กระบี่อัคคีล้างปฐพี

แรกเริ่มเป็นศิษย์



แรกเริ่มเป็นศิษย์

ห้องโถงใหญ่ ตำหนักในหลุน

หลังจากสิ้นเสียงที่ราบเรียบที่ดังออกมาจากปากของหยางเกา เชิง หวงเฉินฟงและเหล่าศิษย์ทั้งหลาย ยังคงไม่อยากจะเชื่อ จากหูตัวเอง โดยเฉพาะกับหวงเฉินฟง สมองของเขาร้อยพัน คำนวณ ก็คาดคิดไม่ถึงว่าจะได้ฟังคำพูดเช่นนี้จากปากของหยาง เกาเชิง

“เป็นไร หรือเจ้าไม่อยากเป็นศิษย์ของข้า” หยางเกาเชิงเมื่อ

เห็นท่าทีที่งงงันของหวงเฉินฟงจึงเริ่มขมวดคิ้วด้วยโทสะ

“เปล่า เปล่า เข้าเพียงแต่คิดว่าเขากำลังฟังผิดไป” หวง เฉินฟงตะกุกตะกักตอบด้วยความหวาดหวั่น

“ข้าจะนับหนึ่งถึงสิบเพื่อให้โอกาสเจ้า หากพ้นครั้งนี้ไป จะไม่

มีอีกแล้ว”

หวงเฉินฟงยังคงรู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในความฝันที่มิอาจเป็น ความจริงได้

“หนึ่ง” สุ่มเสียงดังกังวานของหยางเกาเชิงดังขึ้น

“สอง”

“สาม”

หวงเฉินฟงเริ่มเกิดความลังเล กล้าๆกลัวๆ จึงหันไปมองทางเหล่าศิษย์พี่ของตัวเอง

“เฉินฟง เจ้ารีบไปคำนับอาจารย์สิ” เจิ้งซูเจี้ยนรีบกำชับ

“ไปเร็ว อาจารย์ช้าไม่ได้เปลี่ยนใจง่ายๆนะ” ฟานเหนิงรีบ กล่าวสมทบ

“เจ็ต” หยางเกาเซิงหลับตานับอย่างใจเย็น

หวงเฉินฟงพลันเหลือบไปมองหวัง หวัง พลันพยักหน้า ให้เป็นความหมายว่า ให้ทำตามที่ศิษย์พี่คนอื่นๆบอก

“เก้า”

“ศิษย์หวงเฉินฟง คำนับอาจารย์” เสียงคุกเข่าดังสนั่นกลาง ห้องโถงพร้อมด้วยคำพูดที่หนักแน่นดังออกมาจากปากหวง เฉินฟง

หยางเกาเชิงลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ เหลือบตามองสำรวจเด็ก น้อยที่เบื้องหน้าอย่างละเอียด

เวลาผ่านไปชั่วครู่ หยางเกาเชิงจึงเริ่มขยับปาก

“เจ้าเด็กแซ่หวง จากนี้ เจ้าจะเป็นศิษย์คนที่เจ็ดของตำหนักยิน หลุนเรา” หยางเกาเชิงเอยอย่างไม่ยินดียินร้าย

“ขอบ…คุณอาจารย์ที่เมตตา”
หวงเฉินฟงพูด แต่ในใจยังคงหวาดระแวงหยางเกาเชิง เพราะ เขาไม่เชื่อว่าหยางเกาเซ็งที่เจ้าเลห์เพทุบายจะปฏิบัติตัวต่อเขา เช่นนี้ รวมถึงตอนที่เข้ามาตำหนักบินหลุนครั้งแรก หยางเกาเชิง ยังไม่คิดจะรับเขาเป็นศิษย์เลย

“นภาสวรรค์มีกฎของนภาสรรค์ ยินหลุนก็มีกฏในหลุน หาก เจ้าทำผิดก็ต้องโดนลงโทษ

“ศิษย์..ทราบแล้ว”

“ลุกขึ้น กลับไปนั่งที่” หยางเกาเชิงโบกมือไล่

หวงเฉินฟงพลันยกมือขึ้นคำนับอีกครั้ง ก่อนจะเดินผ่านเหล่า ศิษย์พี่ไปยังที่นั่งของตน ขณะนั้นเหล่าศิษย์ทั้งหลายพากันโห ร้องยินดีกับหวงเฉินฟงที่ในที่สุดก็ได้เป็นศิษย์ร่วมสังกัดกับพวก เขาอย่างไม่ต้องปิดบังเสียที

แต่มีเพียงหวังอี้เท่านั้นที่ยังคงนั่งนิ่ง ไม่แสดงความยินดี ยินร้ายออกมาทางสีหน้า เนื่องจากเขาคิดว่า เรื่องนี้มันไม่ง่าย อย่างที่คิด เมื่อเขาคิดถึงความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์ของเขา กับจูเกอะซิ่งเหยียนแล้วก็ยิ่งตอกย้ำความน่าสงสัยเข้าไปใหญ่

หวงเฉินฟงเมื่อกลับไปนั่งที่แล้วกลับกินอาหารเช้าต่อไม่ลง เนื่องจากตอนนี้ใจของเขามันสั่นหวิวอย่างบอกไม่ถูก เกี่ยวกับ เรื่องที่เกิดขึ้นอย่างกระทันเมื่อครู่นี้

“เฉินฟง เจ้าดีใจจนไม่เป็นอันกินเลยเหรอ ฮ่าๆ” กงซุนเจ๋อ กล่าวพลางหัวเราะ
หวงเฉินฟงยังคงนั่งนิ่งอย่างเหม่อลอย

“พวกเจ้ากินข้าวเสร็จแล้ว ควรรู้นะว่าถึงเวลาอะไร” หยางเกา เชิงกล่าวพลางซ่าเรื่องมายังหวงเฉินฟง

“อาจารย์ศิษย์ทราบแล้ว” หลู่ซุนตอบรับ

“ศิษย์พี่ใหญ่ พวกเราไปฝึกกระบี่กัน” เจิ้งซูเจี้ยนหันไปดึงแขน เสื้อหวังที่กำลังเหม่อลอยอยู่เช่นกัน

“อ่อ อืม” หวังอี้ตอบรับพร้อมลุกขึ้นอย่างช้าๆ พร้อมหันไป มองยังหวงเฉินฟง

“ศิษย์น้องเล็ก เจ้าก็ไปฝึกกระบี่กับพวกเราเถอะ” ฟานเหนิง หันไปกล่าวกับหวงเฉินฟง

“ใช่ๆๆ เจ้าจะได้เป็นวรยุทธเสียที จะได้ไม่ถูกคนรังแกอีก ฮ่าๆ” เจิ้งซูเจี้ยนเร่งเร้า

“ครับ ศิษย์พี่” หวงเฉินฟงในใจบังเกิดความยินดีอย่างซาบซึ้ง

{ในที่สุด ข้าก็จะได้เรียนวิชาแล้ว

หวงเฉินฟงคิดพลางกำลังขยับกายลุกขึ้น ที่น่าแปลกคือใน เวลานั้น หวังอี้กลับไม่พูดวาจาใดกับหวงเฉินฟงแม้ซักประโยค เดียว เพียงมองมายังหวงเฉินฟงด้วยสายตาที่เคร่งเครียด

“ไปเร็วศิษย์น้องเล็ก” ติงเซียนวิ่งเข้ามาตบบ่าหวงเฉินฟง พร้อมฉุดลากไปยังประตูห้องโถง

“ช้าก่อน!!”
สุ่มเสียงที่ก้องกังวานเปล่งออกมาจากปากหยางเกาเชิง

หวังได้แต่ทอดถอนใจ พุ่งร่างออกจากประตูตำหนักไป อย่างรวดเร็ว ส่วนหวงเฉินฟงและศิษย์พี่ที่เหลือต่างงงงัน ไม่รู้ว่า หยางเกาเชิงคิดจะทำอะไร แต่ลางสังหรณ์ของหวงเฉินฟงบ่งบ อกว่าจะได้เจอเรื่องร้ายมากกว่าดี

“มีอะไรเหรอครับ อาจารย์” กงซุนเจือรีบรับหน้าแทน

“พวกเจ้าไปแล้วภาชนะพวกนี้ใครจะจัดการ

“อ่อ นั้นให้เป็นหน้าที่ข้าเอง” เจิ้งซูเจี้ยนขานรับพลางจะเดิน เข้ามาเก็บจานชาม

“ซูเจี้ยนเจ้าถอยไป” หยางเกาเชิงกล่าวอย่างไม่พอใจ

เจิ้งซูเจี้ยนได้แต่ล่ากายถอยไปอย่างไม่เข้าใจ

“เฉินฟง เจ้าเอาภาชนะพวกนี้ไปล้างซะ” หยางเกาเชิงเหลือบ ตาไปยังหวงเฉินฟง

กลิ่นอายที่ไม่ค่อยดีเริ่มมาแล้ว หวงเฉินฟงเริ่มวิตกกังวล แต่ก็ ไม่มีทางไหนที่จะปฏิเสธได้ จึงได้แต่เดินไปกลางห้องโถง

“ศิษย์ทราบแล้ว” หวงเฉินฟงกล่าวพลางเดินอย่างช้าๆไปเก็บ ภาชนะตามโต๊ะต่างๆ

“อาจารย์ นั้นให้ข้าช่วยศิษย์น้องเถอะ” ตั้งเซียนเดินเข้ามา หมายช่วยเก็บภาชนะด้วย

“พวกเจ้าไม่ว่าใครก็ห้ามช่วยเขา ใครไม่ฟังข้าจะลงโทษมันหยางเกาเซ็งตวาดแล้ว

ติงเซียนและศิษย์พี่คนอื่นได้แต่ถอยออกไปจากห้องโถง อย่างหวาดหวั่น ส่วนหางเฉินฟงก็ตกใจสะดุ้งเฮือกต่อค่าตวาด เมื่อครู่ในใจ

“เฉินฟง เจ้าไม่พอใจข้าเหรอ”

“ศิษยมิกล้า”

“งั้นเจ้าล้างภาชนะพวกนี้เสร็จแล้ว ก็ไปตัดฟันด้านหลังเขาซะ” หยางเกาเชิงพูดพลางมีรอยยิ้มที่มุมปาก

“ศิษย์ทราบแล้ว”

“เจ้าคงสงสัยว่าทำไมข้าถึงไม่ให้เจ้าไปฝึกกระบี่กับพวกศิษย์พี่ สินะ”

“ศิษย์มิกล้า” หวงเฉินฟงเวลานี้ได้แต่หลบสายตาตอบหยาง

เกาเชิงอย่างหวาดกลัว

“ด้วยพื้นฐานร่างกายเจ้าตอนนี้น่ะ ยังไม่สามารถฝึกวิชาอะไร ได้หรอก ดังนั้นข้าจึงใช้ให้เจ้าทำเรื่องพวกนี้ เพื่อจะได้ฝึกพละ กำลังทางด้านร่างกายของเจ้า”

“ขอบคุณอาจารย์ที่ชี้แนะ” หวงเฉินฟงพูดจบพลางเก็บภาชนะ ทั้งหลายเดินช้าๆออกจากห้องโถงตำหนักไป

{หึ เจ้าโง่ ต่อให้เจ้าตัดฟืนเป็นสิบปียี่สิบปี ข้าก็จะไม่สอนวิชา ให้เจ้า จูเกอะซิ่งเหยียน ข้าอยากจะเห็นสีหน้าของเจ้าตอนนี้จริงๆ) หยางเกาเชิงครุ่นคิดอย่างมีความสุข เมื่อมองตามเงาร่าง ของหวงเงินฟงที่ออกจากประตูห้องโถงไปแล้ว

ห้องครัว ตำหนักยินหลุน

ช่า

เสียงน้ำกระทบกับจานชามดังมา

ขณะนี้หวงเฉินฟงกำลังนั่งยองๆอยู่ที่ห้องครัว ในมือถือจาน ชามกำลังทำความสะอาดกับน้ำที่ตกมาจากถังน้ำข้างตัว เวลานี้ หวงเฉินฟงเหงื่อออกทั้งตัว เขายื่นมือไปเช็ดหยาดเหงื่อบน ใบหน้า

ข้าว่าแล้ว เรื่องมันต้องไม่ง่ายเช่นนี้แน่ หวงเฉินฟงครุ่นคิด พลางฝืนยิ้ม

หวงเฉินฟงเหลือบไปดูภาชนะที่เหลืออยู่ประมาณกองเท่า

ภูเขา คาดว่าคงต้องใช้เวลาอีกซักครึ่งวันถึงจะสามารถทำความ

สะอาดจนหมดได้

เพื่อถัง ถ้าหากเป็นพี่ พี่จะยอมทนอยู่แบบข้าเช่นนี้หรือไม่ เวลานี้ดวงอาทิตย์กำลังใกล้ล่องลอยสุดขอบฟ้าแล้ว …..


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ