บทที่ 13 รักนะ…แต่ไม่กล้าแสดงออก
โรงแรมนี้เป็นโรงแรมระดับเฟิร์สคลาส ดังนั้นจึงไม่มีเสียง เครื่องปรับอากาศรบกวนให้เสียอารมณ์ ปาณวัตรนอนหัน หลัง ห่มผ้าจนมิดศีรษะ ขยับตัวเพื่อปรับท่านอนให้สบาย ที่สุด ก่อนจะทอดลมหายใจยาวอย่างสม่ำเสมอ
ต่างจากพิมลภัส ที่นอนกระสับกระส่าย แม้จะอยู่ในร่าง ของเจมส์ แต่หัวใจดวงน้อย ๆ ของเธอกลับเต้นรัวราวดี กลอง เพียงแค่วันเดียวเกิดเหตุการณ์ขึ้นมากมายจนต้อง หยิกตัวเองหลายครั้งว่านี่เธอฝันไปหรือเปล่า เมื่อตอน หัวค่ายังหมดอาลัยตายอยากเพราะยัยมิจิ แต่ตอนนี้ได้มา นอนเคียงข้างเขาราวกับไม่ใช่เรื่องจริง
หญิงสาวขยับตัวอย่างแผ่วเบา พยายามหายใจช้า ๆ และ ควบคุมอารมณ์ให้มั่นคงกว่านี้ เกรงว่าความเงียบจะทำให้ เขาได้ยินเสียงหัวใจที่กำลังจะทะลุออกมาเสียก่อน หัน หน้าไปทางเดียวกับเขา เห็นแต่ผ้าห่มผืนหนาที่คลุมร่างสูง นั้นไว้จนมิด ที่สำคัญเขากระเถิบไปจนชิดขอบเตียงอีกฝั่ง ราวกับรังเกียจเธอเสียเต็มประดา
“รักนะ…แต่ไม่กล้าแสดงออก..” เธอพึมพำเบา ๆ กับตัว เอง แล้วผล็อยหลับไป
คุณหมอหนุ่มลืมตาโพลงในความมืด ให้ตายเถอะ! เขา ยอมรับว่านึกเสียใจอยู่เหมือนกันที่ชวนเจมส์มานอน ด้วย ตอนที่ได้ยินเสียงอีกฝ่ายขยับตัวนั้น เขาต้องกลั้นลม หายใจและเกร็งตัวรับการจู่โจม หากเจมส์จะคิดอะไรแผลง ๆ ขึ้นมา แล้วขนก็ลุกซู่เมื่อได้ยินชายหนุ่มบนพึมพำเต็ม สองหู
เจมส์รักใคร…ทําไมถึงไม่กล้าแสดงออก…
กับ ดร.ลิซ่า เขาได้ยินบทรักอันโลดโผนมาแล้วด้วยตัว เอง เขามองข้ามไป เพราะนั่นเป็นการแสดงออกถึงความ รักและความใคร่อย่างหนึ่งของมนุษย์
หรือจะหมายถึงแมทธิว
แวบหนึ่ง..เขาเกิดความดีใจที่สามารถดึงเจมส์ออกมาจาก สองคนนั้นได้ทันท่วงที
ไม่อย่างนั้น…เขาคงจะกินแซนด์วิชไม่ลงไปอีกหลายปี
ทันทีที่ก้าวลงเรือสำราญสุดหรู ปาณวัตรก็สัมผัสได้ถึง ความวุ่นวายที่อาจจะเกิดขึ้น เพราะมิจินั้นยืนโบกไม้โบกมือรออยู่กับ คณะทัวร์ก่อนแล้ว ราวกับว่าหล่อนกําลัง รอการมาปรากฏตัวของเขา เมื่อเห็นเค้าลางแห่งความยุ่ง ยากชายหนุ่มจึงหันไปหาเจมส์ทันที
“ไหนทริปของคุณ?
“อะ..หา…” พิมลภัสว์อึกอักในตอนแรก ก่อนจะหาข้อ แก้ตัวได้ “อ้อ…พวกเขาล่องเรือไปเมืองธิปกันแล้วครับ”
“คุณนัดเจอกับ ดร.ลิซ่าที่นี่หรือเปล่า” เขาถามอีก เห็นตา วาว ๆ ของมิจิแล้วรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ ชอบกล
“เปล่าครับ เธอติดธุระสำคัญกับศาสตราจารย์ซิมป์สัน เธอตอบสั้น ๆ หันไปทางเจนนิเฟอร์ที่พยักหน้าหมึก ๆ รอ ลุ้นอยู่ว่าคนถูกชักจะเอาตัวรอดได้หรือไม่ “ทำไมหรือ ครับ?”
“งั้นดีเลย ผมจะได้มีเพื่อนเที่ยว” เขายิ้ม เป็นจังหวะเดียว กับที่มิจิเยื้องกรายเข้ามา
สาวญี่ปุ่นสุดมั่นสวมชุดสีเขียวทั้งตัว เป็นชุดเดรสปล่อย ชายกระโปรงรุ่ยร่าย เมื่อชุดนี้มาอยู่บนรูปร่างอวบอัดและ ความสูงที่ไม่ถึงร้อยหกสิบเซนติเมตรของเธอแล้ว มองเผิน ๆ นึกว่าสาหร่ายทะเลเดินได้
“สวัสดีค่ะคุณหมอ…เจน…เอ่อ…คุณ?” มิ ยกมือทักทาย ปาณวัตรและเจนนิเฟอร์ ก่อนจะมองแมทธิวและชายหนุ่ม อีกคนหนึ่งด้วยสายตาที่เป็นคําถาม
“คุณแมทธิว เฮอร์นี่ เจ้าของทริปนี้ และนี่เจมส์ แพ็คทีส เพื่อนของผมเอง”
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ” มิจิจับมือทักทายแมทธิวตามมารยาท ที่ดี ก่อนจะหันมายิ้มหวานเป็นสองเท่าให้กับเจมส์ “ฉันมิจิ มาจากญี่ปุ่น”
เจมส์ตัวปลอมประสานมือกับคนที่เป็นศัตรูหัวใจของเธอ อย่างรวดเร็ว แล้วรีบชักมือกลับมาล้วงกระเป๋าตามเดิม หวังว่ายัยจิ๊มิ เอ้ย! มิจิ คงจะไม่ทันสังเกตหรอกนะว่ามือ ของเธอนั้นเองก็นุ่มนิ่มไม่ต่างกัน
“เราไปสมทบกันทางโน้นดีกว่านะคะ คืนนี้จะมีงานเต้นรำ มิจิจะรักษาตัวไว้เพื่อพลีให้พวกคุณ”
“แรงส์!” เจนนิเฟอร์ร้องเสียงดัง แม้จะยอมเดินตามไป สมทบโดยดีก็เถอะ แต่เธอไม่ชอบน้ำหน้ายัยจิ๊มิอาทิตย์อุทัยนี้จริง ๆ
หมายถึงเป็นคู่เต้นรำน่ะค่ะ มิจิหันมายิ้มหวานเป็นครบ สอง ชม้ายสายตาให้กับเจมส์ แพ็คทิสเป็นพิเศษอีกด้วย
พิมลภัสว์เหม่อมองภาพพระอาทิตย์ที่จวนจะลับขอบฟ้า ด้วยความ ม า นําแสงสีทองสุดท้ายกำลังจะหายลับขอบ ฟ้า ตัดกับสีน้ำตาลเข้มของทะเลทรายซะฮาร่าที่กว้างสุด ลูกหูลูกตา
จวนจะถึงเวลาจัดเลี้ยงแล้ว เธอต้องปล่อยให้เจนนิเฟอร์ เป็นแม่งานร่วมกับแมทธิว และรอให้ปาณวัตรจัดการธุระ ส่วนตัวในห้องพักให้เรียบร้อยก่อน
จวบจนแสงดาวเริ่มส่องพร่างพราวบนท้องฟ้าทีละดวง เธอก็หันกลับเข้าไปข้างใน ทว่าขาทั้งสองข้างของเธอ ไม่สามารถก้าวต่อไปได้ เพราะสิ่งที่เธอเห็นนั้นราวกับ ภาพลวงตา
เรือครุยส์ลำนี้ต้อนรับนักท่องเที่ยวมากกว่าสองพันคนต่อ หนึ่งทริป ใช้เวลาล่องจากไคโรถึงธูปและกลับสู่ไคโรอีก ครั้งเป็นเวลาห้าวัน แวะจอดเทียบท่าที่เมืองสําคัญ ๆ รายฝั่ง สําหรับนักท่องเที่ยวที่มาแบบส่วนตัวอาจ จะใช้เวลาบนเรือเพียงสองวันหนึ่งคืนและขึ้นบกไปเที่ยวยัง เมืองอื่น ๆ ต่อ ในทุก ๆ คืนจะมีโชว์ระบำหน้าท้องอาหรับ ราตรี และกิจกรรมอื่น ๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นดิสโก้เธค คาสิโน ห้องคาราโอเกะ
สถานที่จัดเลี้ยงสำหรับทริปของมหาวิทยาลัยอยู่บน ดาดฟ้า ถ้าไม่ใช่แมทธิวเห็นทีจะจองไม่ได้ เพราะนอกจาก ค่าเช่าสถานที่จะแพงมหาโหดแล้ว ยังต้องจองคิวกันเป็นปี อีกด้วย
หญิงสาวเดินไปที่เคาท์เตอร์ ขอต่อสายโทรศัพท์ขึ้นไป บนห้องพัก รอจนแน่ใจว่าไม่มีคนรับ แน่ ๆ จึงขึ้นลิฟต์ไป ถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อปาณวัตรนั้นออกไปก่อนแล้ว
ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด
เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมามองหน้าจอ แปลกใจยิ่งนักที่เห็น เป็นเบอร์โทรทางไกลจากประเทศไทย
“สวัสดีค่ะแม่” หญิงสาวกรอกเสียงลงไปอย่างอ่อนหวาน
“พิม…สบายดีไหมลูก อยู่ที่อังกฤษหรือเปล่าจ๊ะ” คุณอุ่น เรือนผู้เป็นมารดาส่งเสียงมาตามสาย
“พิม..สบายดีค่ะ แม่ล่ะคะ สบายดีหรือเปล่า” เมื่อได้ยิน เสียงอันอ่อนโยนของบุพการี หญิงสาวก็น้ำตารื้นขึ้นมา ด้วยความคิดถึง แม้ว่าความจริงเธอจะไม่ได้ “สบาย” อย่าง ที่บอกไปก็ตาม
“ก็เรื่อย ๆ น่ะจ้ะ ตามประสาคนแก่นั่นแหละ ดีว่ามีหนูนามา อยู่เป็นเพื่อนช่วงวันหยุดก็เลยหายเหงา”
“เหรอคะ…คุณภาวนาเป็นยังไงบ้างคะ มีหลานให้คุณแม่ อุ้มหรือยังเอ่ย?” เธออมยิ้มเมื่อคิดถึงพี่สะใภ้ตัวเล็ก และ ดีใจที่มารดามีคนดูแลใกล้ชิด
“หลานเหลินอะไรกันจ๊ะ…นี่ตาชลหายไปจากบ้านเป็น เดือนแล้วนะลูก”
“อะไรนะคะ!?” พิมลภัสว์อุทานด้วยความตระหนก “พี่ชุด หนีออกจากบ้าน?
“หายจ้ะ ไม่ได้หนี…ตั้งแต่บอกว่าจะไปส่งงานวิจัยที่ อเมริกาก็ไม่ได้กลับมาเลย ไม่โทรมาเลยด้วย ส่งแต่โปสการ์ดมาทุกอาทิตย์ หนูนาก็นั่งเหงาหงอย ๆ จะบิน ไปตามหลายครั้ง”
คุณอุ่นเรือนไม่ได้เล่าว่า ที่ภาวนา หรือหนูนา ลูกสะใภ้ ของท่าน ไม่ได้บินตามชุลภัสว์ไปอเมริกานั้น เพราะลูกชาย ตัวดีของท่านเอาพาสปอร์ตของภรรยาไปซ่อน ภาวนาเองก็ เรียนต่อปริญญาโทภาคค่ำพร้อมกับเพื่อน ๆ จึงไม่มีเวลาจะ กระดิกตัวไปไหนเลย
เมื่อสามีหายลับเข้ากลีบเมฆ ส่งแต่โปสการ์ดมาให้ดูต่าง หน้า จากสัปดาห์แรก เข้าสัปดาห์ที่สอง ล่วงมาจนหนึ่ง เดือนพอดี ลูกสะใภ้ของท่านก็ไม่ขออ่านโปสการ์ดเหล่านั้น อีกต่อไป เพราะนอกจากจะมีแค่คําว่า “สบายดี” “ไม่ต้อง เป็นห่วง” พร้อมด้วยลายเซ็นของชุลภัสว์แล้ว ท่านก็ไม่เห็น ถ้อยคําหวานจ๋อยอย่างที่สามีจะส่งถึงภรรยาเลยสักนิด จน ภาวนานั้นเคยเปรย ๆ ว่า “สงสัยจะหมดช่วงโปรโมชั่นซะ แล้ว”
“พิมก็ไม่ได้ติดต่อกับพี่ชุลเป็นเดือนเหมือนกันค่ะ แต่ถ้าจะ ให้เดา พิมว่า….พี่ชุลคงกำลังทำงานลับอะไรสักอย่างอยู่ที่ นาซ่าแน่ ๆ แม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ บอกน้องนาด้วยค่ะว่า สบายใจได้ เดี๋ยวพิมจะตามข่าวให้เอง”
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ