การโต้กลับอันงดงามของสาวชาวบ้าน

ตอนที่ 8 ไม่มีใครชั่วร้ายเท่าเจ้าอีก แล้ว!



ตอนที่ 8 ไม่มีใครชั่วร้ายเท่าเจ้าอีก แล้ว!

อินจือจางคิดว่าตลอดทางที่ผ่านมาจูจูเชื่อฟังเขามาตลอด คืนนี้ยังถูกทำให้ตกใจมาก ในที่สุดจึงยอมเก็บเงิน เครื่อง ประดับรวมทั้งตระกร้าไม้ไผ่ใส่ลงไปในแหวนให้นางอย่างจำ ใจ

ถ้าหากว่ามีคนรู้ว่าเขาใช้สิ่งของที่ล้ำค่าเก็บของที่ไร้สาระ พวกนี้เอาไว้ล่ะก็ เดาว่าคงจะมีคนด่าว่าเขาฟุ่มเฟือยเป็นแน่

พอเก็บของเสร็จ พระอาทิตย์ก็เริ่มสาดแสง อื่นจือจางที่ เพิ่งจะฟื้นฟูพลังของตัวเองอย่างเต็มที่นั้นก็มุ่งมั่นที่จะรีบไปให้ ถึงสำนักญาณศักดิ์สิทธิ์ให้เร็วที่สุด เขาจูงเดินให้ออกเดิน ทางต่อ ก่อนออกเดินทางยังกำชับนางว่า : “เรื่องแหวนและ กำไลห้ามบอกคนอื่นเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นจะมีปัญหาตามมา แน่!”

แหวนจัดเก็บและกำไลจัดเก็บนั้นเป็นสิ่งที่ผู้บำเพ็ญระดับ จีธรรมดาๆ ยังไม่อาจมีได้ ลิ้นจือจางก็เป็นแค่ผู้ที่ระเบิดพลังขึ้น มาจนถึงผู้ฝึกพลังระดับเจ็ดและจูจูก็เป็นแค่คนธรรมดา ใช้ของ สําค่าแบบ จะดึงดูดให้ทุกคนอยากได้มัน
“อื้อ” จูจูพยักหน้า เรื่องของมูลค่าของมัน นางเข้าใจดี

พวกเขาออกเดินทางได้ไม่นาน ก็รู้สึกว่าเปลือกตาหนัก อึ้งขึ้นเรื่อยๆ นางได้นอนเพียงครึ่งคืนแถมยังต้องพบกับ เหตุการณ์อันตราย ทำให้รู้สึกเหนื่อยและเพลีย ยิ่งเดินก็ยิ่งช้า ลงๆ นางเดินสะลึมสะลือจนสะดุดกิ่งไม้เกือบล้มลงกับพื้น

อินจือจางตาไวยื่นมือไปประคองนางไว้ทัน พลางพูดอย่าง เคืองๆ ว่า “เจ้าหมูโง่ เจ้าเดินแบบนี้ ไม่ทันได้ถึงสำนักญาณ ศักดิ์สิทธิ์คงล้มหัวฟาดพื้นตายเสียก่อน ช่างเถอะ! วันนี้ คุณชายจะยอมเสียสละเสียหน่อย แบกเจ้าไปละกัน!” อื่นอ จางคุกเข่าลงกับพื้นเพื่อให้นางปืนขึ้นไปอยู่บนไหล่เขาได้ สะดวกขึ้น

จูจูโดนเขารังแกจนชินแล้ว คิดไม่ถึงว่าวันนี้เขาจะเอาใจ ใส่ขนาดนี้ พอถูกแบกไปได้ระยะนึงนางก็ยังรู้สึกตื่นตะลึงและ ยังคงเหม่อลอย

พลังของอินจือจางก้าวหน้าไปมาก ถึงแม้ว่าจะแบกนางอยู่ แต่ฝีเท้าก็ไม่ได้ลดลง แถมยังไวขึ้นอีกด้วย พวกเขามาถึงประตู ทางเข้าของสำนักญาณศักดิ์สิทธิ์ในเวลาใกล้เที่ยง

ป้ายหยก ใหญ่ยักษ์สีขาวสูงเสียดฟ้าทะลุยอดเมฆตั้ง ตระหง่านอยู่เบื้องหน้าของพวกเขา เมื่อยืนอยู่ตรงหน้าประตู ทางขึ้นแล้วแหงนหน้ามองขึ้นไปก็จะเห็นเพียงก้อนเมฆลอยอยู่ เต็มไปหมด ป้ายนั้นถูกสลักด้วยตัวหนังสือสีทองขนาดใหญ่ที่ คล้ายมีคล้ายไม่มีว่า สำนักญาณศักดิ์สิทธิ์ ทันใดนั้นก็มีเสียงดนตรีลอยออกมา พื้นดินที่ก่อนหน้านั้นสกปรกเต็มไปด้วย โคลนก็เปลี่ยนเป็นขั้นบันไดสีขาวเรียบเหมือนหยกขาว เงาจน สะท้อนเงาของผู้คนที่ยืนอยู่ได้

เดินผ่านแผ่นป้ายขึ้นไปบนภูเขา ระหว่างทางก็มีสิ่ง ก่อสร้างสูงใหญ่ตั้งอยู่เรียงราย กำแพงขาว กระเบื้องเขียว ประกอบกับเมฆสีขาวที่ลอยไปมานี้ทำให้ที่นี่เปรียบเสมือน วิมานสวรรค์ วิจิตรงดงาม

ที่หน้าประตูมีกลุ่มคนทั้งเด็กและวัยรุ่นหญิงชายยืนเข้า แถวอยู่ แถวยาวประมาณสิบจ้าง แถมยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ถึงแม้ผู้คนจะมากมาย แต่พวกเขากลับมีสีหน้าเคร่งขรึม ไม่มี ใครมีอารมณ์จะทักทายกัน มีแต่ความเงียบและเคร่งขรึม

ทุกรอบจะมีนักพรตเด็กสองคนนำทางพาห้าสิบคนแรกที่ อยู่หน้าสุดของแถวเข้าไปทดสอบในตำหนักใหญ่ ผู้ที่เดิน เข้าไปส่วนใหญ่ไม่นานก็จะมีคนที่ถูกพาเดินออกมาด้วยจิตใจ หดหู คาดว่าคุณสมบัติน่าจะไม่ถึงมาตรฐานและตกรอบ

อินจือจางที่เพิ่งมาถึงจึงสนใจมองบรรยากาศรอบๆ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่ามีอะไรเย็นๆ มาแตะที่คอ เขาหันหน้าไปดู ที่แท้จูจูหลับอยู่บนไหล่ของเขาอย่างมีความสุข จนน้ำลายไหล ยึดลงมาที่คอเขานี่เอง

เขาถูกความตื่นเต้นดึงดูดใจจนลืมว่านางยังอยู่บนหลัง เขาไปชั่วขณะ เขาจึงปล่อยมือทั้งสองข้างของตัวเองออก ทำให้นางร่วงลงไปบนพื้น จูจูกำลังหลับฝันหวาน อยู่ๆร่างกายก็ถูกกระแทกลงบนพื้น บั้นท้ายนางกระแทกลงบนพื้น หยกอย่างแรง เจ็บจนต้องร้องโอ๊ยออกมาเ

เสียงที่ไม่คาดฝันนี้ดึงดูดสายตาของผู้คนมากมาย ขึ้นชื่อ จางที่เห็นจูจูเจ็บจนน้ำตาเล็ดนั่งอยู่กับพื้นด้วยสีหน้าไร้ความผิด แล้ว ในตอนนั้นเขาก็รู้สึกว่าความโกรธมันเต็มท้องไปหมด เขายื่นมือไปถึงนางลุกขึ้นแล้วพานางไปต่อท้ายแถว

จูจูกำลังสะลึมสะลือทำให้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนางกันแน่ แต่ว่าทุกครั้งที่อินจือจางแกล้งนางนั้นก็ไม่เคยมีเหตุผลอยู่แล้ว นางจึงทำได้แค่เช็ดน้ำตาแล้วถูกเขาลากไปต่อแถวแต่โดยดี

ก่อนหน้านี้คนต่อแถวถึงแม้ว่าจะเยอะแต่ด้านหน้านั้น อัตราของคนที่เข้าไปก็เยอะ ทำให้แถวขยับเร็ว ไม่ถึงครึ่งชั่ว ยามก็มาถึงคิวของพวกเขาสองคน ทั้งสองเดินตามผู้กลุ่มคน ขนาดใหญ่ทั้งห้าสิบคนเข้าไปในตำหนัก ในตำหนักมีผู้อาวุโส เครายาวที่สวมชุดสีน้ำเงินนั่งอยู่ทั้งหมดห้าคน เบื้องหน้าของ พวกเขาแต่ละคนมีก้อนหินสูงยาวเท่าเอวตั้งอยู่หนึ่งก้อน ด้าน ข้างของตำหนักมีชายหญิงอายุน้อยเจ็ดแปดคนยืนอยู่ ใบหน้าของพวกเขาดูมีชีวิตชีวา ดูแล้วน่าจะโชคดีผ่านการ

ทดสอบ

บังเอิญพี่น้องตระกูลเดี่ยวก็อยู่ในบรรดา หนึ่งในห้าสิบคน เหมือนกัน ทั้งสองมองเห็นพวกเขา เดี๋ยวหย่งหลินแกล้งทำเป็น ไม่เห็นพวกเขาอย่างไม่เป็นธรรมชาติ เกี่ยวหย่งฉีเห็นจูจูตา มอินจือจางมาทดสอบรากวิญญาณก็รู้สึกแปลกใจ นางเป็นแค่ สาวบ้านๆ คนหนึ่งจะมาทำไม?
แต่ว่านางยังรู้สึกขยาดอินจือจางอยู่อีกทั้งก็คิดว่าไม่เสีย หายอะไรจึงพยักหน้าให้พวกเขาอย่างมีมารยาท

อินจือจางแกล้งทําเป็นไม่เห็น จูจนั้นรู้ว่าพวกเขาไม่สนใจ ตัวเอง ดังนั้นนางจึงไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตา ท่าทางถือตัว พอๆ กับอินจื่อจาง

ถึงแม้ว่านางจะขี้ขลาด แต่ถ้าฝ่ายตรงข้ามสู้ขึ้นชื่อจางไม่ ได้ล่ะก็ นางก็ไม่มีอะไรต้องกลัว

ถึงแม้ว่าอินจือจางจะเป็นคนที่ขี้โมโห ฉุนเฉียวง่ายและ ชอบทําท่า โอหังอวดดีกับนาง แต่ก็มีข้อดีข้อหนึ่งคือปกป้อง

ได้ในระยะเวลาสั้นๆ!

เขารังแกจูจูด้วยตัวเองไม่เป็นไร หากคนอื่นกล้าแตะต้อง นาง เขาจะจัดการคนคนนั้นเหมือนเป็นแค่หัวหมูหัวหนึ่งแน่ๆ เพราะข้อดีข้อนี้ ทำให้เชื่อฟังและยอมให้เขารังแก มีคน รังแกเราแค่คนเดียวก็ยังดีกว่าถูกทุกคนรังแก

แต่ก่อนเด็กในหมู่บ้านมักจะตะโกนเรียกนางว่า “ยัยขี้เหร่ เวลาว่างๆ ก็จะมาแกล้งนาง พออิ่นจือจางมาพบเข้า เด็กคน นั้นก็ถูกกำปั้นของเขาซัดกระเด็นไปจนถึงท้ายหมู่บ้าน โลกก็ เลยเงียบสงบลง หลังจากนั้นเวลานางเดินผ่านก็ไม่มีใครกล้า ตะโกนเรียกด้วยคำนั้นอีกเลย

หลังจากนั้นจูจูก็พบว่าสำนวนจิ้งจอกที่แอบอ้างบารมีของ เสือเนี่ยเป็นทักษะสำคัญที่ต้องมี
นักพรตเด็กสองคนที่นำทางมาแบ่งพวกเขาออกเป็นห้า กลุ่ม ต่อแถวกันอยู่ด้านหน้าผู้อาวุโสแต่ละคน และค่อยๆ ทยอยนำมือไปจับก้อนหินก้อนนั้นทีละคน คนส่วนใหญ่แตะไป ที่หินต่างไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ แต่บางทีก็มีหนึ่งถึงสอง คน ที่แตะไปแล้วก้อนหินเริ่มเปลี่ยนสี แต่กลับเป็นสีที่เจือจาง กว่าปกติ ผู้อาวุโสที่อยู่ด้านข้างดูเรียบเฉยไม่แยแส ทั้งไม่ตื่น เต้นแต่ก็ไม่ผิดหวัง

แค่เห็นอื่นจือจางก็รู้แล้วว่านี่คือการทดสอบรากวิญญาณ มีเพียงแค่คนที่เกิดมาพร้อมกับรากวิญญาณเท่านั้นที่เมื่อแตะ ไปที่ก้อนหิน ก้อนหินก็จะเปลี่ยนสีไปตามรากวิญญาณที่มี ยิ่งมี สีสันน้อยเท่าไหร่ หมายถึงคนนั้นมีประเภทรากวิญญาณน้อย คุณสมบัติก็จะยิ่งสูง และความสว่างของแสงที่เกี่ยวข้องกับ คุณภาพของรากวิญญาณ ถ้าหากรากวิญญาณยิ่งบริสุทธิ์ก้อน หินก็จะยิ่งสะท้อนแสงมากขึ้น

ในคนหนึ่งคนมีรากวิญญาณอยู่สามชนิด เป็นคุณสมบัติ ปกติทั่วไปของบรรดาผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ที่นี่ ถ้าหากว่ามี มากกว่าสามชนิดแต่คุณภาพต่ำก็ไร้ประโยชน์ ถ้าหากว่ามีราก วิญญาณเพียงสองชนิด ก็ถือว่าค่อนข้างดี ถ้าหากว่ามีเพียง ชนิดเดียวล่ะก็คนคนนั้นเป็นบุคคลผู้มีพรสวรรค์อันหาได้ยาก ในรอบพันปี ถือว่าเป็นอัจฉริยะที่ฟ้าประทาน

เจ้าของที่ใช้ทดสอบรากวิญญาณอินจือจางเคยเห็นตั้งแต่ เด็กแล้ว ส่วนจูจูมองอย่างตกตะลึง กระซิบเสียงเบาถามว่า “ก้อนหินนี้เอาไว้ทดสอบรากวิญญาณเหรอ?”
อินจือจางพยักหน้าตอบด้วยเสียงต่ำๆ ว่า “ก็ยังถือว่าไม่

โง่เท่าไหร่”

ระหว่างที่พูด คนที่อยู่ข้างหน้าเขาทั้งแปดคนก็ทดสอบ เสร็จแล้ว ถึงตาอินจือจางแล้ว


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ