บทที่ 1 ข้าจะไปเที่ยววังหลวง
สตรีใบหน้ากลมแป้นในอาภรณ์สีส้มอ่อนที่นั่งจิบน้ำชา อยู่ตรงหน้า ฟังเรื่องที่พระชายาหานซูลี่เล่าด้วยความ สนใจ “เจ้าว่า คนในชุดดำผู้นั้นฝีมือร้ายกาจ ซ้ำยังมีรูป ร่างบอบบางคล้ายสตรีเช่นนั้นหรือ?”
“ใช่! ข้าคิดว่านั้นคือสตรีแน่นอน ทว่าพลังฝีมือของนาง ข้ากลับไม่สามารถต้านทานได้เกินแปดกระบวนท่า ข้า เองก็ไม่เคยเห็นวิทยายุทธ์ของนางมาก่อน”พระชายานึก ทบทวนถึงตอนที่ตนในชุดนินจาแฝงกายเข้าไปในวังท่าน อ๋องสี่ในเมืองฉู่จิ้งเพื่อค้นหาตรามังกรคู่ให้กับท่านอ๋องเก้า พระสวามี ในจังหวะที่นางขโมยของสําคัญได้แล้วกลับ เจอจอมยุทธ์ชุดดำที่ร้ายกาจผู้หนึ่ง
หงซือซือใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง “เอาเถอะ ข้าจะลอง สืบหาดู ยุทธภพนี้ต้องมีผู้ รู้จักวิทยายุทธ์ของนางแน่” นางรู้ว่าฝีมือของสหายรักที่เป็นสตรีนินจาหนึ่งเดียวของ แคว้นเว่ยผู้นี้แม้จะไม่ดีเลิศทว่าก็ยากจะหาผู้ต่อกร หาก สหายเอ่ยปากเช่นนี้ นางก็เห็นว่าคนนั้นควรแก่การ สืบหา ใบหน้ากลมแป้นนั้นหันไปมองนางกำนัลสองคนที่ อุ้มเด็กน้อยฝาแฝดเข้ามา “ลูกๆ ของเจ้าตื่นแล้ว ข้าจะได้ เล่นกับเด็กๆ เสียที อุตส่าห์แต่งตัวมารอตั้งนาน”
“ซือซือ มาแล้ว!” เด็กหญิงยื่นมือกลมป้อมมาหา หง ซือซือจึงยื่นนิ้วไปให้เจ้าตัวเล็กจับไว้
“ถิงเอ๋อร์ จำข้าได้ด้วย เจ้าน่ารักมาก” นางยิ้มกว้างให้ เด็กน้อย ก่อนจะรับจากนางกำนัลมาอุ้ม
ไท่เอ๋อร์เด็กชายตัวน้อยเห็นเช่นนั้นก็เบะปาก “ซือซือ ข้า ด้วย!”
หงซือซือหันมาทําตาโต “ไท่เอ่อร์ก็จําข้าได้หรือนี่? คราว หน้าคงต้องหาของเล่นมาฝากพวกเจ้าเสียแล้ว”
พระชายาอมยิ้ม “หากเจ้าต้องเสียเงินเพียงเพราะถูก ทักทาย ต่อไปลูกข้าพูดเก่งแล้วคงปอกลอกเจ้าหมดตัว เป็นแน่”
“เจ้าอย่าลืมสิว่ากิจการของข้ายามนี้เจริญรุ่งเรืองเพียง ใด สำนักคุ้มภัยหงส์ไฟยามนี้มีสาขาในแคว้นเว่ย แคว้น หมิง และแคว้นผิง เหลือเพียงแคว้นจินกับแคว้นเหลียนที่ ยังหาคนไว้ใจดูแลให้ไม่ได้ ของเล่นราคาไม่เท่าไหร่ ข้ามี ปัญญาซื้อให้ลูกเจ้าได้เป็นร้อยชิ้นเทียว”
“เอาเถอะๆ ข้ารู้ว่าคุณหนูหงเป็นคหบดีผู้หนึ่งแล้ว แต่ ของเล่นที่ท่านอ๋องหามาก็มิใช่น้อย อย่าเอามามากนัก จะดีกว่า ข้าอยากให้ลูกๆ รู้จักคุณค่าของสิ่งที่มีอยู่” พระ ชายาหานซู่ลี่อดีตองค์หญิงแห่งแคว้นเว่ย เมื่อแคว้นของ นางแพ้สงครามนางจึงได้เห็นความลำบากยากจน นางทำ กิจการทั้งปลูกผักและเลี้ยงสัตว์ที่หลังวังอินทรี แม้พระ สวามีจะให้เงินนางจำนวนมากเพื่อให้นางหยุดทำงาน แต่นางก็ยังยืนยันว่าการหาเงินได้ด้วยตนเองจะ ทำให้นางกล้าส่งเงินเหล่านั้นกลับไปช่วยบ้านเมืองของ ตนเอง
“อืม…เจ้ายังคงหลักการประหยัดและใช้เงินอย่างมี
เหตุผลอยู่เช่นเดิม มิใช่ท่านอ๋องเก้ายกคลังสมบัติในวังนี้ ให้เจ้าไปแล้วหรือ? เหตุใดจึงยังงกอยู่?”
พระชายาไม่สนใจสิ่งที่สหายยั่วเย้า “เจ้ามิเคยสิ้นแผ่น ดิน เจ้าคงไม่เข้าใจ
“ลี่เอ๋อร์ แม้ครอบครัวข้าจะเดินทางไปได้ทุกดินแดน แต่ เจ้าอย่าลืมสิว่า พวกเราล้วนไม่เคยเปิดเผยใบหน้าจริง ได้สักครั้ง เอาเข้าจริงๆ ข้ายังไม่รู้การที่เจ้ากลายเป็นเจ้า หญิงของเมืองขึ้น กับข้าที่ไม่รู้จะยึดแผ่นดินใดเป็นบ้าน เกิดดี ผู้ใดน่าสงสารกว่ากัน?”
พระชายาหานได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้า “บางที เราสอง คนอาจจะมีความทุกข์ใจกันคนละอย่าง ว่าแต่ท่านพ่อ ของเจ้ามิเคยบอกบ้างหรือว่าบ้านเกิดที่แท้จริงของเจ้าอยู่ เมืองใดกันแน่?”
“ครอบครัวข้าไม่มีแม้กระทั่งสุสานบรรพชน เจ้าว่าแปลก หรือไม่? ทว่าท่านพ่อกับท่านแม่เคยพาข้าไปไหว้ป้าย หลุมศพคนผู้หนึ่งซึ่งไม่จารึกนาม ท่านพ่อบอกแต่เพียงว่า นี่คือท่านปู่ เมื่อข้าถามชื่อท่านพ่อก็ไม่ยอมบอก”
เจ้าของวังได้ยินสหายเล่าเรื่องน่าสนใจเช่นนั้นก็รีบเรียก ให้แม่นมกับนางกํานัลมารับบุตรและธิดาของตนไปอาบ น้ำและรับประทานอาหาร แล้วดึงเจ้าของสำนักคุ้มภัยชื่อ ดังเข้าไปในห้องทรงอักษรของพระสวามี “ข้าเคยได้ยิน ว่า ท่านพี่มีหนังสืออยู่เล่มหนึ่งที่เล่าถึงความลับในยุทธ ภพ เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าบางทีท่านพ่อของเจ้าอาจจะเป็น จอมยุทธ์ที่หายสาบสูญไป
พระชายาค้นหาอยู่ครู่หนึ่งหยิบหนังสือเล่มหนาออกมา “นี่ไง! ตาราที่ว่า เจ้ามาดูเร็ว!”
“เรื่องลับในยุทธภพ
“ใช่! เรื่องเล่าในยุทธภพในยุคก่อนหน้านี้มีนักประพันธ์ ที่โด่งดังคือมารใหญ่มีอี้ และเรื่องเล่าในยุคนี้ก็ต้องเป็น มารน้อยมี่มี่เป็นผู้เขียนไว้ เจ้ารีบเปิดหาเร็วเข้า” หงซือซือ ไล่นิ้วไปตามสารบัญ เมื่อเปิดไปหน้าที่บันทึกไว้ว่า “บท แปลงพันโฉม” นางก็ตะลึงไป ครู่หนึ่ง
“ท่านอ๋องเก้าไปหาหนังสือนี้มาจากที่ใดกัน? บันทึกเรื่อง ของท่านพ่อกับอาจารย์ของท่านไว้ด้วย ขนาดข้าก็ยังไม่ เคยรู้เรื่องพวกนี้มาก่อน”
“ตรอกคนโฉดไงเล่า? เจ้าไม่เคยไปหรือ? คราวนั้นข้า ยังเห็นเจ้ามีผงเหม็นสาบของเจ้าผีไร้หลุมอยู่เลย มิได้ซื้อ จากตรอกนั่นหรือไร?”
สายตาของหงซือซือยังไม่ละไปจากหนังสือเล่มนั้น “ข้า พบเจ้าผีไร้หลุมเพราะตกลงขนของให้มันต่างหากเล่า? จึงได้ อยานั้นโดยบังเอิญ” นางเงยหน้าขึ้นดูสหาย “เจ้าผี ไร้หลุมคิดจะไปเปิดกิจการที่แคว้นจิน จึงมาจ้างข้าให้เริ่ม ขนส่งยาประหลาดของมันไปส่งลูกค้าน่ะสิ”
“อ้อ!” พระชายาก้มมองดูหน้าที่หงซือซือเปิดค้างไว้ “หากในนี้เขียนไว้ว่าบิดาของเจ้าอาจจะเป็นเชื้อพระวงศ์ แล้วเกิดข้อสันนิษฐานนี้เป็นจริง เจ้าไม่คิดบ้างหรือว่าบิดา ของเจ้าอาจจะเคยเผชิญเคราะห์กรรมบางอย่างจนต้อง ปกปิดตนเองเร่ร่อนอยู่เช่นนี้”
นินจาสาวกับเจ้าของสำนักคุ้มภัยสบตากัน สัญชาตญาณของนักสืบในตัวพวกนางเริ่มคุกรุ่นอีกครั้ง “ซือซือ ข้าว่าเรื่องนี้ต้องน่าสนใจอย่างแน่นอน”
“หากข้ากลับไปสอบถามท่านพ่อ เห็นทีท่านคงจะไม่เปิด ปากเป็นแน่”
“พี่ เทียนเล่า? พี่ชายของเจ้าฉลาดปานนั้น เป็นไป ได้หรือที่เขาจะไม่นึกสงสัยความเป็นมาของครอบครัว ตนเอง”
“ข้าจะลองถามพี่อี้เทียนดู แต่หากไม่ได้เรื่อง เห็นทีข้าจะ ต้องไปเที่ยววังหลวงสักหน่อย น่าจะพอได้เบาะแสมาบ้าง”
“เจ้าจะเข้าวังหลวงอีกแล้วหรือ?”
“จะตกใจทำไมกัน ทำยังกับข้าไม่เคยเข้าไป” นางนึกถึง คราวที่เข้าไปพร้อมกับหานซูลี่ ครั้งนั้นที่คับขันเป็นเพราะ นางทั้งสองต้องเข้าไปขโมยตรากระเรียนทองคำ ทว่า เกือบพลาดท่าเสียทีถูกฮ่องเต้ผู้มีสายตาคมกริบจับได้ หงซือซือนึกถึงมังกรขาวเจ้าเล่ห์ตัวนั้น รูปลักษณ์ของ เขางามสง่าสมกับเป็นผู้อยู่เหนือคนทั้งปวง ใบหน้าเขา แม้จะไม่ คมคายเท่าท่านอ๋องเก้า ทว่ากลับดูหล่อร้ายจน บาดใจสตรีเช่นกัน
“เจ้าคงมิได้ติดใจสิ่งใดวังหลวงหรอกนะ?
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ