จุติใหม่มหาเทพ เทียน

บทที่10 เฉินจิ้งผู้น่าสงสาร



บทที่10 เฉินจิ้งผู้น่าสงสาร

“พี่ฟังผมนะ…ถ้าสถานการณ์เลวร้ายลง พี่ต้องรีบไปอยู่ข้างๆ พี่จ้าวเทียนนะ ” เฉินจิ้งหันมาบอกซุยเหยา ด้วยสีหน้าไม่สู้ดี ตอนนี้สายตายเขาจ้องไปยัง ชายที่ยืนอยู่หลังหัวหน้านักเลง

ซึ่งอีกฝ่ายก็มองเขากลับมาด้วยสีหน้าเย็นชา เขาจึงตัดสินใจรีบ พุ่งเข้าใส่พวกลูกสมุนเหล่านั้นทันที

คงต้องลดจํานวนคนฝั่งนั้นให้เร็วที่สุด ก่อนที่ชายคนนั้นจะ

ลงมือ

เปรี้ยง!

นักเลงสองคนกระเด็นไปกระแทกกำแพงอย่างแรง เฉิน งอาศัยจังหวะขณะพวกที่เหลือยังคงตกตะลึง รีบเข้าไปช่วยเหลือ พวกนายน้อยหลี่ออกมาจากวงล้อม

จากที่เขาดูการต่อสู้มาซักพัก ระดับของทั้งคู่อยู่ที่ประมาณนัก สู้ระดับ3 น่าจะพอระวังหลังให้เขาได้

” ไอเด็กนี่น่าสนใจจริงๆ…เทคนิคการต่อสู้แบบนี้น่าจะเป็นคน ของกองทัพ ” พี่เว่ยพูดขึ้น เขาหันไปมองหน้าชายด้านหลังเล็ก น้อย

” ไม่ต้องห่วง…เขาไม่ใช่คู่มือฉัน ” ชายคนนั้นตอบด้วยเสียง

เฉยชา
” มีพี่เปาเจียงอยู่…ผมก็เบาใจ ไม่ต้องห่วงนะครับ เรื่องที่พี่ขอ ผมจัดให้แน่นอน ” พี่เว่ยพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม

หลังจากเฉินจิ้งเข้าร่วมด้วย สถานการณ์ก็เริ่มได้เปรียบขึ้นมา ซุยลี่เหยาที่ได้ยินคำพูดของเฉินจึงก่อนหน้านี้ก็วิเคราะห์ถึงสิ่งที่ เฉินจึงต้องการสื่อออกมา

” ทำไมเฉินจิ้งถึงบอกให้ฉันไปหาข้าวเทียน ถ้าสถานการณ์ เลวร้ายลง มันไม่ได้หมายความว่า เมื่อถึงเวลานั้น จ้าวเทียน พึ่งพาได้มากที่สุดงั้นเหรอ

“เป็นไปไม่ได้…ฉันรู้จักจ้าวเทียนมาหลายปี เขาอ่อนแอมาก ถ้าให้พึ่งพาเขา ฉันคิดว่าพึ่งตัวเองคงจะดีกว่า “ ซุยเหยาหันไป มองจ้าวเทียนด้วยสายตาดูถูก เธอเกลียดผู้ชายคนนี้มาก

เพราะจ้าวเทียนทำให้พ่อกับแม่ต้องทะเลาะกัน น้องสาวเธอก็ ต้องหนีออกจากบ้าน เธอยอมรับว่าชีวิตจ้าวเทียนนั้นน่าสงสาร แต่เธอเกลียดผู้ชายอ่อนแอแบบนี้ที่สุด

เธอไม่รู้ว่าทําไมพ่อของเธอถึงจริงจังต่อคำสัญญาแต่งงาน ของ2ครอบครัวนัก แต่เธอไม่มีทางยอมแต่งงานกับคนแบบนี้แน่ แม้แต่นายน้อยหลีที่ตามจีบเธอมาหลายปี ยังเหนือกว่าจ้าวเทียน เป็นสิบเท่า

“ดูไอสวะนั่น…ผู้ชายทุกคนต่างออกไป แต่มีมันคนเดียวไป ยืนหลบอยู่ ” สาวผมสั้นหันมาเห็นซุยเหยามองจ้าวเทียนอยู่ จึง พูดด้วยเสียงดูถูก

“ แกมันขี้ขลาด…จ้าวเทียนถ้าแกยังพอมีความเป็นลูกผู้ชายเหลืออยู่ก็ออกไปสู้ซะ ” สาวเกาะอกสีดำตะโกนใส่จ้าวเทียน เสียงดัง

“หืม…นังผู้หญิงสองคนนี้ปากจัดดีว่ะ ” พี่เว่ยมองภาพตรง หน้าด้วยความขบขัน ในเวลาแบบนี้ยังจะทะเลาะกันเอง ไร้สาระ สิ้นดี

ตอนนี้อารมณ์จ้าวเทียนเดือดขึ้นมาอีกครั้ง เสียงของผู้หญิง สองคนนี้ดังมาก ทำให้เขาไม่ได้ยินเสียงคุยของห้องข้างบน แววตาเย็นชาของเขา กวาดมองทุกคนในห้องรอบหนึ่ง เมื่อเห็นเฉินจึงยังคุมสถานการณ์ได้ เขาก็มองไปที่ผู้หญิงสอง คนนั้นที่ด่าเขาอยู่ แล้วพูดขึ้นเสียงดัง

หุบปาก!”

เว่ยเปียว…ระวังชายหนุ่มคนนั้นไว้ เขาอันตรายมาก” เปา เจียงพูดออกมาเบาๆ พอให้ได้ยินกันแค่สองคน จาก ประสบการณ์การต่อสู้มาสิบปี เขาดูออกว่าใครเป็นเสือ ใครเป็น แมว

แม้แต่เฉินจิ้งเขายังเห็นเป็นแมวที่ตัวใหญ่เท่านั้น แต่เมื่อตอน ที่เขาเผลอไปสบตากับจ้าวเทียน สัญชาตญาณส่วนตัวของเขา มันบอกเลยว่านี่คือเสือร้ายที่น่ากลัว

” พี่เปาเจียง…พี่แน่ใจนะพี่ ” พี่เวียตกใจเล็กน้อย กับสิ่งที่เปา เจียงเตือนเขาเมื่อครู่
“ข้าอาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ” เปาเจียงตอบออกมาเบาๆ เหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาเจริญก้าวหน้าในวงการนี้คือ เขาประเมิน คู่ต่อสู้ได้อย่างแม่นยำ ไม่พยายามรนหาที่ตาย

พี่เว่ยเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเห็นสีหน้า จริงจังของเปาเจียง เขาก็ร้องผิดท่า ในใจ

หรือคืนนี้เขาจะเจอของแข็งจริงๆ แต่ตัวเขาเองก็อยู่ในวงการ

นักเลงมานานเช่นกัน ย่อมรู้หลักของการเอาตัวรอด

เขาหันไปมองผู้หญิงสองคนนั้นที่ยังตะโกนด่าจ้าวเทียนอยู่ ด้วยความโกรธ

“เงียบไปเลยอีพวกชั่ว…ถ้าพวกแกยังกล้าพูดมากอีก ฉันจะ เรียกลูกน้องมาเพิ่ม คืนนี้แกสองคนมีผัวเป็นร้อยแน่ ” พี่เวีย ตะคอกใส่ผู้หญิงสองคนนั้นด้วยเสียงอันดัง

แววตาชั่วร้ายจับจ้องไปที่ร่างกายพวกเธออย่างน่ากลัว ทำให้

หญิงสาวทั้งคู่รีบเอามือปิดปากตัวเองทันที

หลังจากที่เห็นหญิงสาวทั้งคู่หุบปากไปแล้ว พี่เว่ยก็มองไปที่ จ้าวเทียนอีกครั้ง ซึ่งอีกฝ่ายก็มองกลับมาด้วยสีหน้างเล็กน้อย เขาจึงรีบพยักหน้าให้1 ครั้ง พร้อมกับคิดขึ้นในใจว่า

น้องชายพี่จัดการให้แล้ว เอ็งยืนอยู่ตรงนั้นแหละ ไม่ต้องมา สนใจทางนี้หรอก

จ้าวเทียนมองพี่เว่ย ที่พยักหน้าให้เขาแบบงงๆ หรืออีกฝ่ายจะ รู้จักเขามาก่อน แต่ก็ช่างเถอะตอนนี้เขาจะได้แอบฟังห้องข้างบนได้อย่างสบายหูซักที ไม่คิดเลยว่าจะได้ข้อมูลสำคัญขนาดนี้

ผัวะ ๆๆ หุบ!

ผ่านไปไม่นานตอนนี้พวกนักเลงที่ยังต่อสู้ได้ เหลือเพียงสาม คนเท่านั้น ที่เหลือได้ลงไปนอนอยู่บนพื้นหมดแล้ว ส่วนพวกนาย น้อยหลีก็นั่งพิงกันอยู่บนพื้น ด้วยอาการบอบช้ำเต็มที่

เฉินจิ้งคนเดียวรับมือกับคน6-7คนได้สบาย หากไม่ใช่เขา ต้องแบ่งสมาธิมาคอยระวัง เปาเจียงอยู่ตลอด เรื่องทุกอย่างคง จบไปนานแล้ว

“พอแล้ว!…ไอหนุ่มแกชื่อเฉินจิ้งใช่ไหม แกพาผู้หญิงคนนี้กับ น้องชายอีกคนกลับไปได้ แต่ที่เหลือต้องอยู่ต่อ ” เปาเจียงพูดขึ้น เขาชี้ไปทางซุยลี่เหยากับจ้าวเทียน เหตุผลที่เขาปล่อยซุยลี่เหยา ไปด้วยก็เพราะมองออก ว่าผู้หญิงคนนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับเฉินจิ้ง

” ไม่ได้ยินที่พี่เปาบอกเหรอ…รีบพาเพื่อนแกออกไปซะ เดิมที เรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวกับพวกแกอยู่แล้ว ” พี่เว่ยพูดขึ้น สายตาเขาแอบ มองไปที่จ้าวเทียนเล็กน้อย เขาได้สวดอธิษฐานขึ้นในใจ

‘รีบๆไปซักทีสิวะ แต่ต้องพาไอหนุ่มนั่นไปด้วยนะ

บรรยากาศในห้องตอนนี้เต็มไปด้วยความเงียบ

“พวกนั้นไปได้…แล้วพวกเราละ ” สาวผมสั้นพูดขึ้นอย่าง ตกใจ

“ใช่ๆ…เราไม่ได้ทําอะไรให้ซะหน่อย เหยาเธอต้องพาพวก ฉันไปด้วยนะ” สาวเกาะอกว่าก็เริ่มหวาดกลัวขึ้นมา เธอเข้าไปกอดแขนซุยลี่เหยาไว้แน่น

มีเพียงกงเสียวเหมยเท่านั้น ที่ไม่ได้แสดงท่าทีหวาดกลัวออก มา เธอเพียงแค่ขยับเขาไปใกล้จ้าวเทียนอีก2-3ก้าว

ด้วยความช่างสังเกตของเธอ เหมือนจะมองอะไรบางอย่าง ออก

“ นี่…” ซุยลี่เหยาเกิดลังเลขึ้นมา เธอจึงได้หันไปมองที่เฉิน งอีกครั้ง ซึ่งอีกฝ่ายก็มองกลับมาด้วยสายตาคาดหวัง พี่สาวก ลับเถอะ เพื่อนพี่ไม่ตายหรอก ผมสู้เขาไม่ไหวนะ

แต่อาจจะเป็นเพราะแสงในห้องที่มันออกจะมืดๆ ทำให้ย เหยาตีความสายตาอ้อนวอนของเฉินจิ้งผิด เธอคิดว่าเฉินจิ้งสง สัญญาณบอกเธอว่า เขาจัดการได้สบายมาก ให้พวกเธอหลบ ออกไปก่อน

“ไม่…พวกเราต้องกลับไปด้วยกันทุกคน พวกแกนั่นแหละรีบ ออกไป ก่อนที่น้องชายฉันจะจัดการพวกแก ” เธอตอบออกไป เสียงดัง กวาดตามองพวกนักเลงตรงหน้าด้วยความเย็นชา

“เฉินจิ้ง…ฉันเชื่อใจนาย พวกเราจะได้กลับไปพร้อมกัน ” ซุยลี่ เหยาพูดขึ้นมาอย่างเชื่อมั่น เธอมองเฉินจิ้งด้วยสายตาให้กำลัง ใจ

ตอนนี้เฉินจึงอยากจะร้องไห้แล้ว เขามองซุยเหยาด้วยความ น้อยใจ

* แม้แต่ฉันก็ยังไม่เชื่อใจตัวเองเลย นี่พี่โกรธแค้นอะไรฉันอยู่ใช่ไหมเนี่ย ฉันก็แค่อยากกลับบ้านที่เข้าใจไหม T-T ‘

ตอนนี้จ้าวเทียนมองสีหน้าตลกๆของเฉินจิ้ง ด้วยความขบขัน ตอนนี้เขาได้ข้อมูลสำคัญมาแล้ว แถมยังรู้ที่อยู่ของคนแซ่หม่า อีกด้วย เหลือแค่ลงมือเคลื่อนไหวเท่านั้น

เพียงแต่ขอเขาชมการแสดง ที่น่าสนใจตรงหน้าก่อนก็แล้ว

กัน

“หึ!… ในเมื่ออวดดีแบบนี้ก็ไม่ต้องกลับแล้ว ” พูดจบเปาเจียง ก็ลงมือทันที เขาก้าวออกเพียงสั้นๆสองก้าว ตัวเขาก็แฉลบไป อยู่ด้านหลังเฉินจิ้งด้วยความเร็วที่มองตามไม่ทัน

ตูม!

หมัดตรงซัดเข้าใส่แผ่นหลังของเฉินจิ้งเต็มแรง จนตัวเขา กระเด็นใส่โต๊ะอาหารแตกกระจายเป็นชิ้นๆ

“หืม…แกเรียนรู้กายาเหล็กด้วย ” เปาเจียงพูดขึ้นอย่างสนใจ เมื่อเขาเห็นเฉินจึงค่อยๆฝืนตัวยืนขึ้นมาได้ ” นึกไม่ถึงว่าแกจะอยู่ หน่วยรบพิเศษ เอาเถอะ เห็นแก่หน้าครูฝึกหลง ฉันจะเบามือ ให้ ละกัน ”

ผัวะๆๆ ตบๆ

ทั้งสองฝ่ายต่างเข้าปะทะกันอย่างต่อเนื่อง เฉินจิ้งพยามใช้ ความแข็งแกร่งของร่างกายทนรับการโจมตีเพื่อหาจังหวะสวน กลับ แต่เพราะการเคลื่อนไหวของเปาเจียงนั้นรวดเร็วเกินไป ทั้ง ยังมีเทคนิคการก้าวเท้าหลบหลีกไปมา ทำให้หมัดเขาพลาดเป้าตลอด

ตูม!

เฉินจิ้งพลาดท่าโดนชกไปที่ลำตัวจนกระเด็นไปไกล เขา พยายามฝืนลุกขึ้นมาอีกครั้งด้วยขาอันสั่นเทา ในการฝึกหน่วย รบพิเศษ วิชาที่เขารู้สึกว่าตัวเองเรียนรู้ได้ไวที่สุด ก็คือกายา เหล็ก

สาเหตุที่เขามีความก้าวหน้าในวิชานี้มาก มันไม่ใช่เพราะเขา ชอบ แต่เพราะเนื่องจากเฉินจิ้งเข้าฝึกกับหน่วยรบพิเศษ ตั้งแต่ อายุ15ปี ซึ่งอายุน้อยที่สุด ในนั้น

พวกรุ่นพี่จึงค่อนข้างจะเอ็นดู ชอบช่วยเขาฝึกต่อสู้ตัวต่อตัว มากเป็นพิเศษ ผ่านไปสามปี ตอนนี้ตัวเขานั้นอึดถูกที่สุดในรุ่น แล้ว

” บ้าจริง…ขาฉันแทบจะยืนไม่ไหวอยู่แล้ว คู่ต่อสู้เป็นถึงนักสู้ ระดับ8ขั้นสูง ทั้งยังเชี่ยวชาญเพลงหมัดอีก มันไม่มีทางชนะ ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ” เฉินจิ้งหันไปมองจ้าวเทียนด้วยแววตาน่า สงสาร แต่อีกฝ่ายมองกลับมาด้วยรอยยิ้มสนุกสนาน

เฮ้ออ

เขาถอนหายใจออกมาแล้วคิดขึ้น …

เอาเถอะในเมื่อพี่ไม่ช่วย งั้นฉันจะแกล้งตายละนะ ถ้าเกิด อะไรขึ้น พี่ก็ไปคุยกับลุงซุยเองก็แล้วกัน


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ