียงแค่…
“ยังจะมาเถียงอีก ทำไม.. ฉันนี่มันน่ากลัวมากหรือไงถึงได้ทำท่าเหมือนจะขาดใจตายเสียให้ได้เวลาเจอหน้าฉันน่ะ” นาวี กระชับวงแขนทั้งร่างเล็กให้เข้ามาชิดด้วยความฉุนเฉียวยิ่งเห็น ท่าทางหวาดหวั่นของเธอก็ยิ่งกรุ่นในใจ
“คุณวี ปละ ปล่อย ฉันเถอะนะคะ” เธอคงจะรู้ตัวว่าใกล้ชิดกับ เขามากเกินไปมือเล็กผลักอกแกร่งเบาๆ เบาจนเขาแทบไม่รู้สึก
ดีล่ะ.. ในเมื่อเธอกลัวเขานักเรียกเขาเสียห่างเหินนักเขาจะ ทำให้มันใกล้ชิดเอง.. ชายหนุ่มคิดอย่างเจ้าเล่ห์ยิ่งเห็นตาใสๆ นั้นเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นนาวีก็ยิ่งกระหยิ่มใจ คอยดูเถอะ พ่อจะทำให้เจ้าหล่อนนอนไม่หลับทั้งคืนเลย…
“ถ้าฉันไม่ปล่อยเธอจะมีปัญญาทำอะไรได้ ยายคุณหนู ขี้แย…”
เสียงนั้นข่มขู่กรายๆ พร้อมทั้งกระชับวงแขนมากขึ้นแล้วโน้ม ใบหน้าลงไปหาใบหน้าเล็กๆ ที่แหงนเงยมองเขาอย่างตระหนก ด้วยความอยากจะแกล้ง แต่กลิ่นหอมจากกายสาวนุ่มนิ่มในวง แขนทำให้นาวีนึกฉุนตัวเองที่คิดอะไรตื้นๆ แบบนั้น เพราะเมื่อถึง ตอนนี้อารมณ์บางอย่างที่กักเก็บมานานก็ปะทุขึ้นมาอย่างที่เขา ไม่อาจจะต้านทาน
ทันทีที่บุษกรเผยอปากจะค้านขัด เขาก็ทาบริมฝีปากหยักของ ตนลงไปปิดกลีบปากระเดื่อนั้นอย่างรวดเร็วและฉวยโอกาสที่เจ้า หล่อนมัวตื่นตะลึงสอดลิ้นร้อนเข้าไปในโพรงปากสาวเกี่ยวกระ หวัดฉกชิมรสชาติจากเรียวปากอิ่มที่ครั้งหนึ่งเขาเคยได้ลิ้มลอง
ยังหวานไม่เปลี่ยน… นั่นคือสิ่งที่รับรู้ได้ทันทีที่เรียวลิ้นเล็กพลิกพลิ้วตอบสนองอย่างลืมตัวเพราะด้อยเดียงสากว่า นาวีบดเคล้า จุมพิตเร่าร้อนร่ายมนต์เสน่หาใส่คนตัวบางที่อ่อนระทวยอยู่ในวง แขนมือน้อยที่คอยผลักอกกว้างออกห่างตอนนี้เลื่อนได้อยู่ใน กลุ่มผมดกดำของเขาทั้งยังขยับกายเบียดชิดร่างแกร่งของเขา อย่างลืมตัว เสียงฝีเท้าเบาๆ ของใครสักคนเดินมาทางพวกเขา ทำให้นาวีได้สติปล่อยร่างบางออกจากวงแขนเหมือนว่าเธอเป็น ของร้อน ซึ่งทันทีที่เขาปล่อยบุษกรก็เซเล็กน้อยหน้าตาเหลอหลา ก่อนจะเปลี่ยนเป็นแดงซ่านด้วยความอับอาย ในขณะที่นาวเดิน เลี่ยงอีกทางโดยไม่ใส่ใจว่าคนที่ถูกเขาจูบอย่างเร่าร้อนเมื่อครู่จะ รู้สึกอย่างไร…
“คุณหนูขาเรากลับเรือนกันเถอะค่ะพี่ส้มจัดการบนเรือนใหญ่ เรียบร้อยแล้ว”
พี่ส้มยิ้มร่าเข้ามาหา บุษกรลูบใบหน้าตัวเองที่รู้สึกร้อนชาไป ทั้งหน้าเบาๆ เพื่อเรียกสติของตนกลับมาแล้วรีบปรับสีหน้าให้ เป็นปกติที่สุดส่งยิ้มให้พี่ส้มบางๆ
“นึกว่าพี่ส้มจะลืมน้องบูมแล้ว
“จะลืมได้ยังไงคะ พี่ส้มรีบช่วยเด็กๆ มันเก็บจานชุดใหม่เข้าตู้
เลยช้า”
“ไม่เป็นไรค่ะ เราไปกันเถอะค่ะ”
“เอ๊ะ แต่เมื่อกี้เหมือนพี่ส้มเห็นคุณแว้บๆ นะคะ เธอมาทำ อะไรแถวนี้คะ” บุษกรใจเต้นแรงไม่คิดว่าพี่ส้มจะตาดีทันเห็นเขา
“เอ่อ.. มะ ไม่เห็นมีใครนี่คะ พี่ส้มตาฝาดหรือเปล่า คุณวีเขารังเกียจบูมจะตาย เขาจะมาตรงที่มีบูมอยู่ทำไมล่ะคะ” พูดออกไป แล้วก็ลอบถอนใจเบาๆ เมื่อพี่ส้มพยักหน้าเห็นด้วย
“นั่นสิคะ สงสัยพี่ส้มตาฝาด ช่างเถอะค่ะ เรากลับไปนอนพัก ผ่อนดีกว่านะคะ คุณหนูมีสอบไม่ใช่เหรอคะสองสามวันนี้
“ค่ะ” บุษกรตอบเบาๆ แล้วเดินกลับเรือนเล็กกับพี่ส้มไป เงียบๆ และเมื่อกลับถึงห้องของตนเองสาวน้อยก็ทรุดนั่งลงบน เตียงเล็กสีหวานอย่างหมดแรงมือบางยกขึ้นลูบที่ริมฝีปากบวม น้อยๆ ของตนเบาๆ พร้อมทั้งรู้สึกร้อนผะผ่าวไปทั้งกายสาว ทั้ง อับอาย น้อยเนื้อต่ำใจและร้อนรุ่มในเวลาเดียวกัน
“ทำไมพีวีต้องทำแบบนี้กับบูมด้วยคะ พี่เกลียดอะไรม นักหนา”
บุษกรพึมพำกับตนเองเบาๆ น้ำใสๆ คลอหน่วยต่างามดวงใจ น้อยๆ ราวกับถูกบีบเค้นจากมือยักษ์ใหญ่ใจร้ายที่หมายเอาชีวิต ผู้คนให้สิ้นซาก… และเธอก็เป็นหนึ่งในชีวิตเล็กๆ เหล่านั้นที่ตก อยู่ในอุ้งของยักษ์ใจร้ายนามว่านาวี…
ทางด้านนาวีที่กลับเข้าห้องทำงานของตนก็ทิ้งตัวลงนั่งบน เก้าอี้ตัวใหญ่ของตนอย่างหงุดหงิดไม่สบอารมณ์กับความร้อน ระบุที่อัดแน่นอยู่ในกาย ซึ่งอาการเหล่านี้มันเกิดขึ้นทุกครั้งที่เขา คิดถึงเธอ ยายคุณหนูขี้แย บุษกร… เด็กในปกครองของเขา คำ คำนี้มันคือเส้นบางๆ ที่กางกั้นเขาไว้จากความรู้สึกทั้งมวลที่มีต่อ เธอ..
“บ้าที่สุด…” ชายหนุ่มสบถเบาๆ ในลำคอแล้วหลับตาลงด้วยความเคร่งเครียดกับอารมณ์ที่เริ่มไม่มั่นคงของตนเอง แล้วภาพ ในอดีตก็แล่นเข้ามาในสมองเพียงแค่เขาหลับตาลง…
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ